ตอนที่ 125 สูญเสียแต่ได้กลับมาแล้วเสียไปอีกครั้ง
ตัวหนังสือสองสามตัวที่ชิวลั่วเขียนบนโต๊ะทำให้หลานเฟิงคิดไม่ถึงนั่นคือจู๋เซียงเฉิน สถานที่ธรรมดาทั่วไป ธรรมดาจนไม่อาจธรรมดาได้มากกว่านั้น ธรรมดาจนไม่ก่อให้คนเกิดความสนใจ
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทำงานอย่างตั้งอกตั้งใจในหน้าที่ ไม่เคยทำเรื่องทำราวอะไรมาก่อน ไม่มีการโฆษณาชวนเชื่อที่มากมาย เป็นร้านขายเครื่องประดับเช่นนี้
หลานเฟิงมาถึงบนตึกตรงข้ามจู๋เซียงเฉิน ก้มหน้ามองดูจู๋เซียงเฉิน เหมือนกับร้านค้าทั่วไป ด้านหน้าประตูตั้งสิงโตหินท่าทางใหญ่โตสง่างาม ตึกเล็กสองชั้น ส่วนใหญ่ถูกทาเป็นสีแดง โคมแดงสองอันแขวนอยู่บนชายคา เด็กดูแลร้านกำลังกวาดใบไม้ร่วงอยู่หน้าประตู
ร้านค้าธรรมดาทั่วไป มีคนเดินผ่านไปผ่านมา เดินเข้าไป เดินออกมา มีเครื่องประดับเพิ่มขึ้นมาชิ้นหนึ่ง คนที่ไม่เจอสิ่งที่ชอบ คนที่นี่ให้คำประเมินไม่ได้ดีและไม่เลว ระดับกลางๆ นั้นทำให้คนละเลยต่อการดำรงอยู่ที่สุด
หน้าต่างชั้นสองถูกปิดเอาไว้ ประตูชั้นหนึ่งเปิดอยู่ แต่ก็เห็นเพียงผู้จัดการร้านที่อยู่ข้างใน และเครื่องประดับที่วางอยู่ภายในห้องเท่านั้น แขกไม่มากไม่น้อย ใช้ชีวิตที่เรียบง่ายเช่นนี้
หลานเฟิงที่สวมใส่หน้ากากขึ้นใหม่อีกครั้งยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามแต่ไม่เห็นมู่หลีและหลานเยี่ย การที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ตรงนี้แน่นอนว่าต้องถูกเส้นสายของมู่หลีค้นพบ แต่หลานเฟิงก็ยังคงยืนอยู่ที่นี่
หลานเฟิงเล็งเป้าไปที่หญิงสาวนางหนึ่งข้างล่าง แสดงการกระทำบางอย่างทำให้หญิงสาวคนนั้นสังเกตเห็นเขา จากนั้นก็กระดิกนิ้วเรียกให้นางเข้ามา กลิ่นแป้งชาดของหญิงสาวคนนั้นรุนแรงอย่างมาก เมื่อเห็นว่ามีชายหนุ่มเรียกนาง ก็รีบเดินไปหาในทันที
หลานเฟิงยัดของสิ่งหนึ่งใส่ในมือของนาง จากนั้นก็กระซิบเสียงเบากับนางสองสามประโยค หญิงสาวคนนั้นยิ้มบางๆ แล้วลงจากตึกไป
หลังจากนั้นไม่นานในจู๋เซียงเฉินก็มีเสียงทะเลาะกันดังออกมา
“เครื่องประดับในร้านเจ้าไม่มีดีกว่านี้หน่อยหรือ มีแต่เหล็กผุพัง ยังจะกล้าเอามาตั้งวางไว้ที่นี่”
“แม่นางท่านนี้ เครื่องประดับของเราที่นี่ล้วนเป็นของชั้นดี ไม่ทราบว่าท่านมีอะไรไม่พอใจอย่างนั้นหรือ! ท่านพูดมา ข้าจะจัดการให้ท่านเอง” ผู้จัดการร้านออกหน้าเจรจากับหญิงสาวคนนั้น ไม่คิดว่าหญิงสาวคนนั้นจะเพียงกวาดตามองเขาทีเดียวเท่านั้น
“นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ให้ผู้จัดการของพวกเจ้าออกมาคุยกับข้า”
“ข้าเป็นผู้จัดการของที่นี่ ท่านมีอะไรไม่พอใจก็พูดกับข้าเถิด”
“เจ้าคิดว่าข้าตาบอดหรืออย่างไร พูดตั้งนานแล้วว่าเจ้าไม่ใช่ยังจะมาเบ่งกล้ามอะไรที่นี่อีก ถ้าไม่ไปเรียกออกมาข้าจะก่อเรื่องวุ่นวายที่จู๋เซียงเฉินของพวกเจ้าที่นี่ รอดูว่าพวกเจ้าจะจัดการอย่างไร”
“แม่นางอย่าเพิ่งโมโหไป ผู้จัดการของเราไม่รู้เรื่อง ไม่ทราบว่าเครื่องประดับร้านข้ามีอะไรทำให้แม่นางไม่พอใจอ่างนั้นหรือ” มู่หลีลงมาจากชั้นสอง ข้างๆ มีหลานเยี่ยตามมา
“ท่านเป็นผู้จัดการหรือ เครื่องประดับที่นี่ไม่ได้มีอะไรแย่ แต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในมือข้าจะสามารถแลกของกี่ชิ้นจากร้านของท่านบ้าง” หญิงสาวส่งของที่อยู่ในมือไปวางไว้ในมือมู่หลี หลังจากมู่หลีมองดูแล้วก็หัวเราะออกมา
“ของที่อยู่ในร้านทั้งหมดแล้วแต่แม่นางจะเลือกสรร”
“เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว” หลังจากหญิงสาวคนนั้นเลือกเครื่องประดับชั้นดีไปสองชิ้นก็เดินจากไป
“ในโลกนี้ยังมีหญิงสาวที่แสบทรวงเช่นนี้อยู่จริงๆ หญิงสาวคนนั้นให้อะไรกับเจ้า” หลานเยี่ยถามขึ้น
“ไม่มีอะไร แค่ไข่มุกเม็ดหนึ่งเท่านั้น คุณภาพชั้นดี มา ข้าใส่ให้เจ้า” มู่หลียื่นมือไปหาหลานเยี่ยนำของที่หญิงสาวคนนั้นให้เขามาสวมลงไปบนศีรษะหลานเยี่ย
“ของที่หญิงสาวสวมใส่ กลับเอามาให้ข้าใส่เสียอย่างนั้น ดูท่าทางข้าก็ต้องหาให้เจ้าใส่สักชิ้นสองชิ้นแล้ว” หลานเยี่ยเลือกปิ่นสีแดงสดขึ้นมาอย่างลวกๆ เสียบลงไปบนศีรษะมู่หลี มู่หลีหัวเราะพลางหยอกล้อทะเลาะวิวาทกับเขา แต่ก็ไม่ลืมที่จะเหลือบตาขึ้นไปมองบนตึกฝั่งตรงข้าม
ตอนที่ 126 รื่นเริงคือพวกเขา
ตั้งแต่วันที่หลานเฟิงได้เห็นหลานเยี่ยที่จู๋เซียงเฉินแล้วนั้นก็วางใจลง แต่ก็ต้องผิดหวังเป็นอย่างมาก ในที่สุดเขาก็เข้าใจความหมายคำพูดของชิวลั่วแล้ว รื่นเริงคือพวกเขา
วันนี้มู่หลีพาหลานเยี่ยไปเดินเล่นรอบนอก หลานเฟิงตามพวกเขาออกไปในบริเวณไม่ห่างนัก มู่หลีสังเกตเห็นนานแล้ว แต่ไม่ได้ขัดขวางเขา หลานวันมานี้เขาได้เห็นชิวลั่วอยู่บ้าง คำนิยามที่มู่หลีมีให้เขาน่าจะคิดว่าเป็นคนที่ชิวลั่วส่งมากระมัง
มู่หลีและหลานเยี่ยขี่ม้ามาถึงฝั่งเหนือของจิ่วหลิว ตรงนั้นมีแม่น้ำอยู่สายหนึ่ง น้ำใสสะอาดเป็นอย่างมาก มีเรือลำหนึ่งจอดรอพวกเขาอยู่นานแล้ว พวกเขาผูกมาไว้ตรงต้นไม้บริเวณใกล้ๆ ม้าเองก็กินหญ้าเขียวบนพื้นอย่างสบายอารมณ์
พวกเขาขึ้นบนเรือ บนเรือมีหลังคาบัง หลานเฟิงมองไม่เห็นว่าข้างในมีลักษณะอย่างไร พวกเขาเข้าไปครู่หนึ่งก็ออกมา ในมือมีคันเบ็ดตกปลาเพิ่มขึ้นมาสองคัน แล้วยังมีถังไม้อีกหนึ่งใบ
“นี่ มู่หลี ถามคำถามเจ้าหนึ่งคำถาม เจ้าตอบได้หรือไม่”
“แน่นอน”
“เจ้าคิดว่าพวกเราอยู่ที่นี่จะตกปลาขึ้นมาได้หรือ อย่างไรข้าก็คิดว่าไม่ได้ เจ้าดูซิว่าเรือนี่ลอยไปมา ไฉนเลยจะมีปลากล้าว่ายมาอีก”
“ข้าพูดว่ามีก็ต้องมีอย่างแน่นอน เจ้าไม่เชื่อหรือ”
“เช่นนั้นเจ้าก็ลองตกให้ข้าดูซิ”
“เจ้าดูให้ดีก็แล้วกัน”
มู่หลีวางคันเบ็ดตกปลาลง รออยู่พักหนึ่ง ตอนที่หลานเยี่ยเริ่มทนไม่ไหวแล้วนั่นเอง ปลาก็ติดเบ็ด
“เจ้าดูซิ ตกได้แล้ว” มู่หลีกวัดแกว่งปลาคาร์ฟในมือให้หลานเยี่ยดู ปลาไม่อยู่นิ่ง สะบัดน้ำใส่หลานเยี่ยเข้าเต็มๆ
“พรืด ฮ่าๆๆ”
“เจ้ายังหัวเราะอีก ปลาตัวเล็กเท่านี้ยังไม่รีบปล่อยไปอีก กินมันเข้าไปปีหน้าก็ไม่มีปลาแล้ว”
“เอาเถิดๆๆ เชื่อเจ้าทั้งนั้น” มู่หลีปล่อยปลาตัวน้อยในมือลงไป
“เสี่ยวเยี่ย ชาวบ้านมีบทเพลง ทำนองนั้นสามารถเรียกจัดการปลาใหญ่ มีชาวประมงใช้กันเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเจ้าจะลองสักหน่อยหรือไม่”
“เจ้าาจะสอนข้าหรือ”
“ข้าจะเป่าครั้งหนึ่ง เจ้าค่อยทำ” หลานเยี่ยส่งขลุ่ยในมือให้มู่หลี มู่หลีเริ่มเป่าขึ้น ไม่นานปลาใหญ่สองสามตัวก็ว่ายมาอยู่ข้างเรือของพวกเขา หลานเยี่ยดีใจเป็นอย่างมาก
“ให้ข้า ข้าจะลอง”
หลานเยี่ยที่รับขลุ่ยไปก็เริ่มเป่าขึ้นมา นึกไม่ถึงว่าปลาที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ ไม่ว่าจะเล็กจะใหญ่ ก็ว่ายเข้ามาทั้งหมด ทันใดนั้นก็รวมตัวแน่นขนัด มากมายจนนับไม่ถ้วน จนทำให้หลานเยี่ยตกใจอย่างมาก
“ทำไมถึงมีปลาเยอะขนดานี้ ทำอย่างไรดี มู่หลี” หลานเยี่ยหันไปขอความช่วยเหลือจากมู่หลี แต่กลับพบว่ามู่หลีหัวเราะอย่างหนัก
“ฮ่าๆๆ เสี่ยวเยี่ย เจ้าเป่าเร็วเกินไปแล้ว เรียกปลาทั้งหมดมาหมดแล้ว ฮ่าๆๆ”
“เจ้าหัวเราะอีกซิ” มู่หลีกลั้นหัวเราะเอาไว้อย่างสุดความสามารถ แต่กลับกลั้นเอาไว้ไม่ไหว หัวเราะจนน้ำตาแทบจะไหลออกมาแล้ว
หลานเยี่ยเป่าขลุ่ยขึ้นมาอีกครั้ว ปลาที่ตัวใหญ่หน่อยจู่ๆ ก็กระโดดขึ้นมาโจมตีมู่หลีที่อยู่บนเรือ มู่หลีที่ไม่ทันป้องกันก็ถูกปลากระแทกเข้าจนตัวเซเอนเอียง พยายามที่จะป้องกันตัวเองเอาไว้อย่างสุดความสามารถ
“เสี่ยวเยี่ย ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้วเสี่ยวเยี่ย ปล่อยข้าไปเถิด ไม่กล้าอีกแล้ว ท่าคนใหญ่คนโตจิตใจกว้างขวาง ข้าน้อยไม่หัวเราะท่านอีกแล้ว”
หลานเยี่ยไม่ได้ฟังคำของเขา ยิ่งเป่าเร็วขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้นปลาตัวเล็กตัวใหญ่ล้วนกระโดดขึ้นมาโจมตีมู่หลี ทั้งร่างมู่หลีถูกปลาล้อมรอบเอาไว้ คราวนี้ถึงตาหลานเยี่ยหัวเราะบ้างแล้ว
สุดท้ายหลานเยี่ยก็ปล่อยขลุ่ยลง มองดูมู่หลีที่หายไปในกองปลา มองเขาอย่างน่าสงสาร
หลานเฟิงมองอยู่ไกลๆ รู้สึกว่าภาพเหตุการณ์เช่นนี้ถึงจะเหมาะสมกับนิสัยของหลานเยี่ยมากที่สุด ภาพตรงหน้าไม่มีความขัดแย้งแม้แต่น้อย ทำให้เขารู้สึกว่าเขาที่เป็นคนนอก
รื่นเริงคือพวกเขา ไม่เกี่ยวกับข้า