ตอนที่ 137 การพบกันที่เขาหลานวั่ง
หลังจากหลานเยี่ยออกจากจู๋เซียงเฉินก็มุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางเขาหลานวั่ง เขาที่ไร้ซึ่งพลังกระแสวิญญาณจึงทำได้เพียงขี่ม้า เขาลองขับกระแสวิญญาณออกจากมุกหลิววั่ง แต่เพราะไม่มีความทรงจำวิธีการควบคุมพลังกระแสวิญญาณ ดังนั้นจึงล้มเหลวอยู่เสมอ หลังจากทดสอบอยู่หลายครั้ง หลานเยี่ยก็ยอมแพ้ ตรงขึ้นขี่ม้า
เมื่อมาถึงตีนเขาหลานวั่งวิสัยทัศน์ก็กลายเป็นรางเลือน มีบ้านพักตั้งอยู่เป็นแถวเป็นแนวและคนเป็นพวกเป็นกลุ่ม เมื่อเดินขึ้นไปข้างหน้าอีกก็กลายเป็นไม่สมจริงขึ้นมา หลานเยี่ยมองตรงไปข้างหน้า ย้อนกลับไปคิดถึงคำพูดของมู่หลีที่พูดกับตนเอง
เขาหลานวั่งของตระกูลหลานเต็มไปด้วยม่านพลัง หากไม่ใช่คนตระกูลหลานก็ไม่อาจเข้าไปได้ หลานเยี่ยกระชับบังเ**ยนม้า เดินวนไปมาในพื้นที่รางเลือนแถบนั้นอยู่นานถึงจะค่อยๆ ก้าวขึ้นไปข้างหน้า
หลานเยี่ยเตรียมใจพร้อมแต่ยังคงหลับตาไม่กล้าลืมขึ้น มู่หลีเคยพูดว่าผู้ที่ไม่ใช่คนตระกูลหลานเมื่อมาถึงขอบเขตม่านพลัง หากเดินขึ้นไปข้างหน้าก็จะเป็นภาพมายา สิ่งที่เห็นอาจเป็นมหาสมุทรกว้างใหญ่ผืนหนึ่ง หรืออาจเป็นทะเลทรายแห่งหนึ่ง หรืออาจเป็นหน้าผาแห่งหนึ่ง แต่เขาหลานวั่งที่แท้จริงนั้นเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่มหนาแน่น
สิ่งที่เต็มไปด้วยเขาหลานวั่งคือพืชพรรณต้นไม้และสัตว์ตัวเล็กๆ นานาชนิด เขาหลานวั่งเป็นสถานที่งดงามอย่างมาก และเป็นสถานที่ที่เหมาะสมต่อการอยู่อาศัย ไม่ว่าใครมาถึงเขาหลานวั่งล้วนหลงรักสถานที่แห่งนี้ทั้งนั้น
หลานเยี่ยค่อยๆ ลืมตาขึ้น สิ่งที่เห็นคือสายรุ้งที่พาดผ่านท้องฟ้าหลังฝนพรำ ผสานไปด้วยกลิ่นหอมสดชื่นหลังฝนซึมซ่านไปทั่วจิตใจ หลานเยี่ยตกหลุมรักที่แห่งนี้ในทันใด เขารีบขี่ม้าในทันใดเดินเล่นไปทั่วทุกบริเวณ
นั่นน่าจะจะเป็นต้นอิงฮวา หลานเยี่ยคาดเดา หลังจากบังคับม้าไปดูก็เป็นการยืนยันการคาดเดาของเขาได้ในทันใด เมื่อไปถึงบริเวณใดหลานเยี่ยล้วนรู้สึกคุ้นเคยอย่างมาก เมื่อไปถึงบริเวณใดล้วนทำให้เขารู้สึกตื่นตาตื่นใจ
ในป่าไม้แห่งนี้ทำให้หลานเยี่ยลืมไปแล้วว่าตนเองมาทำอะไร ทุกครั้งล้วนจมจ่ออยู่ในภวังค์ความยินดีที่ค้นพบสถานที่ล้ำค่าแห่งใหม่
ด้วยความไม่รู้เนื้อรู้ตัวท้องฟ้าก็เริ่มมืดลง เพราะปัญหาแสงสว่างทำให้มองเห็นทางเริ่มไม่ชัด แต่ความสนใจของหลานเยี่ยยังคงไม่ลดลงไป ท้องที่ร้องโครกครากนั้นเตือนให้เขารู้สึกถึงความเป็นจริง เขาถึงได้รู้สึกว่าตนเองมาทำอะไรกันแน่
ตนเองกลับคุ้นเคยกับป่าเขาแห่งนี้อย่างมาก แล้วม่านพลังตระกูลหลานก็ยังไม่ขวางตนเอง หลานเยี่ยอดรู้สึกตะลึงพรึงเพริดไม่ได้ เขาไม่เห็นว่าด้านหน้ามีคนคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น มองเขาอยู่นิ่งๆ
ตราบจนเดินไปข้างหน้าเขา หลานเยี่ยถึงพบว่า คนคนนั้นคือหลานเฟิง
“เป็นเจ้า”
“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องกลับมา”
“ทำไม”
“เพราะข้าเข้าใจเจ้ามากที่สุด”
“ข้าควรเรียกเจ้าว่าอย่างไร”
“หลานเฟิง”
“ได้”
หนึ่งคำถามหนึ่งคำตอบ สำหรับบทสนทนาที่ไร้ซึ่งคลื่นลมนี้หลานเยี่ยไม่รู้ว่ามีความรู้สึกเช่นไร หลายวันมานี้เขาพอจะคุ้นชินกับความไม่จริงจังของมู่หลีแล้ว แต่สำหรับบทสนทนาอันแสนเย็นชาเช่นนี้หลานเยี่ยก็ไม่ได้รู้สึกต่อต้านแต่อย่างใด
“ข้าหิวแล้ว หลานเฟิง”
“อยากกินอะไร”
“ขนมอบสับปะรด”
“นานขนาดนี้แล้วยังกินไม่เบื่อหรืออย่างไร”
“ไม่”
“ไปเถิด ไปกินข้าว”
หลานเฟิงเดินอยู่ข้างหน้า หลานเยี่ยขี่ม้าตามอยู่ด้านหลัง ไม่ได้พูดคุยกันอีก หลานเยี่ยสำรวจพิจารณาหลานเฟิงอย่างละเอียด แต่กลับไม่ได้ข้อสรุปอะไรแม้แต่น้อย
คนที่หลบซ่อนเงาตัวเอง คนที่หลบซ่อนนิสัยตนเอง ในเนื้อเรื่องเขามักจะหลบหนีความรู้สึกของหลานเยี่ยอยู่เสมอ ทำให้เกิดผลที่ตามมาซึ่งไม่อาจย้อนกลับ ตอนนี้เมื่อมีโอกาสอีกครั้งคนคนนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนี้
คนคนนี้ใช้ไม่ได้จริงๆ
กำลังคิดอยู่เช่นนี้แผ่นหลังของหลานเฟิงจู่ๆ ก็กลายเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา เต็มไปด้วยความอบอุ่น เต็มไปด้วยเส้นสายแห่งความหวัง
และยังเหมือนว่ามีความโศกเศร้า โทษตัวเองอยู่เล็กน้อย
ตอนที่ 138 ไม่เข้าใจ
เดินคดเคี้ยววนไปมา หลานเยี่ยก็เดินตามหลานเฟิงมาถึงจวนแห่งหนึ่ง นั่นคือหอเย่ว์เยี่ย หน้าประตูมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ ถือโคมไฟ เหมือนกำลังส่องทางให้กับลูกที่กลับบ้าน
เพราะหลานเฟิงได้บอกสถานการณ์ของหลานเยี่ยให้หลานเม่ยรู้ก่อนหน้านี้ ดังนั้นทั้งสองคนแม้จะเห็นหลานเยี่ยเดินวนไปมาอยู่รอบนอกม่านพลังตระกูลหลาน แต่ไม่ได้ออกไปรับเขา ให้เขาเข้ามาในเขาหลานวั่งคนเดียว หาทางกลับบ้านเพียงลำพัง
เมื่อเห็นหลานเม่ยที่อยู่หน้าประตู หลานเยี่ยยิ้มน้อยๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร แม้เขาจะจำอะไรไม่ได้แล้ว แต่ความรู้สึกที่คนผู้นี้มอบให้เขานั้นคุ้นเคยอย่างมาก
หลานเม่ยก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยิ้มให้หลานเยี่ยน้อยๆ จากนั้นก็ค้อมเอวลงเล็กน้อยแสดงถึงความเคารพ มอบโคมไฟให้หลานเฟิงจากนั้นก็เดินออกไป
หลานเฟิงถือโคมไฟ เปิดประตูใหญ่หอเย่ว์เยี่ย สิ่งที่เข้ามาปะทะใบหน้าคือกลิ่นหอมดอกไม้ คือกลิ่นสดชื่นของน้ำค้าง เมื่อเห็นดอกไม้ใบหญ้าเต็มสนามจู่ๆ ความรู้สึกที่เหมือนจะเข้าใจของหลานเยี่ยก็กลายเป็นสับสนวุ่นวาย
หลานเฟิงพาหลานเยี่ยเข้าไปข้างใน หลานเยี่ยมองเห็นภาพทิวทัศน์ภายในทั้งหมด นอกจากดอกไม้ ก็ยังคงเป็นดอกไม้ กลิ่นหอมของดอกไม้ทำให้คนลุ่มหลง
หลังจากเข้าไปก็เห็นว่าฝั่งซ้ายมีห้องอยู่สองสามห้อง หลานเฟิงพาเขาเข้าไปดูทีละห้อง เมื่อเปิดประตูห้องหนึ่งออก ภายในนั้นตกแต่งไปด้วยสีฟ้า
“นี่เป็นห้องนอนของเจ้า ในห้องข้าเป็นคนตกแต่ง เจ้าไม่เคยพูดอะไรมาก่อน เหมือนว่าไม่เคยสนใจเรื่องเหล่านี้” ภายในห้องมีเสื้อผ้าสีฟ้าสองสามชุด ควรต้องพูดว่าเสื้อผ้าทั้งหมดล้วนเป็นสีฟ้า
และเสื้อผ้าบนตัวของหลานเยี่ยในตอนนี้เป็นสีเหลืองอ่อน
“เสื้อผ้าทั้งหมดของเข้าล้วนเป็นข้าที่จัดเตรียม เป็นสีฟ้าทั้งสิ้น เพราะข้าคิดว่าสีฟ้านั้นเหมาะสมกับเจ้าที่สุด” หลานเยี่ยมองดูเสื้อผ้าบนร่างของตน ยิ้มแย้มไม่ได้พูดอะไร เสื้อผ้าที่มู่หลีเตรียมไว้ให้เขานั้นหนึ่งวันหนึ่งสี อาจเป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้เขาล้วนสวมใส่สีฟ้า แลดูซ้ำซากไปเสียหน่อย
พวกเขาเดินมาอีกห้องหนึ่ง ของภายในนั้นมีน้อยนิด นอกจากของที่จำเป็นแล้วก็ไม่มีอะไรอีก
“นี่คือห้องของข้า อยู่ข้างห้องเจ้า เพราะตอนแรกตกดึกทุกคืนเจ้ามักฝันร้าย พลังกระแสวิญญาณวุ่นคลั่ง อยู่ข้างเจ้าก็ง่ายกับการดูแลเจ้ามากกว่า”
หลานเยี่ยมองเขาทีหนึ่ง ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก
สุดท้ายพวกเขาก็เดินมาถึงห้องโถง หลานเยี่ยใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว ไม่มีทางอื่น หิวมาก แล้ว จึงทำได้แค่ถาม
“ดังนั้นเมื่อไรพวกเราจะได้กินข้าวหรือ”
พอได้ยินประโยคนี้หลานเฟิงก็หัวเราะออกมา หัวเราะแล้ว ทำให้หลานเยี่ยเห็นแล้วนิ่งค้าง เขาคิดว่าคนคนนี้หัวเราะไม่เป็นเสียอีก คิดไม่ถึงว่าพอหัวเราะขึ้นมาแล้วดูดีไม่น้อย หลานเยี่ยคิดถึงใบหน้าของมู่หลีที่มักจะมีรอยยิ้มเปื้อนอยู่เสมออีกครั้ง ครานี้คงจะโมโหจริงกระมัง เป็นตนเองแท้ๆ ที่ไม่ให้เขาออกห่างจากตนเอง แต่ตนเองกลับห่างจากเขามา
“เดี๋ยวนี้” โต๊ะด้านข้างมีกล่องอาหารอยู่กล่องหนึ่ง หลานเฟิงเปิดออกทีละชั้น ในนั้นมีอาหารหลากหลายประเภท นำออกมาวางไว้บนโต๊ะทีละจาน มีเพียงขนมอบสับปะรดเท่านั้นที่ไม่เห็น หลานเยี่ยมองกล่องอาหารที่แทบจะว่างเปล่าอย่างคาดหวัง สุดท้ายแล้วก็เห็นขนมอบสับปะรดที่อยู่ในใจมานานอยู่ชั้นล่างสุด แต่หลานเฟิงกลับไม่เอาออกมา
มองดูสีหน้าน้อยใจของหลานเยี่ย หลานเฟิงก็หัวเราะออกมาอย่างใจร้าย
“แต่ก่อนนี้เจ้าไม่ยอมกินข้าวดีๆ กินแค่ขนมอบสับปะรดเท่านั้น กินมานานขนาดนี้ก็ยังไม่เห็นเจ้าเบื่อ ข้าไม่เคยเข้าใจเลยว่าแท้จริงแล้วอร่อยอะไรขนาดนั้น หลังจากที่เจ้าจากข้าไปแล้วข้าจึงลอง ก็อร่อยจริง มีรสชาติของความทรงจำแฝงอยู่”
“ครั้งนี้พวกเรากินข้าวก่อนดีหรือไม่ สำหรับทวนความทรงจำ พวกเราค่อยๆ เริ่มไปช้าๆ เจ้ายินยอมสร้างความทรงจำกับข้าอีกครั้งหรือไม่”
แต่หลานเยี่ยกลับเพียงนั่งมองขนมอบสับปะรดอย่างเต็มไปด้วยความหวัง ไม่ได้ฟังว่าเขาพูดอะไร
หลานเฟิงคิดว่าหลานเยี่ยที่เป็นเช่นนี้น่าจะมีความสุขกระมัง แต่ข้ายังคงไม่อาจควบคุมความเห็นแก่ตัวของตนเองได้
เพียงแค่อยากครอบครองเจ้าเท่านั้น