ตอนที่ 536 ไม่ใช่คุณไม่ได้
แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ ทิฐิที่เขามีต่อไป๋จิ่งนับวันยิ่งน้อยลง นับวันยิ่งน้อยลง แม้แต่เรื่องราวในตอนนั้น เขานึกถึงขึ้นมาอีก ก็ไม่ได้เหมือนก่อนหน้านี้ เจ็บจนทะลุถึงหัวใจ
เหมือนว่าการปรากฏตัวอีกครั้งของไป๋จิ่ง มีอะไรบางอย่างค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ แล้ว
แม้กระทั่งบาดแผลที่แตกร้าวเป็นทางอยู่ในใจของเขาก็สมานแผลทีละนิดๆ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ไม่ได้เจ็บขนาดนั้นแล้ว
เรื่องทำนองนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อน มั่วไป๋จะหวาดกลัวมาก
เพราะถ้าวันหนึ่งบาดแผลในตอนนั้นหายสนิทแล้ว เขาก็จะกลัว กลัวว่าตัวเองพอแผลหายดีแล้วจะลืมความเจ็บปวด
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว
คิดไม่ถึงว่าเขาอยากจะเชื่อไป๋จิ่งอีกครั้ง อยากจะปล่อยให้บาดแผลในใจตามไป๋จิ่งไป ค่อยๆ สมานแผลทีละนิดๆ
เขารู้สึกมาเสมอว่าไป๋จิ่งในปัจจุบันไม่เหมือนกับไป๋จิ่งในอดีต
ไป๋จิ่งในตอนนี้บางทีอาจจะคุ้มค่าที่จะเชื่อได้
ขณะที่มั่วไป๋กำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่นั้น ไป๋จิ่งก็ยังจ้องมองเขาอยู่ ใจเขากระตุกวูบ เบนสายตาหนีโดยอัตโนมัติ “นายมองฉันแบบนี้ทำไม”
นัยน์ตาไป๋จิ่งฉายสะท้อนความกระวนกระวายใจ เขาหลุบตาลงไม่กล้ามองมั่วไป๋
“ผม ผมก็แค่มองไปเรื่อยเท่านั้นเอง”
มั่วไป๋มุมปากกระตุกทันที ยังมองไปเรื่อยอีก เห็นเขาเป็นสิ่งของเหรอ จะมาใช้มองไปเรื่อยได้
มั่วไป๋เห็นความตื่นตระหนกและความหวาดหวั่นบนใบหน้าของเขา เสียงต่ำก็เอ่ยถามอีก “ถ้าทั้งชีวิตนี้ ฉันไม่ให้อภัยนายเลยล่ะ”
ไป๋จิ่งตะลึงงัน สีหน้าอารมณ์ที่แสดงออกแตกเป็นเสี่ยงๆ โดยไม่ตั้งใจ ดูอ่อนแออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
มั่วไป๋เห็นความอ่อนแอในสายตาเขา ความสำนึกปรากฏในสายตา ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “บอกตามจริง คนที่ชอบฉันก็มีมาก แล้วแต่ละคนก็ดีกว่านายทั้งนั้น…
…สำหรับฉันแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นนายเสมอไป”
ไป๋จิ่งกำหมัด เขาต้องรู้อยู่แล้วเป็นธรรมดา
มั่วไป๋ดีขนาดนี้ ต้องมีคนชอบเขามากมายอยู่แล้ว
อีกอย่างคนอื่นก็ไม่มีทางเหมือนเขาที่ท้าร้ายมั่วไป๋อย่างนี้
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ได้ยินมั่วไป๋พูดอย่างนี้ ในใจไป๋จิ่งจู่ๆ ก็รู้สึกไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก
เหมือนว่าเขาจะหาเหตุผลที่ทำให้มั่วไป๋ชอบไม่เจอจริงๆ
คนที่เคยทำร้ายเขา ทำร้ายจนเจ็บลึก มีคุณสมบัติอะไรทำให้มั่วไป๋เปลี่ยนใจกลับมา
ความลังเลใจฉายสะท้อนในแววตาเขา มั่วไป๋ที่สังเกตอาการเขาตลอดเก็บสิ่งนี้ไว้ในแววตา
มั่วไป๋เองก็ไม่ได้ร้อนใจ มองไป๋จิ่งทีละนิดๆ ราวกับกำลังรอเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น
สุดท้ายรูม่านตาไป๋จิ่งก็หดลงเล็กน้อยกะทันหัน เหมือนใบหน้าอยากจะแสดงอารมณ์ออกมา
เขาคิดดีแล้ว ต่อให้ตัวเองจะไม่ได้ดีกว่าคนอื่นเสมอไป แต่ต่อไปไม่ว่าใครก็ดีกับมั่วไป๋ได้ไม่เหมือนเท่าเขาแบบนี้
คนเราก็เดินผิดทางกันได้
เมื่อเดินผิดทางแล้ว อย่างมากก็แค่หันกลับมา เปลี่ยนตัวเองใหม่ก็ได้แล้ว
เดินทางผิดไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวก็คือไม่ก้าวเดินต่อไป หลบอยู่ในเกราะกำบังตัวเองโศกเศร้าเสียใจไปตลอดชีวิต ไม่ก้าวเดินออกมา
คิดได้เช่นนี้ ในใจไป๋จิ่งก็เติมเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นในการต่อสู้
ถึงอย่างไรเขาแสดงออกไปแล้ว หน้าด้านหน้าทนอย่างไรก็ต้องตามตื้อมั่วไป๋ให้ได้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่มีอะไรต้องกลัว
“สำหรับคุณแล้ว ก็จริงอยู่ที่ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นผมเสมอไป แต่สำหรับผมแล้ว ไม่ใช่คุณไม่ได้”
มั่วไป๋เงียบงันอยู่หลายนาที ไม่ได้พูดจา
ไป๋จิ่งตื่นเต้นนิดหน่อยอย่างบอกไม่ถูก จู่ๆ ก็รู้สึกว่าพูดแบบนี้แล้ว จะทำให้มั่วไป๋มองภาพจำตัวเขาเองแย่ได้หรือเปล่า
แต่ว่า…
เหมือนว่าเขาอยู่กับมั่วไป๋ที่นี่ ก็ไม่มีคะแนนภาพจำที่ดีมาแต่เดิมแล้ว
คิดอย่างนี้ เพียงชั่วพริบตาเดียวไป๋จิ่งก็ไม่มีอะไรจะกลัวแล้ว
ความรู้สึกแบบนี้ก็เหมือนกับคนที่ไม่มีอะไรจะเสีย ถึงอย่างไรก็ไม่มีอะไรให้น่าแพ้อีกแล้ว
“งั้นฉันไม่คิดจะให้นาย ‘ไม่ใช่ฉันไม่ได้’ ล่ะ” มั่วไป๋เอ่ยถามอีก
ไป๋จิ่งเพิ่งจะฉีดเลือดไก่[1]มาเต็มทั้งใจ เอ่ยออกมาอย่างจริงจังโดยไม่คิดอะไรก่อนทั้งนั้น “คุณไม่ให้ผม นั่นเป็นเรื่องของคุณ ผมต้องการไม่ต้องการ นี่เป็นเรื่องของผม”
เขาทำหน้าทะนงตัว “ดังนั้นเรื่องของผม คุณพูด ผมไม่นับ”
[1] ฉีดเลือดไก่ มาจากความเชื่อทางการแพทย์จีนเมื่อยุคปี 60 ว่าการฉีดเลือดไก่เข้าตัวเป็นยารักษาสารพัดโรค (Chicken-blood therapy)
ตอนที่ 537 สลัดผมไม่หลุด
มั่วไป๋มุมปากกระตุกขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ รู้สึกว่า ตามวงจรสมองของเขาแล้ว เจ้าหมอนี่ใช้ชีวิตมาถึงวันนี้ได้ ถือว่าเบื้องบนเอาใจใส่ดูแลแล้วจริงๆ
‘และก็เป็นเขาที่อารมณ์ดีไม่โกรธง่าย ไม่ได้คิดจะเอาอะไรมากมายกับเจ้าบื้อนี่…
…ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น คาดว่าจะฆ่าเจ้าหมอนี่หมกตู้ไปตั้งนานแล้ว”
“ดังนั้น…”
มั่วไป๋เพิ่งจะพูดได้สองคำ ไป๋จิ่งก็แย่งพูดเสียก่อน “ดังนั้นคุณสลัดผมไม่หลุดหรอก”
มั่วไป๋คิดในใจ เดิมทีก็ไม่ได้อยากจะสลัดเขาหลุด
ถ้าสลัดไป๋จิ่งหลุด แล้วเหตุใดจะต้องปล่อยให้เขามาตามติดอยู่ข้างกายตัวเองจนถึงวันนี้ได้
ถ้าไม่ใช่ว่าในใจมั่วไป๋มีความคิดอย่างอื่นกับไป๋จิ่ง ป่านนี้คงจะมองข้ามไป๋จิ่งไปนานแล้ว
แล้วยังจะมาปล่อยให้ไป๋จิ่งมาลอยหน้าลอยตาอยู่ต่อหน้าตัวเอง แล้วทำให้ทะเลสาบแห่งหัวใจที่สงบนิ่งปั่นป่วนทีละนิดๆ ได้อย่างไรกัน
ทำให้หัวใจตัวเองบีบคั้นและรัดตัวแน่นตามไป๋จิ่งอยู่ข้างหลังโดยไม่รู้ตัว
เรื่องที่ชอบไป๋จิ่งเรื่องนี้ ไม่ว่ามั่วไป๋เองจะหลบหนีอย่างไร จะไม่อยากยอมรับอย่างไร ต่างก็เปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ไม่ได้
เพียงแต่ว่าตอนนี้มั่วไป๋ยังไม่อยากบอกเรื่องนี้กับไป๋จิ่ง
เขาก็แค่อยากให้ไป๋จิ่งลิ้มรสความเจ็บปวดทรมานมากขึ้นอีก ถ้าไม่อย่างนั้นจะทำให้เขาไม่ตะขิดตะขวงใจแล้วเริ่มต้นใหม่กับไป๋จิ่งได้อย่างไรกัน
มั่วไป๋คร้านจะตอบกลับไป๋จิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงเอื้อมมือไปหยิบกระดานวาดรูปขึ้นมาแล้วจัดการงานของตัวเองต่อ
ไป๋จิ่งชักจะร้อนใจ มั่วไป๋ไม่พูดจา เขาไม่รู้ว่ามั่วไป๋หมายความว่ายังไง ทำได้เพียงมองตาค้าง
แต่มั่วไป๋กลับยังทำท่าทีไม่สนใจแบบนี้อยู่
ไป๋จิ่งคิดว่ามั่วไป๋ไม่อยากฟังคำพูดเมื่อครู่นี้ของตัวเอง ดังนั้นจึงได้ใช้วิธีเย็นชาไร้เสียงคัดค้านเขา
เขานั่งอยู่ข้างๆ ตั้งนานสองนาน มั่วไป๋ก็ไม่สนใจเขา
คนทั้งคนกลายเป็นเหมือนอากาศไปแล้ว
ลมพัดมาทีก็ลอยหายไป
ไป๋จิ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ ในใจร้อนรนไม่เบา เขาเงยหน้ามองใบหน้าด้านข้างของมั่วไป๋
เห็นความสงบนิ่งบนใบหน้าเขา ราวกับว่าไม่ได้เก็บเอาคำพูดเมื่อครู่นี้มาใส่ใจจริงๆ
ไป๋จิ่งคิดในใจ มั่วไป๋คงจะไม่คิดว่าที่เขาพูดไปเมื่อกี้เป็นแค่การพูดไปงั้นๆ หรอกใช่ไหม รู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าเชื่อถือ ดังนั้นถึงได้ไม่เชื่อกัน
ไป๋จิ่งยื่นมือออกมาอย่างเงียบๆ ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปทางขาของมั่วไป๋
ตาเห็นนิ้วมือใกล้จะเคลื่อนตัวไปถึงขาของมั่วไป๋ เขาตื่นเต้นจึงงอนิ้วกลับเข้ามา
ไป๋จิ่งแอบก่นด่าตัวเองในใจว่าไม่มีความคืบหน้าสักที
‘ไป๋จิ่งผู้ที่ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินในตอนนั้นโดนหมากินไปแล้วเหรอ’
ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน คิดไม่ถึงว่าเขาจะตกต่ำถึงขั้นหวาดกลัวได้ขนาดนี้
ไป๋จิ่งคิดดูแล้ว รู้สึกว่าตัวเองควรจะเข็มแข็งขึ้นอีก จะถูกความขี้ขลาดในใจตีให้ล้มไม่ได้
ด้วยเหตุนี้เขาจึงยื่นมือออกไปอีกครั้ง แอบมุ่งหน้าไปยังข้างกายมั่วไป๋
จู่ๆ มั่วไป๋ก็หยุดกะทันหัน แล้วเอียงหน้ามองไป๋จิ่งแวบหนึ่ง เอ่ยถามเสียงเย็น “นายจะทำอะไร”
ไป๋จิ่งสะดุ้งโหยงยืนขึ้นทันที เขาลูบหัวปอยๆ พลางเอ่ยขึ้น “เอ่อ…ไม่มีอะไรหรอก ผมไม่ได้จะทำอะไรเลย”
ท่าทางส่อพิรุธสุดๆ
ขาดแค่เขียน ‘ใจฝ่อ’ ติดบนใบหน้าให้เห็นกันจะๆ แล้ว
มั่วไป๋มองเขาด้วยสายตาเย็นยะเยือก “ไม่ได้ทำอะไรจริงๆ เหรอ”
ไป๋จิ่งใกล้จะประคองตัวเองไม่ไหวแล้ว ยืนตัวตรงเดินมุ่งหน้าออกไปทันที “จู่ๆ ผมก็นึกขึ้นได้ว่าผมมีธุระนิดหน่อย”
ในสายตาของมั่วไป๋ เขาผลุนผลันวิ่งออกไปท่าทางเหมือนมีหมาวิ่งไล้ตามอยู่ข้างหลังไม่มีผิด
มั่วไป๋ทำเป็นมองไม่เห็นอาการหวาดหวั่นของไป๋จิ่ง
มุมปากเขาเชิดขึ้นเล็กน้อย รู้สึกว่าตลกไม่เบา
ขณะที่มั่วไป๋ยิ้มอยู่นั้น ไป๋จิ่งก็พุ่งตัวเข้ามา มั่วไป๋ชะงักงัน รีบเก็บร้อยยิ้มไว้ ใบหน้าค่อนข้างมีความหวั่นใจอยู่ในที
ไป๋จิ่งกระสับกระส่ายจึงไม่ได้เห็นความผิดแผกจากเดิมเมื่อครู่นี้ของมั่วไป๋
เขาวิ่งถึงข้างเตียงของตัวเอง หยิบคลำของชิ้นหนึ่งได้ ก็วิ่งออกไปทันทีหลังจากนั้น
มั่วไป๋เห็นเขาวิ่งไปไม่เห็นฝุ่นแล้ว ถึงได้โล่งใจไปที
อีกเพียงนิดเดียวจะถูกไป๋จิ่งจับได้แล้ว