ตอนที่ 111 ข้าเลือก
ภายในหอจันทร์แรมนั้นว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่ลมหายใจเดียว มีบ่าวคนหนึ่งกำลังกวาดถูด้านในและด้านนอก ตามปกติแล้วต่อให้หลานเยี่ยไม่อยู่ที่น่าควรต้องไม่มีคนถึงจะถูก
“ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่ ใครให้เจ้าเข้ามา หลานเยี่ยเล่า? หลานเยี่ยอยู่ที่ไหน” หลานเฟิงก้าวขึ้นไปดึงคอเสื้อของบ่าวคนนั้นเอาไว้แล้วถามออกมา
บ่าวคนนั้นตกใจสะดุ้ง พูดจาติดๆ ขัดๆ ไม่รู้จะพูดอะไรออกมา
“ข้า ข้า ข้าไม่รู้ว่าท่านประมุขอยู่ที่ไหนเจ้าค่ะ จู่จื๋อซือเป็นคนสั่งให้ข้ามาทำความสะอาด ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น ข้าเพียงมาทำความสะอาดเท่านั้น ทำเสร็จข้าก็จะออกไปเจ้าค่ะ”
หลานเฟิงปล่อยบ่าวคนนั้นไป แล้วเดินเข้าไปในห้อง ค้นหาทั้งข้างในข้างนอก ทุกซอกทุกมุมทีหนึ่ง ห้องที่แต่เดิมสะอาดเป็นระเบียบก็กลายเป็นเละเทะวุ่นวายอย่างไม่ที่เปรียบในชั่วพริบตา
“หลานเยี่ย เจ้าไม่ต้องหลบแล้ว ข้าหาเจ้าเจอแล้ว ข้าเห็นเสื้อผ้าของเจ้าแล้ว เจ้าออกมาเถิด เจ้าออกมา หลานเยี่ย เสี่ยวเยี่ย”
หลังจากค้นหาแล้วไร้ซึ่งผลลัพธ์แล้วหลานเฟิงถึงได้หยุดลง เขาลงไปนั่งอยู่ตรงประตู ค่อยๆ หลับตาลง ใช่แล้ว หากชิวอวี้จับตัวคนไปจะปล่อยให้เขาอยู่ที่ตระกูลหลานอีกได้อย่างไร ตนเองช่างโง่เสียจริง
หลานเฟิงหมุนตัววิ่งออกไปยังจวนของหลานเม่ย หลานเม่ยกำลังจัดการธุระปะปังของตระกูลหลานอยู่ จู่ๆ หลานเฟิงก็บุกเข้ามา
“หลานเฟิง…เจ้ากลับมาแล้วหรือ ท่านประมุขไม่ได้กับเจ้าหรอกหรือ”
หลานเฟิงไม่ได้ตอบอะไร ยังคงสำรวจรื้อคนทั้งข้างในและข้างนอกจวนของหลานเม่ยอย่างเรียบร้อยเหมือนเดิม หลานเม่ยเห็นอากัปกิริยาของหลานเฟิงก็พอเดาออกว่าเขาต้องการหาอะไร
“ท่านประมุขไม่ได้อยู่ที่นี่ ข้าเองก็หามานานแล้ว แม้กระทั่งไปถึงเมืองหลวงเพื่อให้อวี่มั่วช่วยตามหา แต่ก็ยังหาอะไรไม่พบทั้งนั้น แม้แต่เบาะแสเพียงเล็กน้อยก็ไม่มี”
ได้ยินคำพูดของหลานเม่ย หลานเฟิงก็โกรธจัดขึ้นมาในทันใด
“เจ้ามากับข้า” หลานเฟิงกระชากให้หลานเม่ยเดินตามไปข้างนอก หลานเม่ยปล่อยให้เขาดึงไป หาหลานเยี่ยไม่เจอเขาเองก็ร้อนใจเป็นอย่างมาก และคนที่ยิ่งวิตกกังวลก็คือเขา
หลานเฟิงกระชากเขามาจนถึงบริเวณม่านพลังเขาหลานวั่ง
“ดูม่านพลังเขาหลานวั่งเสียซิ”
หลานเม่ยทำตามที่หลานเฟิงพูด ยื่นมือพลางขับกระแสพลังของตนเองไปสัมผัสม่านพลังเขาหลานวั่ง แต่ไม่อาจดึงมือกลับมาได้ ม่านพลังเขาหลานวั่งมีเพียงความเคลื่อนไหวของกระแสพลังชนิดเดียวเท่านั้น แต่ไม่ใช่ของตระกูลหลาน หากแต่เป็นตระกูลเยี่ย
“ทำไมม่านพลังของหลานเยี่ยถึงไม่มีแล้วเล่า ทำไมกัน”
หลานเม่ยไม่พูดอะไรออกมา เพราะไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร ม่านพลังสูญหายนั้นหมายความได้เรื่องเดียว นั่นก็คือคนที่ตั้งม่านพลังนั้น…ตายแล้ว ข่าวที่มาอย่างกะทันหันไม่ทันตั้งตัวนี้ทำให้หลานเม่ยไม่อาจรับได้ จะเป็นไปได้อย่างไร ทำไมตนเองถึงไม่รู้ว่าเกิดปัญหาขึ้นกับเขตม่านพลังเขาหลานวั่ง
แต่ต่อให้รู้ตนเองจะทำอะไรได้
“ข้าไม่รู้ๆ” เป็นความจริงที่ว่าหลายวันมานี้หลานเม่ยมัวแต่จัดการเรื่องเขาเทียนปี้ ละเลยเรื่องของตระกูลหลานไปบ้าง จนทำให้ไม่สังเกตว่าเขตม่านพลังเขาหลานวั่งเกิดปัญหาขึ้น
หลานเฟิงปล่อยหลานเม่ยที่ยืนนิ่งไม่รู้ต้องทำเช่นไรเอาไว้ หมุนตัวเดินไปยังที่พักของมู่หลี นั่นคืออี่จือชู่ แม้โดยปกติแล้วมู่หลีจะไม่ได้อยู่ภายในตระกูลหลานบ่อยนัก แต่หลานเฟิงก็ยังไป
เป็นไปตามที่คาดไว้ ไม่มีเสียงของมู่หลี อี่จือชู่ก็เงียบเหงาเหมือนกับหอจันทร์แรม เพราะสถานะที่ไม่อาจเปิดเผย ดังนั้นแม้แต่คนมาทำความสะอาดก็ยังไม่มี บนโต๊ะมีฝุ่นเกาะอยู่บางๆ แสดงให้เห็นว่าที่นี่ไม่มีคนมานานแล้ว
หลานเฟิงกำหมัดแน่น คิดถึงคำพูดของฉีเย่ว์ ข่าวสารที่ชิวอวี้ครอบครองอยู่นั้นใหญ่โตกว่าที่มู่หลีมี นั่นหมายความว่าหากคิดซ่อนใครคนหนึ่งก็ไม่อาจมีคนหาพบ
ตอนที่ 112 เจ้ากลับไม่อยู่แล้ว
แต่สิ่งที่หลานเฟิงสนใจในตอนนี้ไม่ใช่ว่าหลานเยี่ยซ่อนอยู่ที่ไหน แต่เป็นม่านพลัง เขตม่านพลังของเขาเทียนปี้ หลานเฟิงรับไม่ได้ หลานเยี่ยไม่อาจตายไปเช่นนี้
ยังไม่ทันได้ทำเรื่องอะไรเลย! ทำไมถึงจากไปอย่างง่ายดายเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ ล้อเล่นอะไรกัน เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ หลานเฟิงลอบส่งสัญญาณทางจิตไม่หยุดแต่ความมั่นใจเริ่มหดหายลงเรื่อยๆ หลานเฟิงตะโกนออกมาเสียงดัง จนทำให้นกน้อยจำนวนนับไม่ถ้วนตกใจไป
ยังพอมีความหวัง หลานเฟิงพุ่งไปยังเขาเทียนปี้ ขอให้เป็นเพียงเขตม่านพลังเขาหลานวั่งเพียงเกิดปัญหาเท่านั้น ไม่ใช่ว่าหลานเยี่ย…
หลานเฟิงมาถึงเขาเทียนปี้ เขาเทียนปี้ยังคงมีร่องรอยหลังจากโดนเพลิงโหม แม้พื้นที่ส่วนใหญ่จะถูกเก็บกวาดแล้ว แต่ก็ยังคงได้กลิ่นเผาไหม้อยู่บ้าง หลานเฟิงเดินเข้าไปด้านใน
ที่นี่ยิ่งเป็นภาพที่สงบสุขสามัคคี ผู้ชายทุกคนถืออุปกรณ์เครื่องมืออยู่ในมือ มีคนเคาะตอกประตูลองดูว่าแข็งแรงหรือไม่ มีคนถือเส้นด้ายเส้นหนึ่งวัดดูว่าบ้านตั้งตรงหรือไม่
ตอนที่มีคนที่รู้จักหลานเฟิงเดินผ่านมาก็จะส่งยิ้มให้น้อยๆ ถือเป็นการทักทาย หลานเฟิงกลับไม่รู้ตัว อวิ๋นหรูอยู่ห่างไปไม่ไกลกำลังปรึกษาว่าตรงนี้ควรทำเช่นไร ตรงนั้นควรทำเช่นไรอยู่กับแม่ทัพอวิ๋น
เมื่อเดินไปถึงส่วนลึกโถงบรรพชนและเรือนอี้หรงที่อยู่ท่ามกลางกองซากปรักหักพังนั้นดูเด่นขึ้นมาทันตา เมื่อสังเกตเห็นการมาถึงของหลานเฟิง อวิ๋นหรูก็ก้าวขึ้นไปจะพูดคุยกับเขา แต่หลานเฟิงนั้นมีสีหน้าเจ็บปวดและทรมาน ไม่มีทีท่าว่าจะพูดคุยกับนางเลยแม้แต่น้อย
“ท่านหัวหน้าแม่ทัพหลาน ท่านมาแล้ว ท่านพี่ไม่ได้มากับท่านอย่างนั้นหรือ”
หลานเฟิงเดินเลยนางไป ตรงเข้าไปในโถงบรรพชน
“ท่านเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ตรงนี้ยังทำเหมือนเดิมหรือไม่” แม่ทัพอวิ๋นชี้จุดหนึ่งอย่างขอความเห็นจากนาง
“ข้าดูก่อน”
อวิ๋นหรูเดินไปยังบริเวณที่แม่ทัพอวิ๋นชี้ ไปพูดคุยปรึกษากับเขา ไม่ทันได้สนใจหลานเฟิง
หลานเฟิงเดินเจ้าไปคนเดียว เดินมาถึงประตูโถงบรรพชนเขาเทียนปี้
มองดูประตูใหญ่ของโถงบรรพชน แต่ลังเลไม่กล้าเปิดออก นี่คือความหวังสุดท้ายแล้ว หากว่า…
หลานเฟิงค่อยๆ เปิดประตูออกช้าๆ จากนั้นก็เดินเข้าไป ตอนที่อวิ๋นหรูกลับมาหาหลานเฟิงนั้นก็ทันเห็นหลานเฟิงเดินเข้าไปในประตูโถงบรรพชนเขาเทียนปี้ด้วยความลังเล
กำแพงด้านหน้านั้นถูกปิดผนึกเอาไว้ คนที่ไม่รู้จะต้องคิดว่านี่เป็นกำแพงธรรมดา แต่หลานเฟิงเองก็คาดหวังมากว่าตัวเองก็ไม่รู้ถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่หลังกำแพงคืออะไร
ห่างเพียงกำแพงกั้น ความเป็นความตายสองส่วน
อวิ๋นหรูไล่ตามหลานเฟิงเข้าไป แต่ต้องพบว่าหลานเฟิงนั่งอยู่บนพื้นอย่างอ่อนแรง ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่ ดวงตาทั้งสองข้างเหม่อลอย กระบี่คู่กายถูกดึงออกมา ปักอยู่บนพื้น ขลุ่ยไม้ถูกฟันออกสองท่อน
กลไกบนกำแพงถูกเปิดออก อวิ๋นหรูสังเกตเห็นไฟอมตะบนกำแพงในทันใด ที่ไม่สว่างทีทั้งหมดสองดวง ดวงแรกคือของอวิ๋นอี้ที่ยังไม่ได้เอาลงมาตั้งแต่แรก อีกดวงหนึ่งเป็นของหลานเยี่ย
“เกิดอะไรขึ้น ไฟอมตะของท่านพี่ ทำไมถึงดับลงเล่า ทำไม” อวิ๋นหรูวิ่งเข้ามา มองไฟอมตะของหลานเยี่ยอย่างไม่คิดเชื่อ ในเสี้ยววินาทีนั้นอาจจะเป็นเวลาที่สิ้นหวังที่สุดกระมัง ญาติทั้งหมดของตนที่อยู่บนโลกนี้ไม่มีแล้วแม้แต่คนเดียว
จู่ๆ หลานเฟิงก็เอากระบี่มาวางไว้บนคอของตัวเอง น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาตามใบหน้า และหยดลงไปบนขลุ่ยไม้ที่หักออกพอดี
“เสี่ยวเยี่ย รอข้า”
อวิ๋นหรูที่อยู่อีกฝั่งไม่มีปฏิกิริยาอะไร ไฟอมตะ พันปีมานี้ไม่เคยเกิดข้อผิดพลาด
ไฟอยู่คนอยู่ ไฟดับคนตาย
ในช่วงวิกฤติกระบี่ของหลานเฟิงก็ถูกคนดีดออกไป คนที่ยืนอยู่ด้านหลังคือฉีเย่ว์
“หลานเยี่ยตายแล้ว กลับไปเถิด ชิวอวี้ยังรอเจ้าอยู่”