อีกด้านหนึ่ง แม้จะเป็นยามค่ำมืดแล้ว แต่กลับอึกทึกครึกโครมกว่าที่คิด นางกำนัลนำผ้าแพรมาปูกางด้านหนึ่งของอุทยานหลวงถึงห้าชั้น และนำสำรับของว่างวางลงบนนั้น อีกทั้งยังมีกระปุกน้ำมันหอมขนาดเล็ก ผ้าไหมสะอาด ตรงบริเวณอับสายตาก็ยังมีกระทั่งผ้าห่มพับวางเอาไว้
เพราะเมื่อช่วงกลางวัน หลังรับฟังรายงานเกี่ยวกับรัชทายาทแล้ว จาฮอนก็สั่งเอาไว้ว่าหากตนพูดเช่นนี้ออกมา ก็ให้นางกำลังจัดเตรียมสิ่งเหล่านี้ ขันทีโชจึงสั่งการให้จัดเตรียมล่วงหน้า พอดีกับวันนี้เป็นคืนวันเพ็ญ พระจันทร์ดวงกลมโตฉายแสงนวลกระจ่าง ส่องสว่างแก่ท้องฟ้ายามค่ำคืนโดยไม่จำเป็นต้องจุดตะเกียง
จากนั้นจาฮอนกับโซกังก็จับมือออกมายังอุทยานหลวง ทั้งสองอยู่ในชุดลำลองสำหรับสวมใส่ยามบรรทม ไม่ใช่ชุดทางการ ด้วยเป็นเขตตำหนักส่วนพระองค์
เขาให้โซกังนั่งบนผ้าแพรเสียที่มีข้าวของจัดวางอย่างเพียงพอก่อน ก่อนจะสั่งให้เหล่าขันทีและนางกำนัลถอยห่าง โดยขยับตัวเข้าไปเอ่ยกับคนเหล่านั้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ถอยออกไปให้หมด ก่อนขันทีโชจะเข้ามาในวันรุ่งขึ้น ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามเข้ามาเด็ดขาด”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
เมื่อเหล่าขันทีและนางกำนัลออกไปหมดแล้ว จาฮอนจึงหันกลับมาและเข้าไปนั่งข้างๆ โซกังบนผืนผ้าแพร จาฮอนจัดวางรองเท้าเอาไว้มุมหนึ่ง นั่งลงและจิบชาที่อีกฝ่ายรินให้
โซกังเองก็ดื่มชาเข้าไปหนึ่งอึกพลางจ้องมองท้องฟ้า แล้วเอ่ยออกมาอย่างชื่นชม
“พระจันทร์ดวงโตและงดงามนักพ่ะย่ะค่ะ คำชักชวนของพระองค์ก็ดียิ่ง การดื่มชากับสวามีผู้ปรีชาท่ามกลางแสงจันทร์ นับว่ามีรสนิยม”
“หากเป็นการร่ำสุราจะยิ่งมีรสนิยมมากขึ้นไปอีก ได้ดื่มสุรากับคนยอดเยี่ยม ก็นับว่าได้ว่าสง่างามแล้ว คราวหน้าเรามาลองดื่มสุรากันเถิด”
“ดีพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงน้ำชาไหลผ่านลำคอดังแว่วภายใต้ค่ำคืนเงียบสงบ ร่างบางดื่มชาจนพร่องไปกว่าครึ่ง คอยเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอยู่ตลอด จาฮอนจ้องมองท่าทางนั้นก่อนจะเอ่ยปากขึ้น
“นอนมองจะไม่สบายกว่าหรือ ข้าให้ยืมตัก”
ว่าจบก็ดึงอีกฝ่ายมาหนุนตักตนทันทีก่อนจะทันได้เอ่ยอันใด โซกังต้องเอนตัวนอนลงบนผ้าแพรโดยไม่ทันตั้งตัว คราแรกคิดจะลุกขึ้นมา ทว่าท้องฟ้ายามค่ำคืนกับพระจันทร์ยามนอนมองกับยามแหงนหน้ามอง ช่างต่างกันโดยสิ้นเชิง
พระจันทร์น่ามอง แสงจากดวงดาวก็คล้ายจะร่วงตกกลายเป็นสายฝนระยิบระยับในทันใด
“งดงามยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่ งดงามยิ่ง”
“อา…”
น้ำเสียงของจาฮอน ทำให้โซกังรู้สึกถึงความปรารถนาเลือนราง จึงเบนสายตาจากท้องฟ้ากลับมามอง อีกฝ่ายมิได้จ้องมองท้องฟ้า แต่กำลังจ้องมองตน ทันทีที่ได้รับสายตาเปี่ยมความรักใคร่ พลันหลงลืมคำกล่าว
ก้านนิ้วเรียวสัมผัสผ่านสันจมูกอย่างหยอกเย้า เคลื่อนผ่านริมฝีปาก เรื่อยลงมาจนหยุดตรงช่วงกระดูกไหปลาร้าที่โผล่พ้นอาภรณ์ ไล้ตามแนวกระดูกนูนชัด ก่อนจะขยับหายเข้าในอาภรณ์ ระหว่างนั้นโซกังไม่ได้กล่าวคำใดออกมาเลย
แม้อาภรณ์ที่ผูกไว้จะคลายออกทีละนิด แม้มือใหญ่จะสอดลึกผ่านเนื้อผ้าก่อกวนช่วงหัวไหล่มน เจ้าตัวก็ได้แต่หอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนโดยไร้ถ้อยคำ จาฮอนจึงเอ่ยถามขณะสัมผัสตามลาดไหล่
“ใยเจ้าถึงไม่กล่าวอันใดเลย ที่นี่เป็นด้านนอก อีกทั้งข้ากำลังเปิดเปลือยผิวกายของเจ้านะ จะไม่คัดค้านเลยหรือ”
“ต้องคัดค้านด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ก็ไม่ใช่เช่นนั้น เพียงแต่ในห้องอาบน้ำเมื่อครู่ มิใช่เจ้าที่คัดค้านหรอกหรือ”
“ในน้ำ มันทำให้เจ็บพ่ะย่ะค่ะ”
โซกังใช้สองมือปิดบังใบหน้าและเอ่ยบอกเหตุผลด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ยามขยับรุกรานซ้ำๆ ก็รู้สึกฝืดเคืองเล็กน้อย ทว่าจาฮอนก็ไม่คิดว่ามันจะเจ็บปวดเสียจนทำให้โซกังปฏิเสธตน เมื่อได้ฟังเหตุผลก็พลันเกิดสีหน้าลำบากใจทันที
“ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลย ขอโทษเจ้า”
ร่างบางระบายลมหายใจแผ่วพลางส่ายหน้าเล็กน้อยคล้ายเอียงอาย ก่อนจะลดมือปิดบังใบหน้าลง แล้วค่อยๆ คลายปมอาภรณ์ด้วยตนเอง เขาจึงเอ่ยเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเจือความกระสันปนตกใจ
“โซกัง”
“แม้จะไม่ใช่เทพธิดาฮังอา แต่เวลานี้ก็อยู่ใต้แสงจันทร์จึงอยากเป็นเช่นนั้น จะทรงโอบกอดกระหม่อมดั่งคว้าจับเทพแห่งจันทราหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ยังไม่รู้อีกหรือว่าข้าหวาดกลัวว่าเจ้าจะบินหนีไปอยู่ตลอดเวลา”
ทันทีที่โซกังหยัดกายลุก จาฮอนก็ดึงรั้งอาภรณ์ลง เรือนผมยาวสลวยแสนดึงดูดพลิ้วไหวราวกับกระแสน้ำ เผยผิวกายเปลือยเปล่าขาวกระจ่างใต้แสงจันทร์ ผิวพรรณเปล่งประกายไม่ต่างจากยามต้องแสงอาทิตย์ คล้ายส่องประกายแสงเจิดจ้า ถึงขนาดเข้าใจผิดว่ามิใช่เปล่งแสงจันทร์ออกมาจริงๆ หรอกหรือ ร่างสูงหลงลืมคำพูดชั่วครู่พลางกวาดสายตามองอีกฝ่ายอย่างเชื่องช้า
“ข้าจะจับไว้ให้มั่นทีเดียว”
จากนั้นก็ปลดอาภรณ์ของตนลงบ้าง ก่อนจะขยับเข้าหาดึงรั้งกายมาโอบกอด จุมพิตหัวไหล่กลมกลึง ไล่ไปตามลาดไหล่อย่างถ้วนทั่วแล้วดันอีกฝ่ายให้เอนนอนลงอย่างนิ่มนวล
“แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนาน เจ้ากลับไม่เปลี่ยนเลย”
“ถึงอย่างไรก็ต้องร่วงโรยตามกาลเวลามิใช่หรอกหรือ”
“ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะยังคงงดงามในสายตาของข้าเสมอ”
จาฮอนทาบทับกายของตนเหนือร่างกายโซกังและทาบทับริมฝีปากตาม ร่างบอบบางเคยรู้สึกหนาวเหน็บผิวกายด้วยอากาศด้านนอก ทว่าทันทีที่ความอบอุ่นจากคนรักโอบล้อม ความหนาวเย็นนั้นก็พลันสูญสลายไปสิ้น สัมผัสถึงความอ่อนโยนและความอบอุ่นจากอ้อมกอดของจาฮอนไปพร้อมๆ กัน
ดูดดึงลิ้นร้อนที่แทรกผ่านโพรงปากพร้อมกระชับกอดแนบแน่น เรียวลิ้นของทั้งสองเกี่ยวกระหวัด จนเสียงเฉอะแฉะดังเล็ดลอดออกมาจากปากริมฝีปากประกบแนบชิด
“อื้อ อื้ม”
ระหว่างจาฮอนส่งลิ้นแหวกว่ายในโพรงปาก โซกังก็ส่งเสียงครางอู้อี้ มือใหญ่ข้างหนึ่งลูบไล้เส้นผมยาว ส่วนอีกมือหนึ่งวางทาบบนแผ่นอกบาง ถึงร่างกายของโซกังจะไร้กล้ามเนื้อ ทว่ากลับขับให้ยิ่งอ้อนแอ้น มีส่วนโค้งส่วนเว้างดงาม แน่นอนว่าผิวเนื้อก็ยิ่งนุ่มนิ่มมากขึ้น
ร่างสูงเพลิดเพลินกับการสัมผัสหน้าอกขณะยึดครองโพรงปากอย่างเอาแต่ใจ ไม่เหลือช่องว่าง ลิ้นร้อนก็ยิ่งเคลื่อนไหวรุนแรงมากยิ่งขึ้น สุดท้ายโซกังก็ต้องทุบไหล่อีกคน จาฮอนจึงยอมผละออกห่างเล็กน้อย โซกังหอบหายใจอย่างหนัก แผ่นอกขยับขึ้นลงไม่หยุด ระหว่างปรับลมหายใจของตนเองอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาก็จ้องมองกันและกันพลางยกยิ้ม
เกือบสองปีที่อีกฝ่ายพยายามควบคุมการจุมพิตไม่ให้ตนถึงกับต้องหอบหายใจ แต่วันนี้ดูเหมือนจะทำไม่ได้เสียแล้ว จาฮอนประทับจูบปลอมประโลมบนริมฝีปากคนรักอย่างนุ่มนวลและเอ่ยกระซิบ
“ข้าทำเกินไปเสียแล้ว”
“แต่ทำให้รู้สึกดียิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
ถ้อยคำตอบกลับทำเอาเจ้าตัวยิ้มกว้าง ก่อนจะฝังหน้าลงกับต้นคอเรียว กายโซกังสั่นสะท้านเล็กน้อยเพราะรู้สึกเสียวซ่านตรงผิวเนื้อจากการถูกดูดดุน ทั้งยังกางขาออกอย่างเผลอตัวจนร่างกายส่วนล่างของพวกเขาพลันแนบชิด จึงตัดสินใจโอบรัดลำตัวจาฮอนด้วยเรียวขาของตนเองและขยับสะโพกอย่างยั่วยวน
ทั้งๆ ที่วันนี้เขาคิดแค่เพียงว่าต้องการเพลิดเพลินกับแสงจันทราให้เพียงพอ แต่พออีกฝ่ายขยับตัวเช่นนั้น ความพอเพียงก็จางหายไปทันที
ระยะเวลาที่บุรุษส่วนใหญ่เฝ้ามองและปรารถนาในสตรีเพียงผู้เดียวมักจะยาวนานไม่ถึงสามปี ด้วยยิ่งจำนวนสตรีมีมากมายเท่าไรก็ยิ่งดี ยิ่งความงดงามของสตรีโดดเด่นเท่าไหร่ก็ยิ่งดี หากเป็นสตรีบริสุทธิ์ผุดผ่องก็ยิ่งนับว่ายอดเยี่ยม ยามใช้ช่วงเวลายามค่ำคืนกับสตรีเช่นนั้น ถึงกับมีคำกล่าวว่าไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยใดๆ และยิ่งเวลาได้พบหน้ายามกลางวันสั้นเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเช่นกัน
ตั้งแต่เหล่านักปราชญ์ผู้มีชื่อเสียง กระทั่งทาสชายต่ำต้อย ส่วนใหญ่ล้วนเห็นพ้องว่าถูกต้อง ทว่าคำกล่าวที่ทุกคนคิดว่าถูกต้องนั้นกลับใช้ไม่ได้กับตัวเขา แม้วันเวลาจะผันแปรผ่านไปเพียงใด หากได้แนบเนื้อกับโซกังแล้ว ความคิดก็พลันร้อนรุ่ม ความอดทนก็สูญสิ้น โดยเฉพาะกับส่วนล่าง
จาฮอนทิ้งร่องรอยสีกุหลาบประดับต้นคอ จากนั้นก็ไล้เลียกระดูกไหปลาร้าและจุมพิตตามผิวเนื้อ ก่อนจะขยับเคลื่อนตัวลงด้านล่างอย่างเนิบช้า ครอบริมฝีปากลงบนยอดถันชูชันเพราะสัมผัสอากาศเย็นยามค่ำคืน ใช้เรียวลิ้นบดคลึงตุ่มไตแข็งชัน อีกทางหนึ่งก็เอื้อมมือไปด้านข้างพลางควานคลำเหนือผ้าแพรปูพื้น ค้นหาน้ำมันหอม ทั้งๆ ที่โซกังเพียงแค่ขยับสะโพกบดเบียดช่วงล่างเท่านั้น แต่จิตใจของเขากลับเร่งรีบจนไม่อาจทนได้ต่อไปอีกแล้ว เต็มไปด้วยความคิดว่าอยากรีบทำให้ช่องทางรักของอีกฝ่ายชุ่มโชกและเบิกกว้าง เพื่อนำพาตัวตนรุกรานเข้าภายใน แต่ไม่รู้ว่าวางอยู่ที่ใด เพราะไม่ว่าจะคลำหาอย่างไรก็ไม่พบกระปุกน้ำมันหอมเลย