ตอนที่ 138 แฟนหนุ่มต่างหาก
ครั้งนี้ที่เขามาก็เพื่อตรวจสอบซังจิ่ง ที่ถานโจวเขาใช้เส้นสายตรวจสอบซังจิ่งคนนี้ เพียงแต่ว่าข้อมูลประวัติเขาขาวสะอาดมาก ปัญหาอะไรก็ตรวจสอบไม่พบ
แต่ลางสังหรณ์จากการที่เขาเรียนตำรวจมาหลายปีบอกเขา ว่าซังจิ่งคนนี้ต้องมีปัญหาอะไรบางอย่างแน่ๆ
อีกอย่าง ซังจิ่งมีเป้าหมายกับเจียงมู่เฉินชัดเจนมาก
เพียงแค่มันโยงใยไปถึงเจียงมู่เฉิน เขาไม่ปกป้องไม่ได้
“ซังจิ่ง?” ไมเคิลทวนชื่อนี้ซ้ำ “เขามีอะไรผิดปกติเหรอ”
“ตอนนี้ยังไม่มี ฉันเลยคิดจะให้นายช่วยฉันตรวจสอบเขา” ไมเคิลเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ เมื่อก่อนช่วยเหลือพวกเขาไม่น้อยทีเดียว ดังนั้นครั้งนี้คนที่เขานึกถึงแวบแรกก็คือไมเคิล
เดิมทีเขาคิดจะรออีกสองวันรอให้เจียงมู่เฉินอาการดีขึ้นมาหน่อย แล้วเขาจะส่งตัวคนกลับบ้านตระกูลเจียงไป จากนั้นค่อยมาที่นี่
แต่คุณแม่เจียงก็มาปรากฏตัวกะทันหัน ทำให้เขาต้องเปลี่ยนแผนก่อนหน้านี้ ภายใต้การดูแลของพ่อแม่ มีแต่เป็นผลดีกับเจียงมู่เฉินทั้งนั้น
ดังนั้นถึงจะรู้ดีแก่ใจว่าเขาจะโกรธได้ ตัวเองก็ยังตัดสินใจแบบนี้ ไม่ได้รั้งให้อยู่ด้วย แต่ยอมให้เจียงมู่เฉินกลับบ้านตระกูลเจียงไป
คิดถึงตรงนี้ ซือเหยี่ยนก็กุมขมับอย่างจนใจ คิดถึงตอนกลับไป ด้วยนิสัยของเจียงมู่เฉินแล้ว เกรงว่าจะง้อไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
ไมเคิลเห็นเขาก็ยกยิ้มมุมปากขึ้น “ซือ สีหน้านายค่อนข้างจะมีปัญหานะ” เขามีปฏิกิริยาไวต่อเรื่องไมโครเอ็กซ์เพรสชัน[1]และการสังเกตทางจิตวิทยามาก แค่ผิดปกติเพียงนิดเดียว ก็สังเกตได้ในทันที
ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะ “ไม่เจอกันมาหลายปี นายก็ยังเหมือนเดิม”
เหมือนไมเคิลจะสนใจเรื่องนี้มากอย่างไรอย่างนั้น “พูดสิ ว่าเมื่อกี้นี้นายกำลังคิดถึงใคร” มือข้างหนึ่งของเขาค้ำใต้คางเอาไว้ ทำท่าทำทางเหมือนกำลังครุ่นคิดอยู่ “อืม ให้ฉันเดา…คงจะไม่ใช่แฟนสาวของนายหรอกใช่ไหม”
ซือเหยี่ยนยกแก้วกาแฟขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง แล้วถึงได้เอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “แฟนหนุ่มต่างหาก”
ไมเคิลแสดงสีหน้าตกใจ ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างมองซือเหยี่ยน ไม่กล้าจะเชื่อเลย
“ทำไม ไม่เชื่อเหรอ”
ไมเคิลส่ายหัว “นายเป็นคนที่ไม่ใช่ใครก็จะมาเข้าใกล้ได้ง่ายๆ ผู้ชายคนไหนที่เก่งกล้าเข้าหานายได้กัน”
ซือเหยี่ยนวางแก้วกาแฟลง “นายก็รู้จัก”
ไมเคิลงุนงง นิ้วมือชี้เข้าหาตัวเอง “ฉันก็รู้จัก?”
ท่ามกลางคนที่เขารู้จัก มีเพียงคนเดียวที่สนิทชิดเชื่อกับซือเหยี่ยนที่สุด แล้วคนนั้นก็คือ……
“เจียงมู่เฉิน”
แก้วกาแฟบนโต๊ะโดนปัดล้ม ไมเคิลรีบดึงกระดาษทิชชูออกมาเช็ด
“ตกใจขนาดนี้เชียว?” ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้นด้วยท่าทีเรียบเฉย
ไมเคิลตกใจจริงจัง “นายตัดสินใจว่าจะไม่สร้างเรื่องให้เขาแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงได้มาคบกันอีก”
เรื่องของเจียงมู่เฉินในตอนนั้นเขาเองก็รู้ ตอนไปปฏิบัติภารกิจ เจียงมู่เฉินพลัดตกหน้าผา ตอนนั้นทุกคนต่างก็คิดว่าเจียงมู่เฉินตายไปแล้ว มีแค่ซือเหยี่ยนคนเดียวที่ตามหาเขาเหมือนคนบ้า
สุดท้ายก็มาเจอเจียงมู่เฉินอยู่ในบ่อน้ำตื้น แต่เวลานั้นเจียงมู่เฉินบาดเจ็บสาหัสอาการร้ายแรงมาก ใช้เวลาเจ็ดวันเต็มๆ ในการรักษานับครั้งไม่ถ้วนเพื่อให้เขาพ้นขีดอันตราย ถึงช่วยชีวิตเขากลับมาได้
ไมเคิลยังจำได้ดีวันที่เจียงมู่เฉินพ้นขีดอันตรายแล้ววันนั้น ราวกับซือเหยี่ยนถูกดูดพลังจนเกลี้ยง เขายืนอยู่ข้างเตียงเจียงมู่เฉิน แล้วกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ “ไมเคิล ฉันอยากจะทำให้เขาลืมทุกอย่างที่นี่”
ตอนนั้นไมเคิลตกตะลึงจนพูดไม่ออก มองเห็นแค่ซือเหยี่ยนยกยิ้มมุมปากเบาๆ แต่กลับน่าเวทนายิ่งกว่าร้องไห้เสียอีก
เขาพูดว่า “ฉันอยากให้เขาใช้ชีวิตดีๆ ได้”
ดังนั้น ซือเหยี่ยนจึงไปหาคนมาลบความทรงจำของเจียงมู่เฉิน จากนั้นก่อนที่เขาจะฟื้นขึ้นมาก็ส่งข่าวให้ทางครอบครัวเจียงทราบ แล้วส่งตัวคนกลับไปบ้านตระกูลเจียง
หลังจากนั้นไมเคิลก็ไม่ได้ข่าวคราวของพวกเขาอีกเลย
เรื่องที่เจียงมู่เฉินยังมีชีวิตอยู่ งานเก็บความลับนี้ซือเหยี่ยนทำได้ดีมาก คนที่รู้มีแค่เขากับซือเหยี่ยนสองคนเท่านั้น
เขาเคยแอบสืบหาข่าวคราวที่เกี่ยวกับซือเหยี่ยนและเจียงมู่เฉิน ก็เห็นแค่ซือเหยี่ยนรับช่วงต่อบริษัท กลายเป็นผู้คุมอำนาจของซือกรุ๊ปไปแล้ว
ส่วนเจียงมู่เฉินก็กลับไปเป็นคุณชายน้อยผู้ลอยตัวสบายๆ ไม่มีภาระอะไร หลังจากได้เคยเรื่องนี้มา คนในครอบครัวเจียงยิ่งประคบประหงมเจียงมู่เฉินไว้ในอุ้งมือ ไม่กล้าจะทำให้เขาได้รับอันตรายใดใดแม้เพียงปลายเล็บ
เพียงแต่ว่าคนสองคนที่เคยมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นสนิทใจกันกลับกลายเป็นศัตรูคู่แค้น ไม่ได้มาข้องเกี่ยวกันอีก
[1] ไมโครเอ็กซ์เพรสชัน (Microexpression) คือ การแสดงออกทางใบหน้าอย่างรวดเร็วและโดยไม่ได้ตั้งใจเพราะอารมณ์ทำให้เกิดการแสดงออกอย่างอัตโนมัติ (involuntary) ทั้งในด้านสีหน้า(facial expression) เสียงพูด ท่าทาง และสายตา และที่สำคัญคือ การโกหกเกี่ยวกับอารมณ์ที่กำลังรู้สึก ณ ขณะนั้นมักเป็นการโกหกที่ยากที่สุด
ตอนที่ 139 อยากเลิก
ซือเหยี่ยนได้ยินคำพูดของไมเคิลก็ยกมุมปากขึ้น แพขนตาหนาสั่นไหว “ความชอบเก็บซ่อนไว้ไม่อยู่”
ดังนั้นเมื่อเจียงมู่เฉินเป็นฝ่ายมาพัวพันก่อกวนใจเขา เขาจึงพยายามจะควบคุมตัวเองให้อยู่ ทำเย็นชาใส่เจียงมู่เฉิน
เขาควบคุมสีหน้าท่าทีของตัวเองได้ แต่กลับควบคุมหัวใจตัวเองไม่อยู่
ไมเคิลถอนหายใจ “ตอนแรกฉันก็รู้สึกแปลกใจมาตลอด เจียงมู่เฉินกลับถานโจวไป ทำไมนายต้องตามกลับไปด้วย ยังรับช่วงต่อบริษัทของตัวเองอีก”
“ซือเหยี่ยน ฉันเข้าใจนายขนาดนี้ ฉันจะไม่รู้ได้ยังไงว่าเป้าหมายของนาย แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยจะเป็นบริษัทอยู่แล้ว”
ซือเหยี่ยนหัวเราะ ไม่พูดจา
“นายทำก็เพื่อเจียงมู่เฉินใช่ไหม ถึงได้รับช่วงต่อบริษัท อยู่ที่ถานโจวต่อ”
ถ้าเป็นแบบนี้ ก็เป็นเหตุเป็นผลกันได้
เพราะเจียงมู่เฉิน ถึงได้ทิ้งความฝัน แล้วยินดีที่จะถูกผูกมัด
ซือเหยี่ยนดื่มกาแฟจนหมดแก้ว ถึงค่อยได้เอ่ยคำต่อคำออกมา “ไมเคิล เขาคือคนรักของฉัน”
“แบบนี้ ฉันถึงต้องคอยอยู่เคียงข้างเขา”
ไมเคิลตะลึงค้าง ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว เขายังคงโดนซือเหยี่ยนตลบหลังเหมือนเคย
“ถ้าอย่างนั้น ที่นายมาครั้งนี้ก็คงจะเป็นเพราะเจียงมู่เฉินสินะ”
ซือเหยี่ยนพยักหน้า “จะว่าแบบนี้ก็ได้”
ไมเคิลอดที่จะหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ “อิจฉาเจียงมู่เฉินจริงๆ ที่มีคนอย่างนายมาหลงรักขนาดนี้ได้”
ซือเหยี่ยนคิดถึงเจียงมู่เฉินขึ้นมาก็อดจะยกมุมปากขึ้นไม่ได้ “ที่ฉันดีกับเขา ไม่ถึงครึ่งที่เขาดีกับฉันหรอก”
ระหว่างพวกเขา เจียงมู่เฉินถึงจะเป็นคนๆ นั้น คนที่ให้อภัยกันและทุ่มเทให้กันมาตลอด
……
สามวันเต็มๆ ที่ซือเหยี่ยนไม่โทรมาหาสักสาย เจียงมู่เฉินอดจะคอยมองดูมือถือไม่ได้ สงสัยว่ามือถือพังหรือเปล่า
‘ไม่งั้นซือเหยี่ยนไอ้หมอนั่นจะกล้าไม่ติดต่อเขาเลยสามวันได้ยังไง’
ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาคว้ามือถือที่เคยถูกตัวเองเหวี่ยงลงข้างๆ ขึ้นมา ตัดสินใจเป็นฝ่ายโทรหาซือเหยี่ยน
ซือเหยี่ยนไอ้คนระยำนั่นไม่โทรมา เขาโทรไปเองก็ได้
เจียงมู่เฉินรีบโทรหาซือเหยี่ยน แต่หลังจากที่โทรออกไป ก็แสดงให้รู้ทันทีว่าปิดเครื่องอยู่ เจียงมู่เฉินใกล้จะระเบิดลงแล้วจริงๆ
ไม่ติดต่อเขาก็ช่างหัวมัน ยังจะมาปิดเครื่องอีก
‘เลิก’
‘เป็นกันแบบนี้แล้ว ถ้ายังไม่เลิก จะให้อยู่ฉลองปีใหม่ต่อหรือไง’
เจียงมู่เฉินโทรหามั่วไป๋ต่อ “ไป๋ไป๋ ไปกินเหล้าเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ ฉันเบื่อมากเลย”
มั่วไป๋อดจะเอ่ยเหน็บแนมไม่ได้ “ร่างบางๆ ของนาย บาดเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอ นายแน่ใจนะว่านายดื่มเหล้าได้”
เจียงมู่เฉินโดนหยามกันแบบนี้ ก็ลุกขึ้นมานั่งบนเตียงทันที “คุณชายอย่างฉันอาการดีขึ้นเยอะแล้ว จะดื่มเหล้าไม่ได้ ได้ยังไงกัน”
“นายระวังซือเหยี่ยนของนายจะจับนายกลับไปขังลืมนะ”
“เขาทิ้งฉันไว้กับแม่ฉันแล้วก็หายตัวไปเลย ไม่รู้ว่าไปปรากฏตัวที่ไหนแล้ว จะมีเวลามาสนใจฉันเมื่อไหร่กัน”
มั่วไป๋ยิ้มเยาะ “ในที่สุดฉันก็ฟังเข้าใจแล้ว เพราะซือเหยี่ยนไม่สนใจนาย นายถึงได้นึกถึงฉันสินะ”
“อะไรเรียกว่าไม่สนใจเหรอ ฉันอ่อนแอขนาดนั้นเชียว? คนที่ชอบฉันแถวยาวจนวนถานโจวได้สองรอบเลย”
“พอเถอะ ไปไหน กี่โมง”
“อืม” มั่วไป๋รับคำ “ฉันรู้แล้ว” พูดจบก็วางสายมือถือเสียงดัง
เจียงมู่เฉินรีบลุกออกจากเตียง เตรียมตัวไปหลานเยี่ย ซือเหยี่ยนไอ้คนระยำนั่นไม่ปรากฏตัวมา เขาจะได้ไปหาความบันเทิงพอดี
จะเที่ยวเล่นก็ไปไม่รบกวนกันและกัน ดีสุดๆ ไปเลยจริงๆ
เจียงมู่เฉินเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้ายั่วๆ อ่อยๆ หน่อยๆ แล้วเดินลงบันไดอย่างเริงร่า ที่ชั้นล่างคุณพ่อเจียงนั่งอยู่บนโซฟา เขาเงยหน้าเห็นเจียงมู่เฉินลงมา ก็รีบวางหนังสือพิมพ์ในมือลงพอดี
“ดึกป่านจะเตรียมออกไปไหน”
‘ซวยแล้ว’ เจียงมู่เฉินแอบร้องในใจ ทำไมพ่อเขากลับมาเร็วขนาดนี้ได้
“พ่อ ทำไมจู่ๆ พ่อถึงกลับมาแล้วล่ะ คืนนี้ทำโอทีไม่ใช่เหรอครับ”
คุณพ่อเจียงทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ “นี่แกอยากให้ฉันทำโอทีต่อที่บริษัทใช่ไหม”
“ที่ไหนกันล่ะครับ ผมเป็นลูกชายแท้ๆ ของพ่อ จะหวังให้คนแก่ทำโอทีตลอดได้ยังไงกันครับ” เจียงมู่เฉินปากหวานก้นเปรี้ยว เขาอยากให้พ่อเขามีเรื่องด่วนต้องไปทำตอนนี้จริงๆ
“แกอย่าพล่ามไร้สาระกับฉันขนาดนั้น นั่งลง ฉันมีเรื่องจะถามแก”
เจียงมู่เฉินปวดหัว “พ่อ พรุ่งนี้ค่อยถามได้ไหม ผมมีธุระ”
“แกจะมีธุระอะไรได้ ธุระของแกไม่มีเรื่องไหนดีๆ หรอก” คุณพ่อเจียงกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “คืนนี้ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น มานั่งตรงนี้ให้ฉันซะ”