ตอนที่ 280 เขาเสียใจทีหลังแล้ว
เขาเอ่ยบรรยายคำว่า ‘รถชน’ สองคนนี้อย่างสบายๆ ราวกับกินข้าวเช้าอย่างผ่อนคลายอย่างไรอย่างนั้น
ซือเหยี่ยนหัวใจบีบคั้น เจ็บปวดขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ “รถชนได้ยังไง” ความรู้สึกทั้งรักทั้งสงสารแฝงในน้ำเสียง
เจียงมู่เฉินมองเขาอย่างขำๆ ได้จังหวะยื่นมือผลักเข้าออกพอดี “ฉันจะรถชนยังไง เหมือนว่าจะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณซือเลยมั้ง ไม่ลำบากให้นายมาเป็นห่วงหรอก”
ก่อนที่ซือเหยี่ยนจะเข้าประชิดตัวเขาอีกครั้ง เขาเดินไปทางประตู ยื่นมือไปจะเปิดประตูห้อง
“เฉินเฉิน…” เสียงต่ำของซือเหยี่ยนอดจะเอ่ยเรียกไม่ได้
เจียงมู่เฉินตัวแข็งทื่อ เอ่ยตำหนิเสียงเย็น “นายแม่งอย่าเรียกฉันว่าเฉินเฉิน ฉันกับนายไม่ได้สนิทกันถึงขนาดนั้น…ซือเหยี่ยน เลิกกันแล้ว นายแม่งอย่าเสแสร้งทำเป็นห่วงฉันจะได้ไหม เห็นแล้วมันอยากอ้วก…ฉันเจียงมู่เฉินต่อจากนี้จะเป็นตายร้ายดียังไง ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนายทั้งนั้น ซือเหยี่ยน”
เขาพูดจบก็ดึงเปิดประตูเดินออกไป ซังจิ่งรออยู่หน้าประตูด้านนอกตลอดเวลา พอเห็นเจียงมู่เฉินออกมา ก็รีบเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงทันที “เป็นยังไงบ้าง ไม่เป็นไรใช่ไหม”
“ไม่เป็นไร ไปกันเถอะ กลับไปกันก่อนเถอะ”
“ได้ งั้นตอนนี้ผมจะพาคุณกลับไป”
หลังจากนั้นทั้งสองก็เดินห่างออกไปอย่างช้าๆ จนไร้ซึ่งเสียงใดๆ
ซือเหยี่ยนออกมาจากห้องพักผู้ป่วย มองตามแผ่นหลังของเจียงมู่เฉินที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไป มือก็กำแน่น
เขานึกเสียใจแล้ว…
เสียใจที่เลิกกับเจียงมู่เฉิน…
‘ความเป็นความตายของเขา จะไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองได้ยังไงกัน…’
……
เจียงมู่เฉินขึ้นมานั่งในรถแล้วก็ไม่พูดจาเงียบมาตลอดทาง ซังจิ่งมองเขาก็ครู่เดียวก็ไม่ได้ซักไซ้ไล่เรียงให้มากความ
เรื่องที่เกิดขึ้นในห้องพักผู้ป่วยกับซือเหยี่ยน เขาไม่รู้ แต่เมื่อเห็นท่าทางของเจียงมู่เฉินตอนออกมาก็พอจะเดาได้อยู่ประมาณหนึ่ง
เงียบงันมาตลอดทางจนกลับมาถึงที่คฤหาสน์ เจียงมู่เฉินไม่ต่อปากต่อคำอะไร เพียงทิ้งทวนว่า “ไม่ต้องรบกวนฉัน” แล้วก็กลับเข้าห้องไปทั้งอย่างนั้น
ซังจิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อยมองตามแผ่นหลังของเขาไป
เจียงมู่เฉินเอนกายนอนลงบนเตียง เขาเวียนหัวจนอยากจะอาเจียนบ้างแล้ว เดิมทีเพิ่งฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บก็อ่อนแอมากๆ แล้ว มาโดนซือเหยี่ยนหาเรื่องขนาดนี้ยิ่งทำให้หมดแรงไปทั้งตัว ออกแรงไม่ได้เลยแม้เพียงน้อยนิด
เขาหลับตานอนอยู่บนเตียงไม่ขยับตัวไปไหน ในหัวก็มีภาพใบหน้าของซือเหยี่ยนที่อยู่โรงพยาบาลเมื่อครู่นี้ลอยมา
‘เลิกกันแล้วไม่ใช่เหรอ…
…มีแฟนใหม่อีกคนแล้วไม่ใช่เหรอ…
…ยังจะมาเสแสร้งทำเป็นห่วงกันไปทำไม อยากเหยียบเรือสองแคม อยากนั่งเสพสุขเช่นคนรัฐฉี[1]หรือไง’
เจียงมู่เฉินยกยิ้มเยาะที่มุมปาก เพียงแต่น่าเสียดาย เมื่อเขาเจอตัวเอง ก็กำหนดไว้แล้วว่าเสพสุขเช่นคนรัฐฉีไม่ไหว
ในโลกของเขาเจียงมู่เฉิน รักก็คือรัก ไม่รักก็คือไม่รัก แต่ไหนแต่ไรไม่เคยพูดว่าอยากจะมาลำบากแบ่งผู้ชายกับคนอื่นเลยด้วยซ้ำ
ตอนที่อยู่ถานโจว เขาก็ยังพอมีความหวังกับซือเหยี่ยนบ้าง
แต่ตอนนี้ เขาตัดใจจากซือเหยี่ยนจนถึงที่สุดแล้ว
เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะ ความสิ้นหวังปรากฏบนใบหน้าละเอียดได้รูป
……
“เหยี่ยน ทำไมนายถึงเพิ่งกลับมา ฉันรอนายอยู่ตั้งนานแล้วนะ” ซูเตอร์เดินวนไปวนมาอยู่โถงใหญ่ ในที่สุดก็เห็นซือเหยี่ยนกลับมา
สีหน้าซือเหยี่ยนซีดเซียว เขากวาดมองซูเตอร์แวบหนึ่งด้วยท่าทีเรียบเฉย “มีธุระหาผมเหรอ”
ซูเตอร์คว้าแขนซือเหยี่ยนไว้ด้วยความเป็นห่วง “ไม่มีธุระสักหน่อย ฉันก็แค่เป็นห่วงนาย กลัวว่านายจะเกิดเรื่องอีก”
ซือเหยี่ยนมองดูมือเขาที่จับแขนตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ชะงักไปสักพัก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงออก “ผมไม่เป็นไร”
ซูเตอร์เห็นซือเหยี่ยนไม่ได้ปฏิเสธที่ตัวเองใกล้ชิดเขาแบบนี้ ความดีใจแทบบ้าทอประกายขึ้นในแววตา เขารีบเอ่ยถาม “ไปโรงพยาบาลตรวจดูอาการแล้วเป็นยังไงบ้าง แผลยังมีปัญหาอะไรไหม”
“ฟื้นตัวดีมากแล้ว” ซือเหยี่ยนท่าทีเย็นชา เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าว เป็นจังหวะทำให้มือของซูเตอร์ตกกลางอากาศพอดี
“ผมรู้สึกไม่ค่อยสบาย ขอตัวกลับไปพักสักหน่อยก่อนนะ”
ซูเตอร์เห็นมือตัวเองตกกลางอากาศก็ตะลึงงัน ยังเห็นใบหน้าแสนเหนื่อยล้าของซือเหยี่ยนอีกจึงรีบเอ่ย “ได้ งั้นนายไปพักเลย ต้องให้ฉันอยู่เป็นเพื่อนนายไหม”
ซือเหยี่ยนยิ้มด้วยท่าทีเฉยชา “ไม่ต้องหรอก ผมนอนสักพักก็ดีเอง”
เขาพูดจบก็หมุนตัวกลับไป รอยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้าเก็บทิ้งไปในพริบตา พลันปรากฏท่าทีเย็นชาเมื่อครู่นี้อีกครั้ง
ซูเตอร์มองดูซือเหยี่ยน แล้วมามองดูมือตัวเองอีกครั้ง กำมือแน่น
อย่างน้อยที่สุดครั้งนี้ซือเหยี่ยนก็ไม่ได้ดึงมือเขาออกไปในนาทีแรก ก็ถือว่าคืบหน้าแล้ว
รออีกต่อไป ไม่ช้าก็เร็วสักวันซือเหยี่ยนอาจจะเต็มใจยอมรับเขาได้
[1] เสพสุขเช่นคนรัฐฉี มาจากนิทานสอนใจของเมิ่งจื่อ ชาวฉีคนหนึ่งมีเมียหลวงหนึ่ง เมียน้อยหนึ่ง รักใคร่กลมเกลียวดี สามีออกจากบ้านไปกินอาหารดีๆ กินเหล้าจนเมาแล้วกลับบ้าน บอกเมียว่าไปกินกับเพื่อนรวยมีเส้นสาย เมียหลวงเลยคุยกับเมียน้อยว่าจะตามไปดู วันต่อมาก็สะกดรอยตามไป ปรากฏว่าสามีไปที่สุสาน ไปขอของเซ่นคนตายจากคนดูแลสุสานมากิน เมียหลวงกลับมาเล่าให้เมียน้อยฟัง แล้วก็นั่งร้องไห้กัน นิทานของเมิ่งจื่อ เรื่องนี้ ใช้แขวะพวกขุนนางที่ดูโอ่อ่า มีกินมีใช้ แต่ทำเรื่องไม่ดีน่าอับอาย เพื่อให้ได้มาในสิ่งนั้นๆ
ตอนที่ 281 อารมณ์ในใจสับสน
ซือเหยี่ยนกลับมาถึงห้องพัก ก็รีบหยิบมือถือออกมาส่งข้อความหาไมเคิล
[ช่วยฉันติดต่ออาจารย์ฉันที ฉันอยากเจอเขา]
ไมเคิลรีบตอบกลับทันที [ตอนนี้?]
[ยิ่งเร็วยิ่งดี]
[ทราบแล้ว ฉันจะรีบจัดการให้เร็วที่สุด]
ซือเหยี่ยนเห็นข้อความสุดท้ายในมือถือ ปลายนิ้วกดที่ปลายคิ้วเบาๆ เดิมทีเขาวางแผนจะรอต่อไปอีกสักหน่อย ค่อยหาโอกาสจังหวะเหมาะๆ
แต่ตอนนี้เจียงมู่เฉินก็อยู่ที่อเมริกาด้วย การเจอกันเมื่อวานนี้ชัดเจนมากว่าซูเตอร์จงใจพาเขาไป
ตามนิสัยของซูเตอร์แล้ว เขาต้องพยายามคิดหาทางลงมือกับเจียงมู่เฉินอย่างแน่นอน
เดิมทีคิดว่าเจียงมู่เฉินอยู่ที่ถานโจว ก็ยังพอจะถือว่าปลอดภัยอยู่ ตอนนี้เจ้าตัวมาถึงอเมริกาแล้ว อยู่ต่อหน้าต่อตาเขาแท้ๆ แต่เขากลับไร้หนทางจะปกป้องเจียงมู่เฉิน
เพิ่งจะเจอหน้ากัน เจียงมู่เฉินก็เกิดเหตุรถชนแล้ว
เขาไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะเป็นฝีมือของซูเตอร์หรือเปล่า
แต่ทันทีที่คิดถึงว่าในที่ที่ตัวเองมองไม่เห็น เจียงมู่เฉินประสบอุบัติเหตุ หัวใจของซือเหยี่ยนก็ถูกคว้ามาบีบรัดไว้แน่น
ด้วยเหตุนี้เขาจึงอยากจะติดต่ออาจารย์ของเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ รีบจัดการปัญหาเรื่องของแก๊งมังกรครามให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เช่นกัน
ซือเหยี่ยนกดที่หว่างคิ้ว หลับตาที่เหนื่อยล้าลงไป
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เขาก็จะต้องรีบจัดการสะสางเรื่องราวให้หมดสิ้น ถ้าไม่อย่างนั้น เขาก็ยากที่จะรับประกันว่าในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้ ซูเตอร์จะทำเรื่องอะไรอย่างอื่นลงไปได้บ้าง
สะลึมสะลือนอนหลับไป ตื่นมาอีกที ท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว เจียงมู่เฉินลืมตาขึ้นมามองห้องที่มืดสนิท ยังใจลอยอยู่ชั่วครู่หนึ่ง
เขากะพริบตาปริบๆ ประมาณห้านาทีถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา
ยังเวียนหัวอยู่บ้าง ทั้งวันยังไม่ได้กินอะไรอีก จนถึงตอนนี้ค่อนข้างจะหิวแล้วจริงๆ
เจียงมู่เฉินค่อยๆ ปีนลงจากเตียง ดึงเปิดประตูห้องเดินออกไป คฤหาสน์ทั้งหลังเงียบงันมาก ไม่มีแม้แต่เสียงใด
เขาเดินตามขั้นบันไดลงมา เห็นแสงไฟสว่างอยู่ในห้องครัว มีความเคลื่อนไหวอยู่นิดหน่อย
เจียงมู่เฉินเดินลงจากบันไดแล้ว เดินไปถึงห้องครัวก็เอ่ยเรียก “ซือ…”
เขายังพูดไม่ทันจบคำก็ตะลึงค้างอยู่ตรงนั้นทันที เขาเห็นซังจิ่งที่ยืนอยู่ข้างใน แววตาก็ฉายสะท้อนความเจ็บใจเศร้าโศกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“ตื่นแล้วเหรอ” ซังจิ่งเห็นเจียงมู่เฉินที่อยู่ตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม เสียงต่ำเอ่ยถาม
เจียงมู่เฉินกำมือไว้ ค่อยๆ กลืนคำว่า ‘เหยี่ยน’ ที่อีกนิดเกือบจะเรียกออกมาจากความปรารถนาลึกๆ คำนั้นลงไปอย่างช้าๆ
เพียงชั่วพริบตาเดียวนั้น เขาคิดว่าคนที่ยืนอยู่ในห้องครัวคนนั้นคือซือเหยี่ยน
เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้นอย่างขื่นขม “อืม เพิ่งจะตื่น”
ซังจิ่งรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ กลับไม่ได้ถามอะไรมากมาย แต่ยกโจ๊กไก่ฉีกที่อุ่นร้อนอยู่ตลอดออกมา “กลัวว่าคุณจะตื่นมาหิว เลยอุ่นให้คุณอยู่ตลอด”
เขาวางชามโจ๊กลงบนโต๊ะที่อยู่ด้านข้าง “หิวแล้วใช่ไหมล่ะ ยังร้อนๆ อยู่ กินสักหน่อยนะ”
เจียงมู่เฉินมองดูโจ๊กชามนั้น นัยน์ตามีความสับสนอยู่ในที
เมื่อก่อน ซือเหยี่ยนก็เป็นแบบนี้ ไม่ว่าเวลาไหนก็จะมีของกินให้เขาได้เสมอ เจียงมู่เฉินอดจะคิดไม่ได้ ไม่รู้ว่าเขาก็ทำแบบนี้กับซูเตอร์ด้วยหรือเปล่า
ทำอาหารให้เขากิน โอบกอดเขาไว้ จนกระทั่ง…
เจียงมู่เฉินหลับตาลง กดเก็บความคิดในใจนี้ลงไป เขาหยิบช้อนกระเบื้องขึ้นมาตักกินคำหนึ่ง กลิ่นหอมอ่อนๆ อบอวลอยู่ในปาก
ซังจิ่งอดจะเข้าไปมองเขาใกล้ๆ ไม่ได้ “เป็นยังไงบ้าง อร่อยไหม”
เจียงมู่เฉินกำช้อนพยักหน้ารับ “อืม”
ซังจิ่งดูสถานการณ์แล้วก็รีบเอ่ย “งั้นก็ดี คุณกินเยอะๆ หน่อยนะ ผมยังทำไข่ตุ๋นให้คุณด้วย ผมจะไปหยิบมาให้คุณ”
เขาพูดก็หมุนตัวหันกลับไปหยิบไข่ตุ๋นออกมาวางข้างๆ เจียงมู่เฉิน
เจียงมู่เฉินมองดูโจ๊กในชามของตัวเองกับไข่ตุ๋นที่อยู่ข้างๆ อารมณ์ในใจสับสน
เขากำช้อนไว้อยู่นานพอควร ก่อนเสียงต่ำจะเอ่ยออกมา “ซังจิ่ง ถ้านายยังดีกับฉันอีก ฉันเกรงว่าจะไม่มีทางใดที่ฉันจะตอบรับนายได้”
คงจะเป็นเพราะเจียงมู่เฉินพูดตรงจนเกินไป ซังจิ่งถึงเงียบไม่พูดจาไปสักพัก เขาย้ายเก้าอี้มานั่งอยู่ข้างๆ เจียงมู่เฉิน “ผมรู้”