ตอนที่ 436 ความรู้สึกแปลกประหลาด
‘คนแบบนี้จะไปหาได้ที่ไหน’
ยิ่งไปกว่านั้น ความรักความผูกพันที่เขามีต่อซือเหยี่ยนก็จะไม่ได้น้อยกว่าที่ซือเหยี่ยนมีให้เช่นกัน
เหวินฮุ่ยมองคุณพ่อซือแล้วถอนหายใจเบาๆ “ดูท่าว่าเจ้าลูกชายคบกันกับเฉินเฉิน ต่อจากนี้พวกเราก็วางใจได้แล้วนะคะ”
รอยยิ้มปรากฏในแววตาของคุณพ่อซือ เขาเอื้อมมือไปโอบกอดเหวินฮุ่ยเอาไว้ “ลูกมีความสุขก็ดีแล้วครับ”
เหวินฮุ่ยเก็บกล่องให้สภาพคงเดิมด้วยความระมัดระวังราวกับเป็นของรักของหวง แล้วหยิบกล่องของคุณพ่อเจียงไปเก็บไว้ด้วยกันที่ห้องนอน
เมื่อเธอจะไป ก็ยังไม่ลืมที่จะกำชับกับคุณพ่อซือว่า “รีบทำอาหารเร็วๆ นะคะคุณ เดี๋ยวฉันมา อย่าให้เด็กสองคนต้องหิวรอ”
ดวงตาคู่นั้นที่คุณพ่อซือและซือเหยี่ยนมีความคล้ายกันเอ่อล้นไปด้วยรอยยิ้ม เขาพยักหน้าเล็กน้อย พร้อมเอ่ยขึ้น “ครับผม”
ในน้ำเสียงนั้นยังเจือความเอ็นดูของเขาด้วย
……
ซือเหยี่ยนพาเจียงมู่เฉินขึ้นไปยังชั้นบน แล้วพาเข้าห้องของเขาทันที
เมื่อก่อนมีเพียงซือเหยี่ยนที่หน้าไม่อายปีนกำแพงวิ่งมาห้องของเขา ไม่เหมือนเขาที่เดินเข้ามาห้องของซือเหยี่ยนอย่างเปิดเผย
เปรียบเทียบกันขนาดนี้แล้ว เจียงมู่เฉินยังรู้สึกภูมิใจเล็กๆ อย่างบอกไม่ถูก
ยังไม่ทันได้ภูมิใจเสร็จ จู่ๆ ก็ถูกคนดึงตัวไปพร้อมกดร่างแนบไปกับประตู เจียงมู่เฉินตะลึงงันกำลังเตรียมจะพูด ก็เห็นซือเหยี่ยนโน้มตัวเข้ามาใกล้สกัดเขาไว้
เจียงมู่เฉินโดนเขาประกบจูบแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ตัวเองมาเยี่ยมชมดูห้องของเขา ก็ไม่รู้ว่าไปสะกิดโดนจุดไหนของเขา ถึงได้มากดจูบเขาอย่างนี้
ซือเหยี่ยนร้อนแรงจนไม่ไหว ท่าทางดุดันอยู่ไม่น้อยทีเดียว
เจียงมู่เฉินโดนเขากดเข้าประตูจนไม่มีแรงจะต้านทาน อีกอย่างต่อให้อยากต่อต้าน ก็ไม่มีแรงจะต้านทานเหมือนเดิม
เขาถอนหายใจเงียบๆ ผ่อนคลายร่างกาย ปล่อยให้ซือเหยี่ยนกดตัวเองเอาไว้
รู้ว่าซือเหยี่ยนจูบเรียบร้อยแล้ว ถึงได้ปล่อย เจียงมู่เฉินหายใจหอบเล็กน้อย เขาสูดหายใจเอาอากาศสดชื่นเข้าไปเฮือกใหญ่ เอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์ “จู่ๆ นายมาจูบฉันทำไม”
ดวงตาสีดำขลับของซือเหยี่ยนฉายสะท้อนความสับสนในอารมณ์ เขาจ้องมองเจียงมู่เฉิน นัยน์ตานั้นทอประกายความรู้สึกที่เจียงมู่เฉินมองไม่เข้าใจ
ผ่านไปครู่ใหญ่ ซือเหยี่ยนก้มหน้าลงจูบเจียงมู่เฉิน เสียงต่ำเอ่ยขึ้น “ทำยังไงดี อยากห่อคุณวางไว้ข้างกาย ไปไหน ก็เอาไปด้วย”
ขมับของเจียงมู่เฉินกระตุกแล้วกระตุกอีก เขาปฏิเสธความคิดโรคจิตแบบนี้ของซือเหยี่ยนได้ไหม
แต่พอสบสายตาของซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉินก็ไร้สิ้นหนทางไปในทันใด พูดคัดค้านไม่ออกสักคำ
ถึงขนาดว่าเขารู้สึกแล้วว่าต่อให้ซือเหยี่ยนอยากจะห่อเขาพาเขาไปจริงๆ ตัวเองก็จะไม่คัดค้านเหมือนเดิม
เจียงมู่เฉินรู้สึกว่า เดี๋ยวนี้ตัวเองชักจะไม่มีเส้นตายแล้ว
‘แต่พอมาคิดว่ากับซือเหยี่ยนแล้วไม่มีเส้นตายก็ไม่มีเส้นตาย จะเอาเส้นตายไปทำอะไรเยอะแยะ’
“คุณไปซื้อของขวัญมาเมื่อไหร่” ซือเหยี่ยนเอ่ยปากอีกครั้ง
ครั้งนี้เวียนมาถึงเจียงมู่เฉิน เขาไม่กล้าพูดแล้ว คิดไม่ถึงว่าซือเหยี่ยนจะซักถามเขาเรื่องนี้ ถึงอย่างไรตอนที่ส่งของขวัญเมื่อครู่นี้ ก็รู้สึกเขินอายนิดหน่อย
ตอนนี้โดนซือเหยี่ยนกดเข้าประตูพร้อมถามละเอียดขนาดนี้ ยิ่งรู้สึกว่าเขินอายถึงขีดสุดแล้ว
เขากะพริบตาปริบๆ อยากจะหลบหนี ไม่อยากจะตอบซือเหยี่ยน
แต่ว่าท่าทีของซือเหยี่ยนแข็งกร้าวไม่ถอยแบบนั้น ราวกับว่าถ้าเขาไม่ตอบ ก็จะกดเขาอยู่อย่างนี้ไม่ปล่อย
เจียงมู่เฉินเงียบงันไม่พูดจาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “เมื่อวานเดินผ่านแล้วซื้อติดมือมาเฉยๆ”
ซือเหยี่ยนหรี่ตาลง “แค่ติดมือมาจริงๆ เหรอ”
เจียงมู่เฉินโดนเขาถามจนร้อนรน อดไม่ได้ที่จะถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง “ตั้งใจ ตั้งใจโอเคหรือยัง”
ต้องการให้เขายอมรับว่าเพื่อจะมาพบพ่อแม่ของซือเหยี่ยนแล้ว ตัวเองตื่นตระหนกจนไม่ไหว ทั้งยังตั้งใจซื้อของขวัญที่เหมาะสมคู่ควร
คำพูดนี้พูดออกมาแล้วรู้สึกเขินอายไปทุกๆ ส่วน
เจียงมู่เฉินพูดจบ ซือเหยี่ยนก็เงียบงันไม่พูดจากะทันหัน บรรยากาศเงียบสงัดจนไม่ไหว เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่คนตรงหน้าเสร็จ ก็ก้มหน้าลงอย่างหงอยๆ ไม่พูดอะไรสักคำ
ทั้งสองคนต่างไม่พูดจาใดใด ความรู้สึกแปลกประหลาดลอยอบอวลอยู่ในอากาศ
ตอนที่ 437 เขินอายอย่างบอกไม่ถูก
บรรยากาศอันเงียบสงัดนี้ทำให้แก้มเจียงมู่เฉินร้อนผ่าวขึ้นมา เขาทนไม่ไหวทำเสียงกระดกลิ้นออกมา ตัวเองคงจะไม่ได้เขินอายจนลามขึ้นไปบนใบหน้าหรอกใช่ไหม
พอเจียงมู่เฉินคิดว่าตัวเองหน้าแดงต่อหน้าซือเหยี่ยน มุมปากก็อดจะกระตุกขึ้นมาไม่ได้
‘เขาคุณชายน้อยเจียงนี่นะ จะมาทำเรื่องหน้าอายแบบนี้ได้ยังไง’
เจียงมู่เฉินไม่รู้ว่าขณะนี้ที่เขาอยู่ต่อหน้าซือเหยี่ยน มีหรือจะแค่แก้มแดง เห็นได้ชัดว่า หางตา ใบหูและแก้มกำลังขึ้นสีแดงไปทุกส่วน
โดยเฉพาะใบหูที่แดงระเรื่อ บวกกับที่เขาก้มหน้าลง ใบหูที่แดงนั้นจึงปรากฏอยู่ต่อหน้าต่อตาซือเหยี่ยน น่ารักน่าเอ็นดูอย่างเหลือเชื่อ
ถ้าไม่ใช่ว่ายังมีแรงควบคุมตัวเองอยู่บ้างเพียงน้อยนิด คาดว่าเวลานี้ซือเหยี่ยนคงได้จับกดคนแล้วโดนจับตายอยู่ตรงนั้นเลย
เขารออีกสองนาที ซือเหยี่ยนก็ยังไม่เปิดปากพูด
เจียงมู่เฉินร้อนใจแล้ว เงยหน้ามองซือเหยี่ยนด้วยไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแล้ว ก็เห็นแค่เพียงหางตาซือเหยี่ยนแฝงรอยยิ้มจ้องมองเขาอยู่ ความรู้สึกลึกซึ้งที่พูดไม่ออก
เจียงมู่เฉินรู้สึกเพียงแค่การสะดุ้งตกใจ แม่งเอ๊ย ซือเหยี่ยนยั่วยวนเขาขนาดนี้แล้ว ถ้าไม่ให้อีกก็ไม่ใช่แนวของเขาเจียงมู่เฉินแล้ว
ด้วยเหตุนี้จึงกระชากซือเหยี่ยนเข้ามา แล้วเงยหน้าขึ้นจูบไปทั้งอย่างนี้
ซือเหยี่ยนมองเจียงมู่เฉินด้วยความตกตะลึง คงจะคิดไม่ถึงว่าเขาจะประกบจูบตัวเองกันจะๆ อย่างนี้
เจียงมู่เฉินจูบอย่างควบคุมตัวเองไม่ค่อยอยู่ หัวใจทั้งดวงราวกับถูกทิ้งเข้าเตาไฟ แผ่ซ่านอุณหภูมิความร้อนที่ทำให้คนร้อนผ่าวได้
เจียงมู่เฉินอาศัยช่วงที่ตัวเองยังพอคุมสติอยู่ได้ รีบผละตัวออกมา
ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือบ้านของซือเหยี่ยน ถ้าเขาแสดงออกมากเกินไป ก็จะดูเหมือนตัวเองรีบร้อนเกินไปเช่นกัน
เจียงมู่เฉินปล่อยมือ ดันซือเหยี่ยนให้ออกห่าง เขาถลึงตาใส่ซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง “นายอย่าเข้ามาอีกนะ”
ต่อให้เจียงมู่เฉินไม่พูด ซือเหยี่ยนเองก็จะไม่เข้าไปอีกอยู่แล้ว
ถึงอย่างไรความดึงดูดใจของเจียงมู่เฉินที่มีต่อเขา แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่กล้าจะประเมินค่าต่ำ
ทั้งสองคนต่างฝ่ายต่างเงียบกันอยู่สักพัก เจียงมู่เฉินถึงได้เริ่มสังเกตดูรอบห้องของซือเหยี่ยน
เหมือนกับในคฤหาสน์ของซือเหยี่ยนในตอนนั้นไม่มีผิด เป็นห้องที่ ‘ไม่มีอะไรเลย’ ถึงขั้นสุด นอกจากโต๊ะหนังสือก็ไม่มีของอย่างอื่น
เจียงมู่เฉินอดไม่ได้ที่จะนึกย้อนกลับไปถึงวันวานที่อยู่ในโรงเรียนฝึกตำรวจ ตอนนั้นเหมือนซือเหยี่ยนก็เป็นแบบนี้
ตอนนั้นเขากับซือเหยี่ยนใช้ห้องร่วมกัน ทุกครั้งสิ่งของในห้องจะเป็นของของเขาที่วางกองเต็มไปหมด ตรงกันข้ามเหมือนซือเหยี่ยนจะไม่มีข้าวของอะไรเท่าไหร่นัก
เขาอดไม่ได้ที่จะถามซือเหยี่ยนด้วยความแปลกใจ “ตั้งแต่เล็กๆ นายผ่านชีวิตการเป็นนักบวชที่บำเพ็ญทุกขกิริยาจนชินแล้วใช่ไหม ทำไมในห้องถึงไม่มีข้าวของอะไรเลย”
แต่ว่าตั้งแต่เล็กๆ ซือเหยี่ยนก็เหมือนกันกับเขา เป็นถูกเลี้ยงดูเอาใจมาจนโต จะมาใช้ชีวิตสมถะขนาดนี้ได้ยังไงกัน
ซือเหยี่ยนได้ยินประโยคนี้ แววตาก็สั่นเล็กๆ
“โต๊ะนี้นายไม่ใช้ ให้ฉันยืมใช้หน่อยสิ ข้าวของฉันเยอะ แล้วเดี๋ยวฉันจะเลี้ยงข้าวนายเป็นการชดเชย…
…ซือเหยี่ยน ตู้นี้ของนายก็ว่างตั้งครึ่งหนึ่ง ก็ให้ฉันยืมใช้ด้วยแล้วกันนะ”
สุดท้ายเมื่อเจียงมู่เฉินยึดพื้นที่ของเขาไปครึ่งหนึ่งแล้ว ในที่สุดซ์อเหยี่ยนก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา “เจียงมู่เฉิน ทำไมข้าวของคุณถึงเยอะกว่าผู้หญิงอีก”
เจียงมู่เฉินเชิดมุมปากขึ้นด้วยใบหน้าแสนอวดดี “ช่วยไม่ได้ ภาพลักษณ์ดาราหนักเกินไป ถึงยังไงแม่ฉันก็ยังหวังให้ฉันหาลูกสะใภ้กลับไปให้ท่านด้วย”
ซือเหยี่ยนไม่ได้เอ่ยรับคำพูดของเขาต่อ เขามองดูข้าวของของเจียงมู่เฉินที่วางกองๆ กัน เขากุมขมับอย่างช่วยไม่ได้
วันต่อมา เขาเอาสิ่งของที่ตัวเองไม่ได้ใช้เก็บไปทั้งหมด แล้วแสร้งทำเป็นบังเอิญ พูดกับเจียงมู่เฉิน “ตู้ผมว่างแล้ว คุณอยากใช้ก็ใช้ได้เลยนะ”
เจียงมู่เฉินวิ่งเข้าไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ เห็นตู้หลังนั้นที่ว่างแล้ว ก็เอ่ยตะโกนอย่างฮึกเหิม “ซือเหยี่ยน นายนี่เป็นคนดีจริงๆ ต่อไปฉันหาสะใภ้เจอ แล้วจะพาเธอมาขอบคุณนายแน่นอน”
ซือเหยี่ยนหันหลังให้เจียงมู่เฉินอยู่ ได้ยินคำว่า ‘หาสะใภ้เจอ’ แววตาก็ประกายวาบขึ้นมาครู่หนึ่ง