ตอนที่ 464 พาซือเหยี่ยนกลับบ้าน
ซือเหยี่ยนเห็นเขารับคำแล้ว ก็โล่งใจไปที กลับไปบริษัทส่งมอบงานต่อสักพัก แล้วค่อยขับรถกลับไปคอนโดมิเนียม
เรื่องของเจียงมู่เฉิน เขาเคยพูดกับพ่อแม่เขาแล้ว เขาต้องไม่เข้าใจผิดเป็นธรรมดา
แต่ว่าพ่อแม่ของเจียงมู่เฉินทางนั้นก็จำเป็นต้องใส่ใจด้วยเช่นกัน
ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เกี่ยวพันไปถึงพ่อแม่ของจี้ฉิงแล้ว
เมื่อซือเหยี่ยนมาถึงคอนโดมิเนียม ก็เป็นเวลาช่วงเที่ยงแล้ว เขาเปิดประตูเข้าไป ข้างในเงียบสงัด
ซือเหยี่ยนครุ่นคิดสักพัก มั่วไป๋ไม่อยู่ถานโจว เจียงมู่เฉินเองไม่ได้กลับไปหาจี้ฉิงเป็นการชั่วคราว
คิดดูแล้วเขาควรจะยังคงนอนชดเชยอยู่ที่นี่
ถึงอย่างไรเมื่อคืนก็ค่อนข้างจะเหนื่อยล้าเลยทีเดียว จับเขาพลิกไปพลิกมาจนถึงเที่ยงคืน
เข้าห้องนอนไป ก็เห็นเจียงมู่เฉินนอนกางแขนกางขาอยู่ตรงนั้น แขนขาเรียวยาวของเขายืดเหยียดอย่างสบายใจ ชุดนอนตรงช่วงเอวยังย่นขึ้นมาบางส่วน เผยให้เห็นเอวคอดของเขา
ซือเหยี่ยนเห็นภาพนี้แล้ว ดวงตาก็ลุกวาวขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ ถ้าไม่ใช่เพราะยังมีความหักห้ามใจอยู่บ้าง เกรงว่าป่านนี้เขาคงจะโผตัวเข้าใส่แล้ว
เขากดเก็บหัวใจตัวเองที่เต้นรัวเอาไว้ ค่อยๆ เดินไปยังข้างเตียงอย่างช้าๆ
ยื่นมือไปจิ้มหน้าเจียงมู่เฉิน
เจียงมู่เฉินปัดมือเขาออกด้วยความหงุดหงิด ซือเหยี่ยนกลับไม่รู้สึกว่าเป็นการรบกวน เขายื่นมือเข้าไปอีก
เขาทำเอาจนเจียงมู่เฉินชักจะรำคาญแล้วจริงๆ ด้วยเหตุนี้จึงพลิกตัวพร้อมหลบหลีกมือของซือเหยี่ยน แล้วนอนหลับต่อ
ซือเหยี่ยนยกยิ้มมุมปากด้วยความขบขัน เอื้อมมือไปจับตัวเขามาพาให้พ้นออกจากเตียงไป
เจียงมู่เฉินถูกอุ้มมาถึงในห้องน้ำ เขาขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด เพิ่งจะเตรียมลืมตา แปรงสีฟันไฟฟ้าก็ถูกยัดเข้ามาในปาก
ทำกันขนาดนี้ ในที่สุดเจียงมู่เฉินก็รู้สึกตัวตื่นแล้ว เขาขมวดคิ้วไป แปรงฟันไป ทั้งยังถลึงตาใส่ซือเหยี่ยนด้วย
รอจนแปรงฟันเสร็จ ถึงเอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์ “นายไม่อยู่ที่บริษัท เผ่นกลับมาทำอะไร”
ซือเหยี่ยนยืนอยู่ด้านข้างกอดอกมองเขา ทั้งยังไม่ตอบคำถามเขาด้วย
หลังจากรอเขาล้างหน้าล้างตาจนตาสว่างแล้ว ซือเหยี่ยนถึงได้เอ่ยขึ้น “พวกเราจะกลับไปบ้านคุณด้วยกัน”
มือเจียงมู่เฉินที่เช็ดหน้าอยู่หยุดชะงักไป เหมือนยังไม่ทันจะมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา
“เมื่อกี้นายว่าอะไรนะ”
ซือเหยี่ยนอดทนเอ่ยซ้ำใหม่อีกครั้ง “เรื่องของคุณกับจี้ฉิง ไม่อยากจะบอกกับพ่อแม่คุณสักหน่อยเหรอ”
โดนซือเหยี่ยนเตือนกันขนาดนี้ ในที่สุดเขาก็คิดขึ้นมาได้แล้ว
ที่จริงเรื่องของตัวเองกับซือเหยี่ยนเพิ่งจะสารภาพกับพ่อแม่เขาไปเอง ทันทีหลังจากนั้นเรื่องของเขากับจี้ฉิงก็กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา
ถึงแม้ว่าจะตัดสินใจทำอะไรแล้ว แต่สุดท้ายแล้วก็ควรจะกลับไปบอกกับพ่อแม่เขาสักหน่อย
ถึงอย่างไรตอนนี้ข่าวในอินเทอร์เน็ต ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยจะถูกต้องแม่นยำเท่าไหร่นัก เขาไปบอกพ่อแม่เขาด้วยตัวเองยังจะดีกว่า จะได้ไม่ทำให้พวกท่านคิดมากเรื่องข่าวพวกนี้
เพียงแต่ว่าเจียงมู่เฉินก็คิดขึ้นมาได้กะทันหัน “แล้วพ่อแม่นายล่ะ พวกเขาคงจะไม่เชื่อจริงๆ ว่าฉันมีอะไรกับจี้ฉิงหรอกใช่ไหม”
ถ้าพวกท่านเชื่อตามข่าว คิดว่าความสัมพันธ์ตัวเองกับจี้ฉิงเป็นเรื่องจริง ถ้าอย่างนั้นกระโดดลงแม่น้ำเหลืองก็ชำระได้ไม่สะอาด แล้ว
ถึงตอนนั้น ถ้าหากไม่ให้เขากับซือเหยี่ยนคบกันอีก ก็ยุ่งยากแล้ว
ซือเหยี่ยนเห็นเขาทำหน้าทำตาตื่นตระหนก ก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นด้วยความขบขัน “วางใจเถอะ พ่อแม่ผมทางนั้น ผมพูดไปเรียบร้อยแล้ว”
เจียงมู่เฉินได้ยินแบบนี้ เวลานี้ถึงได้วางใจ
เขาเงยหน้าขึ้นเอามือกุมใบหน้าของซือเหยี่ยนไว้แล้วประทับรอยจูบเข้าไป “ประธานซือของเรา ทำไมฉลาดขนาดนี้”
ซือเหยี่ยนถูกเขาจูบด้วยใบหน้าที่ยังเปียกน้ำอยู่ เจ้าตัวก็ไม่ได้ถือสาอะไร
“ไปกันเถอะ ออกไปกินข้าวกัน แล้วกลับไปบ้านคุณด้วยกัน”
ทั้งสองคนออกจากเขตที่อยู่อาศัย หาร้านอาหารกินข้าวกัน หลังจากนั้นก็ถึงได้ขับรถกลับบ้านตระกูลเจียงไปทันที
ถึงบ้านตระกูลเจียงแล้ว คุณพ่อเจียงไม่ได้ไปบริษัทเป็นประวัติการณ์ เขาอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่เจียงดูทีวีกัน คนหนึ่งดื่มชา คนหนึ่งนั่งกินผลไม้อยู่บนโซฟา
เจียงมู่เฉินพาซือเหยี่ยนเข้าไปข้างใน สีหน้าคุณแม่เจียงไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ได้เย็นชาเท่าก่อนหน้านี้
ตอนที่ 465 ความสัมพันธ์ปรองดอง
คุณพ่อเจียงยังคงอยู่ในอิริยาบถเดิม ซือเหยี่ยนพกของติดไม้ติดมือมาไม่น้อย ทั้งหมดวางไว้บนตู้ที่ตรงทางเข้าประตู
“พ่อครับ แม่ครับ ผมกับซือเหยี่ยนกลับมาเยี่ยมหาพวกท่านแล้วครับ”
คุณพ่อเจียงเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “กลับมาก็ดี ฉันกับแม่แกยังบ่นถึงแกกับเสี่ยวเหยี่ยนอยู่เลย”
เจียงมู่เฉินได้ยินคำพูดนี้ก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เขาเห็นแววตาที่หลบซ่อนของคุณแม่เจียงพอดี
เธอเป็นแม่แท้ๆ ของเขา คนอื่นอาจจะดูไม่ออก แต่ไม่มีทางที่เขาจะดูไม่ออก
ท่าทีของแม่เขาเมื่อครู่นี้ อยากจะสนใจอยู่ชัดๆ แต่กลับไม่สบอารมณ์รู้สึกละอายใจที่จะทำเป็นสนใจ
คิดๆ ดูแล้วคือเธอนั้นละอายใจที่จะพบหน้าซือเหยี่ยน ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็ตีสีหน้าเย็นชา ทำเหมือนไม่ต้อนรับกันแบบนั้น
ตอนนี้มาเห็นซือเหยี่ยน ในใจก็เสียใจอยู่ในที
เจียงมู่เฉินพยายามมองข้ามอารมณ์ของคุณแม่เจียงที่ปรากฏอยู่นี้ไปทั้งหมด แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรเสียหายแม้แต่ปลายเล็บเช่นกัน แต่เขาลากตัวซือเหยี่ยนมาเพื่อส่งมอบของที่ตั้งใจจะให้ต่อหน้าคุณแม่เจียง “แม่ครับ ซือเหยี่ยนเอาของขวัญมาให้แม่ด้วยครับ”
ซือเหยี่ยนยิ้มแล้วหยิบกล่องใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ข้างในมีสร้อยคอสั่งทำพิเศษอยู่เส้นหนึ่ง
“น้าเจียงครับ ได้ยินเฉินเฉินบอกว่า เมื่อก่อนน้าเจียงชอบสร้อยคอมากเป็นพิเศษ เพียงแต่ว่าต่อมาไม่ได้ผลิตแล้ว ผมส่งคนไปสืบข่าวที่อิตาลีจนตามหาคนที่ทำสร้อยคนนั้นเจอ แล้วให้เขาทำสร้อยเส้นนี้ซ้ำให้ใหม่ครับ”
เมื่อคุณแม่เจียงเห็นสร้อยคอในมือซือเหยี่ยน เธอก็ประหลาดใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว
สร้อยคอเส้นนี้ยังคงเป็นสร้อยแบบเดียวกันกับเมื่อตอนที่คบกันกับคุณพ่อเจียงในตอนนั้น คือสร้อยเส้นแรกที่เขาส่งให้เธอ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ของสูงค่าราคาแพงเป็นแสนเป็นล้าน แต่ว่าก็มีความหมายพิเศษแทนใจ
เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าทำหายไปได้อย่างไร หลายปีมานี้หาไม่เคยเจอเลย
เรื่องนี้ก็เป็นอีกหนึ่งความรู้สึกผิดที่มีอยู่ในใจของเธอ
คิดไม่ถึงว่าซือเหยี่ยนเด็กคนนี้จะมีความตั้งใจถึงขนาดนี้ จู่ๆ ก็มาสั่งทำสร้อยคอเส้นใหม่โดยเฉพาะให้
เจียงมู่เฉินเองก็ค่อนข้างจะแปลกใจเช่นกัน เรื่องนี้เขาเองก็ไม่รู้ แล้วซือเหยี่ยนรู้ได้อย่างไร
เขายื่นมือไปสะกิดซือเหยี่ยน “เฉินเฉิน สวมสร้อยให้น้าเจียงสิ”
คุณชายเจียงเป็นคนมีไหวพริบ เพียงชั่วขณะก็เข้าใจความหมายของซือเหยี่ยนได้ เขารีบส่งมือเข้าไปหยิบสร้อยคอในมือซือเหยี่ยนมาสวมให้คุณแม่เจียง
หลังจากสวมสร้อยเสร็จแล้ว เจียงมู่เฉินก็เอ่ยชมคุณแม่เจียงไม่ขาดปากว่าสวยเป็นพิเศษ คุณแม่เจียงเองก็ติดใจจนวางไม่ลง
เธอส่องกระจกดู ใบหน้าไม่สบอารมณ์มีรอยยิ้มแต่งแต้มขึ้นมาแล้ว
เธอมองซือเหยี่ยนพลางเอ่ยเสียงต่ำ “ขอบใจเราจริงๆ นะ”
ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า “เป็นครอบครัวเดียวกัน สมควรอยู่แล้วครับ”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสร้อยคอเส้นนี้สื่อถึงใจคุณแม่เจียงได้ หรือเป็นเพราะความตั้งใจนี้ของซือเหยี่ยน สีหน้าอารมณ์ที่แสดงออกของคุณแม่เจียงถึงได้ดูดีขึ้นกว่าเมื่อครู่นี้ขึ้นมากทีเดียว
เธอมองซือเหยี่ยน ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ก่อนหน้านี้น้าค่อนข้างจะถือทิฐิ พูดจาล่วงเกินไปก็ไม่น้อย เราอย่าเก็บเอาไปใส่ใจเลยนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ น้าเจียงเป็นผู้ใหญ่ ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องว่าผม ต่อให้ลงไม้ลงมือกับผมก็ไม่เป็นไรครับ”
เจียงมู่เฉินนั่งลงอยู่ข้างๆ อดจะเลิกคิ้วขึ้นมาไม่ได้ เมื่อก่อนไม่เห็นจะรู้สึกเลยว่าซือเหยี่ยนจะพูดจาดีได้ขนาดนี้
‘ยังมีคำพูดคำจาหวานล้ำที่มาเป็นชุดๆ อีกมาจากไหนกัน’
เขาอดจะพินิจมองซือเหยี่ยนไม่ได้ แล้วฉวยโอกาสแอบบีบมือซือเหยี่ยน
เจียงมู่เฉินบีบเสร็จก็อยากจะเผ่นทันที ผลปรากฏว่าโดนซือเหยี่ยนจับมือไว้แล้วกำไว้แน่น สลัดไม่หลุด
เจียงมู่เฉินตะลึงงัน ดึงกันไปกันมาต่อหน้าแม่เขาแบบนี้ เดี๋ยวก็ทำให้แม่เขาโมโหขึ้นมาอีกหรอก ถึงตอนนั้นจะง้อก็ไม่ง่ายแล้วนะ
ยังดีที่ซือเหยี่ยนไม่ได้ดึงรั้งไว้นานเกินไป พูดสองประโยคก็ปล่อยมือออกแล้ว
ทั้งสองคนนั่งอยู่ตรงข้ามคุณพ่อเจียงและคุณแม่เจียง คุณแม่เจียงเห็นพวกเขาสองคนเป็นแบบนี้ ความกลัดกลุ้มที่อัดแน่นอยู่ในใจแต่เดิมก็ผ่อนคลายลงไปด้วย
‘ช่างเถอะ ช่างเถอะ เจ้าลูกชายชอบ จะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็เหมือนกัน’
ยังดีที่ซือเหยี่ยนก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล ตัวเองก็เห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต นิสัยใจคอเป็นคนดีหรือไม่อย่างไรก็ไม่ต้องคัดสรรแล้ว
จุดสำคัญคือดีกับเฉินเฉินจริงๆ