ตอนที่ 140 โดนวางยาแล้ว
เจียงมู่เฉินอยากร้องไห้ก็ร้องไม่ออก เขาไม่ไปก็ไม่อะไรหรอก แต่มั่วไป๋ไปด้วยไง เห็นสีหน้าของพ่อเขาแล้ว เจียงมู่เฉินเองก็ไม่กล้าจะพูดกับพ่อ ว่าขอเวลาให้เขาได้โทรศัพท์เพียงไม่กี่นาที
ตอนนี้เขากำลังรอคอย หวังว่ามั่วไป๋จะไม่คิดบัญชีกับเขาโหดร้ายเกินไป อย่างน้อยเหลือชีวิตให้เขาสักครึ่งหนึ่งก็ยังดี
อีกฝั่งหนึ่ง มั่วไป๋หลังจากวางสายจากเจียงมู่เฉิน ก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมุ่งตรงไปหลานเยี่ยทันที
หลังจากถึงแล้ว เจียงมู่เฉินยังไม่มา มั่วไป๋จึงหามุมสงบๆ นั่งรอเจียงมู่เฉิน
เขาถือโอกาสสั่งเหล้าขวดหนึ่งที่เจียงมู่เฉินชอบที่สุดมารินไว้รอเขา
มั่วไป๋ผู้นั่งรออยู่หลานเยี่ยไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงแน่นอน ว่าเจียงมู่เฉินคนที่เร่งตัวเองให้ออกมาเที่ยวด้วยจะถูกพ่อเขากักตัวไว้ มาไม่ไหวไปโดยปริยาย
เวลาผ่านไปนาทีต่อนาที วินาทีต่อวินาที มั่วไป๋รอมาครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่เห็นเจียงมู่เฉินเข้ามา เขาหยิบมือถือขึ้นมาเตรียมจะโทรหาเจียงมู่เฉินถามว่าเขาถึงไหนแล้ว
เพิ่งจะหยิบมือถือออกมาก็พบว่าเครื่องปิดไปเรียบร้อย มั่วไป๋กุมขมับ ลืมชาร์จแบบมือถืออีกครั้งจนได้
ไร้หนทางจะติดต่อเจียงมู่เฉินแล้ว มั่วไป๋เองก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร นั่งพิงจิบเหล้าอย่างช้าๆ อยู่ตรงนั้น
หลังจากที่ครั้งก่อนได้เจอไป๋จิ่งที่หลานเยี่ย มั่วไป๋ก็ไม่ได้มาที่นี่อีก คงเพราะจิตใต้สำนึกไม่อยากให้โอกาสตัวเองได้เจอกับไป๋จิ่งอีก
มั่วไป๋ยกมุมปากขึ้นยิ้มเยาะตัวเอง เขาคงจะไม่แย่ขนาดที่มาสองครั้งก็เจอไป๋จิ่งทั้งสองครั้งหรอก
เขาเงยหน้ากระดกแก้วเหล้าในมือขึ้นดื่มจนหมด
อีกครึ่งชั่วโมงต่อมา เจียงมู่เฉินก็ยังไม่มา มั่วไป๋ถอนหายใจ ไอ้หมอนี่คนที่อยากมาก็มาไม่ได้แล้ว เขาดูเวลาเตรียมจะกลับออกไป
จากมุมมืดมุมๆ หนึ่งไม่ไกล มีใครสักคนเอาแต่จ้องมองมายังตำแหน่งที่มั่วไป๋อยู่ตลอด ตั้งแต่นาทีนั้นที่เขาผ่านประตูเข้ามาก็กลายเป็นเหยื่อในสายตาของผู้อื่นไปแล้ว
เมื่อเห็นว่ามั่วไป๋กำลังจะเตรียมตัวออกจากที่นี่ ฝั่งนั้นก็มีความเคลื่อนไหวด้วย
คนในมุมมืดส่งสายตาเป็นสัญญาณให้คนข้างๆ ทั้งสองคนยืนขึ้นเดินเข้าประชิดตำแหน่งของมั่วไป๋
มั่วไป๋เช็กบิลเสร็จเตรียมจะเดินออกประตูไป เพิ่งจะเดินถึงประตูก็โดนคนสองคนเดินชนเข้าให้ มั่วไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย เห็นแค่ด้านข้างมีผู้ชายร่างกายกำยำสูงใหญ่ยืนอยู่
“ขออภัย” มั่วไป๋พูดจบก็เตรียมจะเดินจากไป
ยังไม่ขยับตัว ก็รู้สึกเจ็บจี๊ดที่แขนขึ้นมากะทันหัน เหมือนกับมีอะไรโดนฉีดเข้ามา จิตใต้สำนึกบอกให้เขาก้มลงมอง แต่กลับไม่พบอะไรสักอย่าง
“เจ้านี่ แกชนพวกเราแล้วคิดจะไปเลย” จู่ๆ คนร่างสูงใหญ่กำยำสองคนก็เริ่มโจมตี
มั่วไป๋ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เอ่ยอย่างอดทน “งั้นพวกแกจะให้ทำยังไง ให้พวกแกชนกลับเหรอ”
“แกนี่มันดูขาวสะอาด แต่พอพูดจากลับอวดดี วันนี้ฉันจะทำให้แกรับรู้ลิ้มรสผลของการอวดดี” พูดจบก็มองคนข้างๆ แวบเดียว ก่อนจะเริ่มลงไม้ลงมือ
คนร่างสูงใหญ่กำยำสองคนปิดล้อมมั่วไป๋เอาไว้ ดูจากรูปร่างแล้ว มั่วไป๋เสียเปรียบอยู่มาก ไม่เป็นผลดีต่อเขาเลยสักนิด
รอบข้างมีคนจำนวนไม่น้อยมองดูพวกเขา ในใจอดจะห่วงมั่วไป๋ไม่ได้
แต่มั่วไป๋สีหน้าเรียบเฉย ราวกับไม่มีความรู้สึกหวาดกลัวแม้เพียงเสี้ยวเดียว เขามองทั้งสองคนแล้วยกมุมปากขึ้น กลับมาตั้งนานยังไม่ได้ออกกำลังกายเท่าไหร่ มีคนส่งมาให้ถึงที่พอดี ไม่ใช้ก็เสียของอยู่
“ดีเลย งั้นพวกแกก็มาลองดู”
เสียงเขาเพิ่งจะหยุดลง ทั้งสองคนก็เริ่มลงมือ กำปั้นที่ซัดเข้ามา มั่วไป๋เอามือรับไว้ ฉวยโอกาสโจมตีช่วงท้องของเขา ท่าทางเด็ดขาดว่องไว ไหนเลยจะมีมาดสุภาพเรียบร้อยเมื่อครู่นี้ได้
การโจมตีในทุกครั้งรวดเร็วฉับไวคล่องแคล่วเป็นพิเศษ คนร่างสูงใหญ่กำยำสองคนไม่ใช่คู่ต่อสู้เขาอยู่แล้ว ไม่กี่นาทีก็จัดการราบคาบ
คนในมุมนั้นคงจะคาดไม่ถึงว่าเหยื่อที่เหมือนกระต่ายขาวตัวน้อยนี้จะจับยากขนาดนี้ เขามองคนรอบข้างอีกไม่กี่คน คนพวกนั้นก็รีบเข้ามา
ในหลานเยี่ยอลหม่านขึ้นมาพริบตา รับมือกับคนพวกนี้ไม่คณามือเขา ท่าทางออกหมัดเตะต่อยของมั่วไป๋รวดเร็วดุดันและสวยงาม เขากวาดสายมองคนพวกนี้เล็กน้อยด้วยแววตาแฝงความเย็นชา
ทันใดนั้นจู่ๆ ภายในร่างกายก็ร้อนผ่าวขึ้นมา มือเท้าอ่อนแรงกะทันหัน กำลังที่ใช้ต่อสู้ก็ลดทอนลงครึ่งหนึ่ง
ตอนที่ 141 ฉันคิดถึงนายมาตลอด
ดูท่าว่า ยาที่ถูกฉีดเข้าไปจะเริ่มออกฤทธิ์แล้ว
ภายในร่างกายร้อนวาบดั่งระลอกคลื่นที่ซัดสาดเข้ามา มือเท้าอ่อนแรง ทำให้มั่วไป๋ค่อยๆ สูญเสียพละกำลัง เขาจิกฝ่ามือตัวเองหนักๆ ทำให้ตัวเองตื่นมีสติอยู่
ความทรมานจากฤทธิ์ยาดูเหมือนจะทำให้เห็นความใจสู้แต่แรงไม่ยอมเป็นใจ ภาพข้างหน้าเริ่มมืดสลับไปมา มั่วไป๋สะบัดหัว คิดจะทำให้ตัวเองตาสว่างขึ้นมาหน่อย
เวลานี้เองมีเก้าอี้ตัวหนึ่งฟาดเข้ามา มั่วไป๋เห็นเก้าอี้ตัวนั้นก็คิดจะเบี่ยงตัวไปข้างหลัง แต่เท้าเหมือนมีรากยึดเอาไว้ ขยับเขยื้อนไม่ได้ ทำได้แค่เบิกตาค้างทำอะไรไม่ถูกจ้องมองเก้าอี้ที่กำลังจะฟาดลงมา
โครม! เสียงของหนักหล่นกระทบพื้นดังขึ้น เก้าอี้ฟาดลงมาข้างตัวมั่วไป๋ เกิดเสียงดังสนั่นลั่นไปทั้งหลานเยี่ย
มั่วไป๋ตะลึงงัน เมื่อครู่นี้เขากะระยะของเก้าอี้แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่โดนเขา เขางุนงงเงยหน้าขึ้น ปะทะเข้ากับดวงตาสีดำขลับคู่หนึ่งพอดี
ไป๋จิ่งส่งมือมาทางเขา “ยังโอเคไหม”
มั่วไป๋ส่ายหัว คิดว่าฤทธิ์ของยาทำให้เขาเห็นภาพหลอน
“แกเป็นใคร ไม่นึกว่าจะกล้าเข้ามาสอดเรื่องของพวกเรา” ข้างๆ มีคนร้องโวยวายขึ้นมา
ไป๋จิ่งมองพวกเขาแวบหนึ่ง ยกมุมปากขึ้นยิ้มเยาะ “ช่วยฉันฝากไปบอกคุณชายสี่ของพวกแกด้วยนะ ว่าไม่มีอะไรทำก็อย่ามาหาเรื่องก่อความวุ่นวายที่นี่ ถึงเวลาเก็บกวาดไม่ไหวจะดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก”
อู๋หมิงที่อยู่ไม่ไกลนักกำหมัดแน่นด้วยอารมณ์ดุร้าย กว่าเขาจะเจอเหยื่อถูกใจไม่ใช่ง่ายๆ นึกไม่ถึงว่าไป๋จิ่งจะมาขัดคอกันได้
ไม่กี่คนสบตามองกันไปมา จนกระทั่งได้ยินเสียงอู๋หมิงดังเข้ามาจากในหูฟัง ถึงได้ถอยกลับไปอย่างไม่เต็มใจนัก
ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋เอาแต่นิ่งเฉย ไม่มีปฏิกิริยาใดใดตอบสนองกลับมา จึงรีบส่งมือไปประคองเขาไว้ มือที่จับแขนเขาอยู่รับความรู้สึกของอุณหภูมิที่ร้อนจนลวกคนได้แม้เพียงสัมผัสเบาๆ
สภาพเขาตอนนี้ดูเหมือนจะแย่มากทีเดียว
“ยังเดินไหวไหม” ไป๋จิ่งเข้าใกล้ เสียงต่ำเอ่ยลงข้างหูมั่วไป๋
ฤทธิ์ยาได้ออกฤทธิ์กำเริบเต็มที่ไปเป็นที่เรียบร้อย มั่วไป๋ฟังไม่ได้ยินอยู่แล้วว่าไป๋จิ่งกำลังพูดอะไร เขารับรู้ได้แค่ว่ายามที่ไป๋จิ่งพูด เวลาที่ลมหายใจกำลังรดรินลงข้างๆ ลำคอ ขนลุกสั่นระรัวโดยไม่ตั้งใจไปทั้งตัว
ไป๋จิ่งเห็นเขากัดริมฝีปากด้วยท่าทางสั่นเทา จึงช้อนอุ้มเขาขึ้นมา
โดนอุ้มกะทันหันแบบนี้ จิตใต้สำนึกบอกมั่วไป๋ให้โอบคอไป๋จิ่งเอาไว้ ร่างทั้งร่างไร้เรี่ยวแรงอิงแอบแนบชิดกายไป๋จิ่ง หัวเขาซบบนไหล่ของไป๋จิ่งด้วยเช่นกัน
ท่าทางที่สบายขั้นสุด ทำเอามั่วไป๋เอนพิงอยู่ตรงนั้นโดยที่ความรู้สึกนึกคิดค่อยๆ กระจายหายไป
หลังจากไป๋จิ่งอุ้มเขาออกมาแล้วเอาเข้าในรถเรียบร้อยแล้ว ถึงได้เข้าใกล้ไปเอ่ยเรียกมั่วไป๋ ตบหน้าเขาเบาๆ “มั่วไป๋ ตื่นๆ”
ถึงเวลานี้แล้ว มีหรือที่จะฟังได้ชัดว่าไป๋จิ่งกำลังพูดอะไร เขาพยายามดิ้นรนต่อสู้ให้ตัวเองได้ลืมตามองไป๋จิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเองมากๆ
มั่วไป๋จ้องเข้าไปในดวงตาสีดำขลับคู่นี้ ไม่รู้ว่าคิดถึงอะไรอยู่ จู่ๆ ก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นมา
“นายรู้ไหม…ฉันคิดถึงนายมาตลอดเลย…”
เสียงเขาเล็กมาก ไป๋จิ่งต้องไม่ได้ยินอยู่แล้วว่าตกลงแล้วเขาพูดอะไรออกมา เขาประชิดเข้าไปเรียกมั่วไป๋อีกครั้ง “คุณพักที่ไหน ผมจะไปส่งคุณ”
มั่วไป๋ส่ายหัว เขาไม่อยากกลับบ้าน
ไป๋จิ่งเริ่มร้อนใจแล้ว กลายเป็นแบบนี้แล้วไม่กลับบ้านอีก แล้วนี่จะเอาแบบไหน อีกอย่างดูท่าว่าจะไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ ร่างกายอุณหภูมิสูงมาก ใบหน้ายังแดงระเรื่ออีก
แม้แต่ในดวงตาที่ดูดีคู่นั้นยังมีน้ำเอ่อขึ้นมา ดูแล้วช่างน่าสงสารจริงๆ
ไป๋จิ่งเห็นเขาเป็นแบบนี้ ก็กัดฟันทันที “งั้นผมส่งคุณไปบ้านผมก่อนแล้วกัน”
‘จะมาทิ้งคนลงข้างทางกลางดึกแบบนี้ไม่ได้หรอก แล้วยังเป็นคนที่เขาชื่นชมแบบสุดๆ อีก’ จะปล่อยมั่วไป๋ลงถนนไปตามยถากรรม เขาทำไม่ลงอยู่แล้ว
ตลอดทางที่มุ่งหน้าไปคอนโดของตัวเอง มั่วไป๋นอนนิ่งๆ อยู่บนที่นั่งข้างคนขับไม่กระดุกกระดิก ไป๋จิ่งเอียงหน้ามองเขา คิดว่าเขาหลับไปแล้ว
จนมาถึงที่คอนโด ตอนจะให้เขาลงจากรถ ไป๋จิ่งถึงได้ค้นพบความผิดปกติ
ร่างกายเขาเกร็งไปหมด ทั้งยังสั่นระริกอีกด้วย ทั้งเนื้อทั้งตัวร้อนจัดจนน่าตกใจ ราวกับคนทั้งคนถูกงมขึ้นมาจากน้ำอย่างไรอย่างนั้น
ระหว่างทางที่นั่งรถมา ในร่างกายเหมือนมีใครมาจุดไฟไว้ อยากจะฝ่าทะลุจากเนื้อข้างในออกมา เพราะข้างกายมีไป๋จิ่งอยู่ มั่วไป๋จึงพยายามอย่างสุดกำลังในการควบคุมตัวเองไม่ให้ลืมตัวเสียท่าทีไป
ร่างกายเขาเกร็งสู้ต่อต้านฤทธิ์ยาอย่างหนักหน่วง แต่ฤทธิ์ยารุนแรงเกินไป สุดท้ายดูเหมือนว่าจะเสียเปล่าทีเดียว
ไป๋จิ่งเห็นสถานการณ์แบบนี้ก็ไม่คิดอะไรมากให้เสียเวลา รีบอุ้มเขาขึ้นคอนโด แล้วว่างร่างเขาลงบนเตียงในห้องนอน