ตอนที่ 302 ประจันหน้ากัน
เช้าวันต่อมา หลังจากเจียงมู่เฉินตื่นนอนมาก็บอกซังจิ่งทันทีว่าจะออกไปข้างนอก ก่อนหน้านี้เขานัดกับซูเตอร์ไว้แล้ว วันนี้ตอนสิบโมงเช้าเจอกันที่ร้านกาแฟเซาท์เวสต์
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าซูเตอร์มาเจอหน้าเขาอยากจะพูดเรื่องอะไร แต่ในเมื่อซูเตอร์กล้านัดเขา เขาก็กล้าไปเจออยู่แล้ว
มีเรื่องบางเรื่อง พวกเขาจะได้พูดคุยกันให้ชัดเจนได้พอดี
จะได้ไม่เอาเรื่องของซือเหยี่ยนมากัดเขาไม่ปล่อยวนไปวนมาอยู่ได้ทั้งวัน
เวลาเก้าโมงสี่สิบ เจียงมู่เฉินก็มาถึงที่หน้าประตูร้านกาแฟเซาท์เวสต์พอดี เขาจัดเสื้อผ้าบนตัวให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินมุ่งหน้าเข้าไป
เจียงมู่เฉินประหลาดใจนิดหน่อย คิดไม่ถึงว่าซูเตอร์จะมาปรากฏตัวอยู่ก่อนเช้าขนาดนี้
ยังคิดว่าระดับผู้นำของแก๊งมังกรคราม ต้องหรูหรามากพิธีการ จำเป็นต้องรออีกสักพักด้วยซ้ำ
เจียงมู่เฉินมองซูเตอร์อย่างไม่ใส่ใจ เดินตรงเข้าไปหาทันที นั่งลงต่อหน้าซูเตอร์ด้วยท่าทีเฉื่อยชา
“มาเช้าขนาดนี้เชียว ไม่กลัวจะรอนานเกินไปเหรอ”
ซูเตอร์จ้องมองเจียงมู่เฉิน “รอคุณชายเจียง ต้องมาเช้าหน่อย ถึงยังไงในถิ่นของฉัน ให้คุณชายรอนานเกินไปไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่มั้ง”
เจียงมู่เฉินกวักมือเรียกพนักงานร้าน สั่งอเมริกาโน่มาแก้วหนึ่ง
เพียงชั่วครู่เดียว พนักงานก็มาเสิร์ฟ
เจียงมู่เฉินก้มหัวดื่มคำหนึ่ง ถึงได้มองไปทางซูเตอร์ “พูดเถอะ ตกลงแล้วมีธุระอะไรหาฉัน”
ซูเตอร์เองก็ไม่รีบร้อน เขาพินิจมองเจียงมู่เฉินอย่างละเอียด ถอนหายใจเงียบๆ “บอกตามตรง ไม่ว่าจะมองจากรูปร่างหน้าตาหรือวงศ์ตระกูล คุณชายเจียงถือว่าไม่เลวจริงๆ…มิน่าล่ะ เหยี่ยนถึงได้ถูกใจนายได้”
เจียงมู่เฉินหัวเราะเบาๆ “ระหว่างพวกเราไม่จำเป็นต้องทักทายตามมารยาทแล้วมั้ง วันนี้นายมาหาฉันควรจะไม่ใช่แค่มาทักทายกันตามมารยาทหรอกใช่ไหม”
“คุณชายเจียงอย่าใจร้อนสิ ฉันก็แค่คิดว่ารู้จักกันกับคุณชายเจียงนานขนาดนี้แล้ว ยังไม่เคยได้คุยดีๆ กับคุณชายเจียง รู้สึกน่าเสียดายทีเดียว”
เจียงมู่เฉินเห็นสถานการณ์แล้วก็ไม่ได้รีบร้อนเช่นกัน มองเขาอยู่แบบนี้ ในเมื่อซูเตอร์ไม่รีบร้อน เขาจะมีอะไรให้รีบร้อนล่ะ
เขาเอนพิงบนเก้าอี้ เชิดสายตามองเขาเล็กน้อย
“เอาเถอะ นายมีอะไรอยากพูดก็ค่อยๆ พูดมาเถอะ”
“คุณชายเจียง คบกับเหยี่ยนมานานเท่าไหร่แล้ว”
“อะไรกัน นายสนใจเรื่องของฉันกับซือเหยี่ยนมากเลยเหรอ”
ซูเตอร์ลูบคาง “ไม่ต้องให้ฉันพูด นายเองก็ชัดเจนมากอยู่แล้ว ความรู้สึกความรักที่ฉันมีต่อเหยี่ยน ฉันชอบเขามานานขนาดนี้แล้ว ถึงยังไงก็ต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ไม่ใช่หรือไง”
เจียงมู่เฉินหัวเราะเบาๆ “ไม่รู้ว่าคุณซูเคยได้ยินประโยคนี้ไหม”
ซูเตอร์มองเขา “ประโยคอะไร”
“เรื่องบางเรื่องไม่รู้เสียยังจะดีกว่า” คำพูดเจียงมู่เฉินแฝงความนัย
“พูดมาแบบนี้ก็จริงอยู่ แต่ว่าฉันคนนี้ชอบอะไรแล้วต้องคว้ามาอยู่ในมือให้ได้” ซูเตอร์มองเขาอย่างแน่วแน่ “อีกอย่าง เรื่องของซือเหยี่ยน ไม่ว่าเป็นเรื่องอะไร ฉันก็อยากรู้หมด”
เจียงมู่เฉินหัวเราะ “ในเมื่อนายอยากรู้ งั้นฉันก็ทำได้แค่บอกนายแล้ว”
ซูเตอร์มองเขาอย่างได้ใจ “ดีเลย งั้นรบกวนคุณชายเจียงแล้ว”
“ไม่รู้ว่าคุณซูอยากได้ยินอะไรเหรอ” เจียงมู่เฉินจงใจเอ่ยถาม
“เช่นว่า…ซือเหยี่ยนชอบอะไรในตัวนาย” เจียงมู่เฉินคนนี้ดูๆ ไปแล้ว นอกจากใบหน้านี้ยังมีจุดที่ค่อนข้างใช้ได้ ส่วนตรงอื่นไม่มีอะไรโดดเด่น
เขาคิดจนหัวจะระเบิดก็คิดไม่ตกจริงๆ ตกลงซือเหยี่ยนชอบอะไรในตัวเขากันแน่
เจียงมู่เฉินหัวเราะเบาๆ แววตาประกายรอยยิ้ม นิ้วมือเขาค่อยๆ ประคองแก้ว เอ่ยอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “นายอยากรู้จริงๆ เหรอ”
ซูเตอร์มองเขา ความอยากเอาชนะปรากฏในแววตา
“ที่จริง ก็ไม่ได้มีอะไรน่าพูดเท่าไหร่หรอก” เจียงมู่เฉินหัวเราะเบาๆ “ยังไงซะขอเพียงแค่คนคนนี้เป็นฉัน เขาก็ชอบอยู่ดี”
ตอนที่ 303 ถูกต้อนจนมุม
เขาอ้าปากพูดแฝงความทะนงตัว “ต่อให้ฉันไม่มีอะไรดีสักอย่าง”
สีหน้าซูเตอร์เปลี่ยนในบัดดล เขาไม่เคยเจอคนที่ไม่รู้ยางอายแบบนี้อย่างเจียงมู่เฉินมาก่อน
“นายพูดแบบนี้ไม่อายหรือไง”
เจียงมู่เฉินยิ้มแล้ว “ฉันมีอะไรให้อายเหรอ หรือว่าคุณซูเตอร์บอกฉันได้ว่าตกลงแล้วซือเหยี่ยนชอบอะไรในตัวฉัน”
เขาย้อนถามกลับมา ทำให้ซูเตอร์ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
ถึงแม้ว่าสิ่งที่เจียงมู่เฉินพูดจะเป็นความจริง แต่พูดแบบนี้ก็อวดดีเกินไปแล้ว
ซูเตอร์กำมือแน่น เขาทนเห็นท่าทางเย่อหยิ่งอวดดีเช่นนี้ของเจียงมู่เฉินไม่ได้จริงๆ
อีกนิดเขาเกือบจะยั้งใจไม่อยู่อยากจะลงมือทันที
แต่เขายังมีคำถามอื่นที่ยังอยากถามเจียงมู่เฉิน จำใจต้องบังคับขืนใจอดทนไว้
เขากำมือแน่นกดเก็บความโมโหในใจลงไป
“คุณชายเจียงช่างมีความมั่นใจตัวเองอย่างที่คนธรรมดาเขาไม่กล้ามีจริงๆ วันนี้ได้เห็นขนาดนี้ นับถือเลยจริงๆ”
เจียงมู่เฉินดื่มกาแฟอีกคำอย่างสงวนท่าที
ซูเตอร์มองเขาแล้วถามอีก “คุณชายเจียงรู้อยู่ใช่หรือเปล่าว่าฉันกับเหยี่ยนเป็นคนรู้จักกันมาก่อน”
เจียงมู่เฉินเลิกคิ้วมองเขา
“เจ็ดปีก่อน พ่อฉันให้เหยี่ยนมาเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของฉัน เวลาเกือบสองปี เหยี่ยนก็อยู่ข้างกายฉันมาตลอด”
ซูเตอร์คิดย้อนกลับไป “เหยี่ยนบาดเจ็บเพื่อฉันมาหลายครั้งแล้ว มีสองครั้งที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด ยังดีที่เขาดวงดีถึงได้มีชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้…ดังนั้นคุณชายเจียงมีสิทธิ์อะไรที่คิดว่าเวลาสั้นๆ แค่ครึ่งปีของนายจะมาเทียบเวลาตั้งหลายปีขนาดนี้ของฉันกับเหยี่ยน”
เจียงมู่เฉินหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ “หรือว่าว่าวันนี้ที่คุณซูเรียกฉันมาก็คืออยากจะบอกฉันถึงอดีตของนายกับซือเหยี่ยน ให้ฉันรู้ว่ายากแล้วถอนตัวไปงั้นเหรอ”
“ฉันก็แค่พูดในสิ่งที่ควรพูดไปหมดแล้ว ที่เหลือก็ต้องดูคุณชายเจียงเองแล้วล่ะ…ถึงยังไงก็มีคนบางคนคิดเพ้อเจ้อ มักจะเอาความดีอันน้อยนิดมาคิดเป็นตุเป็นตะไปเรื่อย”
จู่ๆ ก็ถูกเขาถากถางแบบนี้ เจียงมู่เฉินรู้สึกน่าขำชะมัด
งั้นวันนี้ก็คือให้มาโดนเสียดสีกันซึ่งๆ หน้าเหรอ
ช่างน่าขันเสียจริงๆ
ไม่รู้เหมือนกันว่าซูเตอร์ไปเอาความมั่นหน้านี้มาจากไหน
เขาถอนหายใจเล็กน้อย “บอกตามตรง ถ้าเป็นอย่างนี้ตามที่คุณซูว่ามาจริงๆ ฉันก็ชักจะแปลกใจแล้วจริงๆ…ในเมื่อซือเหยี่ยนดีกับนายขนาดนั้น ไม่กี่ปีมานี้นายไม่ได้อยู่ข้างกายซือเหยี่ยน แต่กลับให้ซือเหยี่ยนมาหาฉันแทน”
เจียงมู่เฉินยกยิ้มมุมปาก “ถ้าฉันเป็นนายจะไม่มามัวเสียเวลากับตัวฉันแน่นอน สู้เอาเวลาไปคิดว่าจะทำยังไงให้ซือเหยี่ยนเปลี่ยนใจกลับมายังจะดีกว่า”
ซูเตอร์โกรธจนสีหน้าถอดสี
“นาย!”
เจียงมู่เฉินลุกยืนขึ้นมามองเขาแวบหนึ่ง “ถ้าคุณซูอยากจะเอาแต่พูดจาไร้สาระ ฉันก็ไม่มีอะไรจะคุยกับคุณต่อแล้ว”
เขาถอนหายใจเล็กน้อย “บอกตามตรง อดีตของฉันกับซือเหยี่ยนไม่มีอะไรน่าประหลาดใจจริงๆ อดีตของพวกนายจะเป็นยังไง สำหรับฉันแล้วไม่น่าสนใจเลยสักนิด…เอาล่ะ ไม่รบกวนเวลาของคุณซูแล้ว ฉันขอตัวกลับก่อน”
เจียงมู่เฉินพูดจบก็หันหลังเตรียมจะเดินออกไป ซูเตอร์ยิ้มเยาะมองตามแผ่นหลังเขาไป “อะไรกัน คุณชายเจียงอยากจะไปแล้วเหรอ”
ทันใดนั้นจู่ๆ ก็มีคนไม่กี่คนพุ่งออกมาจากในร้านกาแฟ จ้องมองเจียงมู่เฉินราวกับจ้องจะเขมือบ
“อะไรกัน เถียงสู้ไม่ได้ก็เตรียมจะลงมือแล้วเหรอ” เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง “ดูท่าว่าคุณซูจะเตรียมการมาแล้วสินะ”
“รับมือกับคุณชายเจียง ก็เป็นธรรมดาที่ต้องเตรียมป้องกันไว้เยอะหน่อย ถึงยังไงคุณชายเจียงฉลาดออกขนาดนี้ ฉันไม่มั่นใจว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของนายได้”
เจียงมู่เฉินสงบอารมณ์สังเกตมองโดยละเอียด คนไม่กี่คนพวกนี้แต่ละคนเป็นยอดฝีมือเก่งๆ กันทั้งนั้น
ดูท่าว่าครั้งนี้ซูเตอร์ไม่อยากจะให้เขามีชีวิตเดินผ่านประตูนี้ออกไปได้แล้วจริงๆ