ตอนที่ 556 ขบก็ขบ!
มั่วไป๋มองดูท่าของตัวเองกับไป๋จิ่ง ถ้าไป๋จิ่งเอาแต่ไม่ปล่อยมืออยู่แบบนี้ มีคนมาเห็นเข้าก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่แล้ว
ไม่ว่าอย่างไรที่นี่ก็โรงพยาบาล เหยียนอวี้และพยาบาลก็จะเข้ามาได้บางครั้งบางคราว
มั่วไป๋คิดหน้าคิดหลังดูแล้ว ตัดสินใจเทหมดหน้าตักไปเลย
‘ก็แค่ขบเองไม่ใช่เหรอ…
ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยขบมาก่อน…ขบก็ขบ! ใครกลัวใคร!’
คิดถึงตรงนี้ ทันใดนั้นมั่วไป๋ก็เงยหน้าเข้าไปจูบ เดิมทีไป๋จิ่งคิดว่าเขายังต้องรออีกสักพัก ใครจะคิดว่าจะกอดเขาแล้วจูบเขากะทันหันได้
คนทั้งคนยังไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับมา
มั่วไป๋จูบเสร็จก็ผละออกทันที ไป๋จิ่งมองมั่วไป๋ด้วยสีหน้างุนงง อยากทำอะไรก็ทำขนาดนี้เชียวเหรอ
‘ไม่จำเป็นต้องแจ้งเขาให้รู้สักคำก่อนเหรอ…
…ไม่ว่ายังไงเขาก็จะได้เตรียมอะไรไว้บ้าง’
มั่วไป๋เห็นสีหน้าหมอไม่รับเย็บของไป๋จิ่ง เขาก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นด้วยความขบขัน
รู้สึกว่าไป๋จิ่งแบบนี้ดูแล้วตลกขบขันอย่างน่าทึ้ง
เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองดูไป๋จิ่งที่ยังคงงงงัน พลางเอ่ยขึ้น “ยังไม่ปล่อยอีกเหรอ”
ไป๋จิ่งอยากกะล่อน เขาไม่อยากปล่อยมือ แต่มั่วไป๋มองเขาขนาดนี้ จิตใต้สำนึกสั่งให้เขาปล่อยมือ
พอเขาปล่อยมือ มั่วไป๋ก็ดึงเปิดผ้าห่มออกลงจากเตียงทันที ไป๋จิ่งมองตามแผ่นหลังเขาไป ถอนหายใจอย่างหมดอาลัยตายอยาก
‘อยากจะพุ่งเข้าไปจับกดเขาทำยังไงดี’
ไป๋จิ่งนั่งอยู่บนเตียง ข่วนเตียงอย่างเงียบๆ
……
ผ่านสองวันติดต่อกันไปด้วยความเงียบสงบ ไป๋จิ่งวนเวียนอยู่กับมั่วไป๋ทุกวันอย่างเอาเป็นเอาตาย เหมือนว่าเรื่องที่เขาคืนดีกับมั่วไป๋อย่างเป็นทางการจะทำให้หนังหนาเขายิ่งหนา ยิ่งหน้าไม่อายไปกันใหญ่
ใช้คำของเหยียนอวี้มาพูด ระดับความหนาของหนังหน้าเจ้าหมอนี่ถึงขั้นสุดยอดแล้ว
มั่วไป๋เอียงหน้ามองเขาบ้างบางครั้งบางคราว เวลาส่วนใหญ่ก็ชินหมดแล้ว
เขานิสัยเย็นชา ถ้าไม่ใช่เพราะไป๋จิ่งวนเวียนอยู่กับเขาทุกวันขนาดนี้ เกรงระหว่างเขากับไป๋จิ่งจะคืบหน้าช้ากว่าเต่าคลานเสียอีก
ที่จริงก็ดีที่ไป๋จิ่งหน้าไม่อาย ความสัมพันธ์ของพวกเขาถึงได้คืบหน้าไปเร็วอย่างน่าทึ้งได้
ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้มีอะไรคืบหน้าเป็นหลัก แต่ไม่มีอะไรทำก็จูบบ้าง ไม่มีอะไรทำก็กอดบ้างก็ยังได้
ไป๋จิ่งกลายเป็นร่างสุนัข ส่ายห่างอยู่ตามหลังเขาทุกวัน
แม้แต่พยาบาลที่รู้จักกันคุ้นเคยกัน ยังคุยซุบซิบกันเรื่องไป๋จิ่งและมั่วไป๋กันอยู่ข้างๆ บ่อย
รู้สึกว่าพวกเขาดูเหมาะสมกันมากเป็นพิเศษ บางครั้งที่เข้าไปส่งยาให้มั่วไป๋ ยังขยิบตาให้มั่วไป๋ได้
ทุกครั้งมั่วไป๋จะถูกพวกเขาทำจนจะหัวเราะก็ไม่ได้จะร้องไห้ก็ใช่ที่
ไป๋จิ่งไม่ค่อยรู้เบื้องหน้าเบื้องหลัง ช่วยไม่ได้ ในสายตาเข้าเห็นแค่เพียงมั่วไป๋ อย่างอื่นกลายเป็นฉากกำบังโดยอัตโนมัติแล้ว
สองวันมานี้เขานอนกินบ้านกินเมือง แต่เซียวเย่ว์อีกฝั่งหนึ่งก็ไม่ได้ผ่อนคลายขนาดนั้น
เธอเอาแต่คิดถึงเรื่องพรุ่งนี้ที่จะได้เจอหน้าไป๋จิ่ง เขาวางแผนจะแต่งตัวดีๆ ทำให้ไป๋จิ่งตาลุกวาว
ผู้ชายส่วนใหญ่ต่างก็มองแค่เปลือกนอก ชอบผู้หญิงที่สวยดูดีกันทั้งนั้น
เซียวเย่ว์คิดว่าไป๋จิ่งก็ควรจะไม่ใช่ข้อยกเว้น
ด้วยเหตุนี้เธอจึงตั้งใจไปทำผมเป็นพิเศษเพื่อการพบกันพรุ่งนี้
เธอจำเป็นต้องรีบคว้าไป๋จิ่งไว้ให้ได้เร็วที่สุด
……
ยามราตรีไป๋จิ่งนั่งอยู่ข้างเตียง ทำหน้าทำตาน่าสงสารมองมั่วไป๋
‘เขาอยากจะนอนเตียงเดียวกันกับมั่วไป๋ ทำยังไงดี’
สำหรับสายตาของเขา มั่วไป๋มองข้ามไปเสียเลย ค่ำนี้ไป๋จิ่งปีนขึ้นเตียงมาสองครั้งแล้ว ทุกครั้งต่างก็ถูกมั่วไป๋สกัดไว้ตลอด
ไป๋จิ่งมองมั่วไป๋ ทรมานในใจ มั่วไป๋เป็นแฟนของเขา เขานอนกับแฟนตัวเองมีอะไรไม่ถูกต้องกัน
ไป๋จิ่งกะพริบตาอย่างน่าสงสาร ดูไปแล้วเหมือนไซบีเรียนฮัสกีตัวหนึ่งโดยเฉพาะ
มั่วไป๋ส่ายหัวด้วยท่าทีเรียบเฉย “ไม่ได้”
ไป๋จิ่งอยากร้องไห้ ถ้าไม่ใช่ว่าเขาเป็นชายชาตินักรบผู้กล้าหาญ นี่คาดว่าจะกำหมัดเล็กๆ ร้องไห้ออกมาได้แล้ว
มั่วไป๋เห็นสีหน้าของเขาก็รู้สึกขำขันอยู่ไม่เบา แต่ว่ายังกดเก็บรอยยิ้มทำหน้าบึ้งส่ายหัวให้อยู่
“เพราะอะไร เพราะอะไรถึงไม่ได้” ทั้งเนื้อทั้งตัวไป๋จิ่งแม้กระทั่งรูขุมขนต่างก็กำลังถามว่า ‘เพราะอะไร’ อยู่สามคำนี้
มั่วไป๋โต้แย้งอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ไม่มีเพราะอะไร ก็คือไม่ได้”
ตอนที่ 557 กุมมือนอน
สองคนนอนด้วยกันจะเหมือนอะไรได้ มีคนมาเห็น เขายังต้องเป็นคนที่รู้จักวางตัวอยู่ไหมล่ะ
ถึงแม้ว่าประเทศอเมริกาจะเปิดมาก อีกอย่างเขาก็ไม่ได้สนใจปัญหาเรื่องรสนิยมทางเพศของตัวเอง แต่ว่าจะมานอนกับไป๋จิ่งที่นี่ก็ยังรู้สึกเขินอายอยู่ไม่เบา
“ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด”
ไป๋จิ่งเป็นหมาหงอยในพริบตา ถึงจะเลือนราง มั่วไป๋ก็เห็นหางที่อยู่ด้านหลังเขาตกลงไปได้
คิดดูแล้ว มั่วไป๋ก็เอ่ยปากอีกครั้ง “เอางี้ไหม กุมมือกันนอน”
เตียงของพวกเขาสองคนดันมาติดกันแล้ว นอนสองเตียงกับนอนเตียงเดียวไม่มีความต่างอะไรโดยสิ้นเชิง
แต่ไป๋จิ่งกลับไม่ชอบใจระยะห่างหนึ่งกำมือนั่น
แบบนั้นเขาก็จะกอดมั่วไป๋อย่างตามใจตัวเองไม่ได้แล้ว
มั่วไป๋เห็นเขาไม่พูดจาอยู่ตั้งนานสองนาน เสียงต่ำจึงเอ่ยถามอีก “ได้ไหม ไม่ได้ฉันจะนอนแล้ว”
เสียงเขาเพิ่งจะหยุดลง ไป๋จิ่งก็นอนลงแล้วยื่นมือออกมาทันที แสดงท่าทางต้องการจูงมือ
มั่วไป๋ปวดหัว รู้สึกว่าตอนนี้ไป๋จิ่งไม่ต้องการหนังหน้าแม้สักนิดแล้ว
‘เมื่อก่อนเขาไม่ได้เป็นแบบนี้เลยนะ’
มั่วไป๋ยังจำได้ไป๋จิ่งเมื่อก่อนมีสีหน้าเย็นชา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เข้าใกล้ยากเท่าซือเหยี่ยน แต่ไม่ว่ายังไงก็ไปกันกับกับมาดพลาสเตอร์หนังหมาตอนนี้ไม่ได้
เขาพยายามทำความเข้าใจไปด้วย ยื่นมือไปจับมือไป๋จิ่งไปด้วย
ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋ยื่นมือมาดึงมือเขาไว้ อารมณ์ก็เบิกบานขึ้นมาอีกครั้ง
เหมือนว่ามุมปากอดจะเชิดขึ้นไม่ได้ ไป๋จิ่งตะแคงตัว จ้องมองมั่วไป๋ตาไม่กะพริบ
เห็นมั่วไป๋นอนหงายอยู่บนเตียง เขาก็ยื่นมือไปดึงมือมั่วไป๋ไว้
มั่วไป๋ถอนหายใจ จำใจต้องหันหน้ามามองไป๋จิ่ง ไป๋จิ่งเห็นเขาทำแบบนี้ อารมณ์ถึงดีขึ้นมาได้
ไป๋จิ่งกับมั่วไป๋ทั้งสองคนกำลังทำตาใหญ่จ้องตาเล็ก จ้องมองกันไปกันมาอยู่
จู่ๆ มั่วไป๋ก็ถอนหายใจ เอ่ยถามอย่างจริงจัง “นายคือไป๋จิ่งจริงๆ ใช่ไหม” ไม่ได้ถูกผีเข้าสิงใช่ไหม
แน่นอนว่าประโยคหลัง เขาไม่ได้เอ่ยถามออกมา
ไป๋จิ่งกัดฟัน คิดอย่างจริงจัง นี่มั่วไป๋หมายความว่าอะไรกัน
ทันใดนั้นเขาก็ขยับตัว ลุกขึ้นจากเตียง ขณะที่มั่วไป๋ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา วาบมาอยู่เตียงมั่วไป๋ทันที
เขาเหมือนกับปลาหมูไม่มีผิด ลื่นไถลเข้าไป ดึงอย่างไรก็ดึงไม่ออก
มั่วไป๋จนใจ เขาไม่รู้สึกแปลกกับการที่ไป๋จิ่งจะทำอะไรโดยไม่คาดคิดแบบนี้ได้เลยสักนิด
เขาถอนหายใจ ยอมรับการกระทำอันหน้าไม่อายของไป๋จิ่งแล้ว
ไป๋จิ่งหัวเราะไร้เสียง รู้สึกว่าน่าตื่นเต้นกว่าว่าความคดีใหญ่กว่าสิบล้านคดีเสียอีก
เป็นอย่างที่คิดไว้เตียงของตัวเองทั้งเย็นทั้งแข็ง เตียงของมั่วไป๋นุ่มกว่า นอนสบายกว่ามาก
เขายื่นมือไปกอดไว้ ผอมไปสักหน่อย ถ้าอ้วนขึ้นมาอีกนิด น่าจะยิ่งสบายกว่านี้
มั่วไป๋เห็นใบหน้าดูหื่นๆ ของเขา ก็อดจะคิดอย่างเงียบๆ ไม่ได้ว่า ตกลงเจ้าหมอนี่จะมานอนเตียงเขา หรือจะมาหลับนอนกับเขากันแน่
‘ก็แค่มานอนกันเฉยๆ เท่านั้น ทำไมต้องทำเหมือนวางแผนทำมิดีมิร้ายอย่างนั้นด้วย’
มั่วไป๋ปวดหัว ตั้งแต่เจอกับไป๋จิ่ง คนทั้งคนก็ไม่ดีแล้ว
ไป๋จิ่งกระชับอ้อมแขน กกกอดเขาอย่างแน่นสนิทไว้ในอ้อมอก แสดงท่าทีว่ามั่วไป๋อยากหนีก็หนีไม่ได้
เขาก้มหน้ามาก็เห็นใบหน้าของมั่วไป๋ อุณหภูมิที่เรือนผิวมาจากเรือนกายของมั่วไป๋ทั้งสิ้น
ลมหายใจเบาๆ เป็นกลิ่นหอมจางๆ เฉพาะตัวของมั่วไป๋
ไป๋จิ่งก้มหน้าดมกลิ่นอยู่ตั้งนานสองนาน ทันใดนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าก็เกร็งขึ้นมากะทันหัน
มั่วไป๋ตัวแข็งทื่อขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ เขามองไป๋จิ่งแวบหนึ่งทันที แต่มีหรือที่ไป๋จิ่งจะกล้าสบตามั่วไป๋ เจ้าตัวรีบเบนสายตาหนีแทบจะเดี๋ยวนั้น
มั่วไป๋รู้สึกถึงอุณหภูมิที่ไม่ใช่ของตัวเองอย่างชัดเจน
เขายิ้มเยาะ ยกเท้าถีบใส่ไป๋จิ่ง
ถีบจนคนตกจากเตียง มั่วไป๋ถลึงตาใส่เขา “เข้าไปจัดการเองเลย”
ไป๋จิ่งถูกมั่วไป๋ถีบตกเตียง เขาตะลึงงันเงยหน้ามอง ร้องโอยอุบอิบ
‘ทำไมเขาถึงมีปฏิกิริยาตอบสนองในเวลานี้ได้’
เขามองมั่วไป๋ตาปริบๆ ก็เห็นเพียงแค่อีกฝ่ายดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง