ตอนที่ 148 ใครทำ
เรื่องพวกนี้จริงๆ ก็โทษเจียงมู่เฉินเสียทีเดียวไม่ได้ บางอย่างโชคชะตาก็กำหนดไว้แล้ว คงเพราะตอนนั้นเขายังไม่ตาย พระเจ้าเห็นขัดหูขัดตา จึงทำให้ไป๋จิ่งปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีก
แต่ว่าเขาเองก็ไม่สนใจ ในเมื่อเขาเป็นคนที่เคยผ่านความตายมาครั้งหนึ่งแล้ว เรื่องความเป็นความตายจึงไม่ได้สำคัญอะไรมากมาย
“โอเค ของขวัญเอาใจก็ส่งมาแล้ว ยังมีธุระอย่างอื่นอีกไหม” เมื่อคืนมีเรื่องชกต่อยไม่พอ ยังโดนไป๋จิ่งทรมานทั้งคืน เพิ่งจะนอนหลับไปก็โดนเจียงมู่เฉินทำเสียงดังจนตื่นมาอีก เขาแบกรับไม่ค่อยจะไหวแล้วจริงๆ
“ทำไมวันนี้ถึงแปลกคนขนาดนี้นะ บอกมา นายไปติดหนุ่มคนใหม่ที่ไหนมา”
มั่วไป๋มองบนใส่ คร้านจะสนใจอีกฝ่ายแล้ว เขาหมุนตัวเตรียมจะเดินไป จู่ๆ เจียงมู่เฉินก็คว้ามือเขา แล้วกักตัวเขาเอาไว้ด้วยท่าทีประหลาดใจ
“เดี๋ยวก่อน บนตัวนายใครทำ”
มั่วไป๋ใส่เสื้อเชิ้ตปกปิดอำพรางไว้ได้อยู่ไม่น้อย เมื่อครู่ตอนที่ลุกขึ้นยืน เนื้อส่วนนั้นโผล่ออกมาให้เห็นนิดหน่อย หลังจากเจียงมู่เฉินเห็นก็กดเขาลงโซฟา จับปกเสื้อที่กำบังอยู่เปิดออก
แผ่นอกเรือนผิวขาวผ่องมีรอยช้ำกระจายไปทั่ว มีบางรอยที่มีเส้นเลือดฝอยปรากฏขึ้น เพราะใช้แรงมากเกินไป
มั่วไป๋เอนพิงโซฟาปล่อยให้เขาดู
“ไม่มีอะไร ก็แค่เรื่องที่สมยอมกันทั้งคู่เท่านั้นเอง” มั่วไป๋เอ่ยเสียงเรียบ
เจียงมู่เฉินเดือดแล้ว ร้อนใจจนเดินวุ่นไปมา “นายเป็นคนแบบไหน ฉันไม่รู้หรือไง นายแม่งไปสมยอมกับใครที่ไหนกัน”
มั่วไป๋ไม่อยากเอ่ยชื่อ ‘ไป๋จิ่ง’ ชื่อนี้ออกมา เจียงมู่เฉินออกจะฉลาดขนาดนี้ ต้องเข้าใจได้ปรุโปร่งอยู่แล้ว
เขาสามารถโยงเรื่องของคนๆ นั้นเมื่อก่อนนี้กับไป๋จิ่งเข้าด้วยกันได้ ตามนิสัยของเจียงมู่เฉินแล้ว เขาต้องตามไปคิดบัญชีกับไป๋จิ่งแน่นอน ถึงตอนนั้นเรื่องของเขาก็ปิดบังไว้ไม่อยู่แล้ว
มั่วไป๋ถอนหายใจ เขายังไม่อยากเดินไปถึงขั้นนี้ ระหว่างที่เขายังคิดไม่ตกว่าจะเดินต่อไปอย่างไร เขาก็ยังไม่อยากเปิดเผยสถานะของตัวเอง
“มู่เฉิน ฉันเป็นผู้ใหญ่คนนึง ก็มีความต้องการทางร่างกายของตัวเอง หลับนอนด้วยกันแค่ครั้งเดียวก็เป็นเรื่องปกติมากไม่ใช่เหรอ”
เจียงมู่เฉินไม่ฟังอยู่แล้ว “ถ้าคนอื่นมาทำแบบที่นายพูด มันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่นี่เป็นนายไง มันเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด” เขาเงียบลงสักพัก ก่อนเอ่ยต่อ “นายไม่อยากบอกฉันใช่ไหมล่ะ”
มั่วไป๋พยักหน้า “นายเชื่อฉัน ฉันรู้ว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่”
เจียงมู่เฉินได้ยินเขาพูดแบบนี้ ก็พูดอะไรไม่ออก เขาถอนหายใจเบาๆ “เอาเถอะ ฉันไม่ถามต่อแล้ว ข้าวเที่ยงกินหรือยัง”
“ยัง เพิ่งจะนอนหลับก็โดนนายทำเสียงดังจนตื่นแล้ว”
“ฉันจะสั่งของกินมาให้ นายกินเค้กก่อน รอนายกินเสร็จ ฉันถึงจะไป แล้วนายไปนอน ฉันจะไม่รบกวนนายอีก”
เจียงมู่เฉินถอนหายใจ เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนเป็นแม่ไม่มีผิด แต่ก็ช่วยไม่ได้ มั่วไป๋ยังดูแลได้ไม่เท่าเขา ไม่เฝ้าดูไม่ได้
มั่วไป๋พิงโซฟา หัวเราะมองเจียงมู่เฉิน “ฉันว่า นายมีเวลา ทำไมไม่ไปเป็นห่วงเป็นใยซือเหยี่ยนของนาย มาเฝ้าดูฉันเพื่ออะไร”
เอ่ยถึงซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉินก็อดจะทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจไม่ได้ “หึ เขาไม่ต้องให้ฉันมาเป็นห่วงเป็นใยเขาหรอก”
มั่วไป๋เลิกคิ้วมองเจียงมู่เฉิน
“มีแม่ฉันอยู่ มาไม่ถึงฉันหรอก” นึกถึงแม่เขาขึ้นมา เจียงมู่เฉินกลัวว่าแม่เขาจะลืมไปแล้วว่ายังมีลูกชายชื่อเจียงมู่เฉินอยู่
“คืบหน้าไปเร็วมาก ถึงขั้นไปเจอหน้าผู้หลักผู้ใหญ่แล้ว”
เจียงมู่เฉินมุมปากกระตุก ของเขามากสุดก็แค่ถือว่าถูกผู้ใหญ่มาพบเท่านั้นเอง
เฝ้าดูมั่วไป๋กินเค้กจนหมด รอกินของที่สั่งจากข้างนอกมาเสร็จ เจียงมู่เฉินถึงได้ออกไป ถึงอย่างไรเขายังมีภาระไปรับซือเหยี่ยนต่อ
เขาหาแฟนเป็นผู้ชายที่ไหนกัน เขาหาบรรพบุรุษมาต่างหาก
เมื่อเจียงมู่เฉินเดินเข้าไปในซือกรุ๊ป มีคนอยู่ไม่น้อยมองดูเขาแวบหนึ่ง ครั้งก่อนที่คุณชายน้อยผู้นี้มาบริษัท แต่พังของบริเวณนี้ไปเกือบทั้งหมด ใครจะรู้ว่าครั้งนี้จะมีหายนะอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า
เจียงมู่เฉินเดินเข้าลิฟต์ขึ้นไปชั้นบนด้วยท่าทีสุขุมเรียบเฉยประจักษ์แก่ทุกสายตา
เขามุ่งตรงเดินไปยังประตูห้องทำงานของซือเหยี่ยน ผลักเปิดประตูเข้าไปอย่างไม่ลังเล ซือเหยี่ยนนั่งหน้าโต๊ะทำงาน เห็นเจียงมู่เฉินแล้วก็อดจะหัวเราะเยาะไม่ได้ “ไง กลัวว่าผมจะซ่อนใครไว้ในห้องทำงานเหรอ”
ตอนที่ 149 หน้าตาหล่อ รูปร่างดี ชีวิตยังดีอีกด้วย
เจียงมู่เฉินนั่งกางแขนกางขาอยู่ต่อหน้าเขา “นายมีประวัติต้องโทษ ฉันจะคิดขนาดนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร”
“ถ้างั้น คุณคิดจะตรวจสอบผมอีกนานเท่าไหร่”
เจียงมู่เฉินคิดทบทวนอย่างจริงจัง “รอคุณชายอารมณ์ดีเมื่อไหร่ ค่อยหยุดตรวจสอบ”
ซือเหยี่ยนวางปากกาในมือลง มองมาทางเขา “งั้นครั้งนี้ตรวจสอบพอใจไหม”
ซือเหยี่ยนยักไหล่อย่างตามใจ “ธรรมดามั้ง ใครจะรู้ว่ามีคนแอบรายงานอะไรให้นายหรือเปล่า”
“รอผมดูเคสนี้เสร็จ ก็ไปได้แล้ว”
“ไม่เป็นไร นายดูต่อเถอะ ฉันจะไปเดินเล่นดูรอบๆ”
เจียงมู่เฉินว่างจนเบื่อ เดินวนดูรอบห้องทำงานของซือเหยี่ยนรอบหนึ่งก็ออกไปดูข้างนอกต่อ ชั้นนี้มีแค่ห้องทำงานของซือเหยี่ยนกับไป๋จิ่ง บวกผู้ช่วยสองคนเข้าไปอีก
เจียงมู่เฉินเตร่ไปเตร่มาก็เจอไป๋จิ่งเข้าโดยบังเอิญ สีหน้าหม่นหมองราวกับโดนอะไรกระทบกระเทือนมา เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว จู่ๆ ก็รู้สึกว่าความบันเทิงมาแล้ว
เจียงมู่เฉินมองดูไป๋จิ่งผู้ซึมเซา แล้วเดินเข้าไปใกล้อย่างร่าเริง เขานั่งตรงข้ามโต๊ะทำงานของไป๋จิ่ง เลิกคิ้วเอ่ยถาม “โดนคนแย่งแฟนสาวไปเหรอ”
ไป๋จิ่งขุ่นเคืองใจมองดูเจียงมู่เฉินที่จงใจเข้ามาดูฉากเด็ดกันจะจะ เขาโกรธจนหมุนตัวหนีไม่อยากพูดกับคนตรงหน้า คราวก่อนที่ขุดหลุมฝังศพเขา เขายังจำได้ไม่ลืม
ถึงอย่างไรคนที่มากเล่ห์กลอย่างเขา เจอทีต้องไม่มีเรื่องอะไรดีอยู่แล้ว
“พี่ชาย นี่ฉันกำลังเป็นห่วงนายอยู่นะ”
ไป๋จิ่งมองบนใส่เขา “ฉันขอบใจความเป็นห่วงของนายจริงๆ”
“บอกมาเถอะ สีหน้าเหมือนโดนคนสวมเขาของนายนี่มันอะไรกัน” เจียงมู่เฉินอยากรู้อยากเห็นจนไม่ไหว รู้สึกว่าไป๋จิ่งต้องมีเรื่องอะไรบันเทิงมากแน่ๆ
ไป๋จิ่งช้ำใจจนจะกระอักเลือด อะไรคือโดนสวมเขา เขาโดนสวมเขาตั้งแต่เมื่อไหร่
เขาค่อยๆ ถอยหลังพินิจมองเจียงมู่เฉิน “พวกเราสองคนก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นมั้ง”
เจียงมู่เฉินนั่งเอ้อระเหยลอยชายอยู่ตรงนั้น “ไม่สนิทกันขนาดนั้น แต่ในฐานะที่นายเป็นเพื่อนของแฟนฉัน แสดงน้ำใจเป็นห่วงนายสักหน่อย ถึงยังไงนอกจากฉันก็ไม่มีใครถามนายได้แล้วนะ”
คำพูดของเจียงมู่เฉินจี้จุดตายไป๋จิ่งเข้าอย่างจัง เขาโทรหาซือเหยี่ยน ไอ้หมอนั่นเมินเฉยไม่พอ ตัดสายเขาทิ้งอีก
ความทุกข์อยู่เต็มอก ไม่มีแม้ใครสักคนมาช่วยแบ่งเบา
“ต้องการความห่วงใยจากฉันไหม ถ้าไม่ต้องการ ฉันจะไปแล้ว” เจียงมู่เฉินพูดจบก็จะลุกยืนขึ้น
ไป๋จิ่งรีบดึงเสื้อเขาไว้ “อย่าๆๆ พี่ชาย นายเป็นห่วงฉันหน่อยเถอะ”
เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “เอ๊ะ เมื่อกี้ยังบอกว่าไม่สนิทกันไม่ใช่เหรอ ตอนนี้มาเป็นพี่น้องกันแล้วเหรอ”
ไป๋จิ่งยอมขาดทุนเพราะความทุกข์ใจ “นายเป็นแฟนของพี่น้องฉัน ก็ต้องเป็นพี่น้องฉันด้วยอยู่ด้วย”
คำพูดนี้ฟังรื่นหูเจียงมู่เฉินไม่เบา เขาจึงนั่งกลับลงไปอีกครั้ง “ก็ได้ เชิญเริ่มการแสดงของนายเถอะ”
ทั้งสองคนนั่งอยู่ในห้องทำงาน ไป๋จิ่งเอาเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนรุ่งสาง เล่าให้เจียงมู่เฉินฟังทั้งหมด
เจียงมู่เฉินฟังจบ สีหน้าพังทลาย ไป๋จิ่งเพิ่งจะเตรียมถอนหายใจด้วยความเศร้าใจ จู่ๆ เจียงมู่เฉินก็หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังออกมา
เขาหัวเราะไป ตบโต๊ะไป “เฮ้ย ไป๋จิ่ง ทำไมนายถึงเจ๋งขนาดนี้ มีคนมาหลับนอนด้วย เขายังให้เงินนายอีก ได้ทั้งคน ได้ทั้งเงิน นายได้กำไรเห็นๆ เลย”
เจียงมู่เฉินยิ่งคิดยิ่งขำ เหมือนโดนคนมองเป็นท่อนไม้ไปแล้ว
เขากุมท้อง หัวเราะจนน้ำตาจะไหลออกมาแล้ว
น่าเสียดาย ทำไมเขาไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย ไม่เช่นนั้นตอนที่ไป๋จิ่งเห็นเงินที่อยู่บนเตียง สีหน้าต้องตลกมากแน่ๆ
สีหน้าไป๋จิ่งดำคร่ำเคร่ง เขากัดฟันเอ่ยเน้นคำต่อคำ “เจียงมู่เฉิน น่าขำขนาดนั้นเลยเหรอ”
เจียงมู่เฉินเอามือถูตา “ไม่ใช่น่าขำขนาดนั้น โคตรขำเลยต่างหาก ตลกจะตายแล้ว”
ไป๋จิ่งรู้สึกว่าตัวเองต้องเป็นบ้าแน่ๆ ที่ไปเล่าเรื่องนี้ให้เจียงมู่เฉินฟัง เขาเชื่อไปได้ยังไงว่าเจียงมู่เฉินไอ้หมอนี่จะอยากปลอบใจตัวเองจริงๆ
“เย็นชาไร้ความรู้สึก ไม่รู้จริงๆ ว่าซือเหยี่ยนชอบอะไรในตัวนาย”
กว่าเจียงมู่เฉินจะหยุดน้ำตาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เขายักคิ้วมองไป๋จิ่งด้วยความเย่อหยิ่ง “คุณชายอย่างฉันหน้าตาหล่อ รูปร่างดี ชีวิตยังดีอีกด้วย” เขาถอนหายใจเบาๆ “ใครจะไปเหมือนนาย ไร้น้ำยาจนคนเขาเอาเงินฟาดหัวนายแล้ว”
“…” ไป๋จิ่งรู้สึกว่าถ้ายังอยู่กับเจียงมู่เฉินต่อไป เกรงว่าเขาต้องช้ำใจจนกระอักเลือดแน่
คงจะเพราะได้ยินการเคลื่อนไหวของไป๋จิ่ง ซือเหยี่ยนเดินเข้ามาจากข้างนอก เขาพิงประตูตามสบาย “นี่กำลังจะทะเลาะกันเหรอ”