ตอนที่ 139 ยืนยันผ่านทางสายตา
หลานเฟิงจนปัญญา ทำได้เพียงหยิบขนมอบสับปะรดขึ้นมาชิ้นหนึ่งส่งให้หลานเยี่ย หลานเยี่ยที่รับขนมอบสับปะรดมาแล้วก็อารมณ์ดีขึ้นมาในทันใด กินอย่างมีความสุข
“กินได้เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น”
“อืม”
พอกินขนมอบสับปะรดเสร็จ หลานเยี่ยที่แต่เดิมหิวจนทนไม่ไหวแล้วก็รีบจับตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว เวลาผ่านไปไม่นานกับข้าวสองสามอย่างก็เริ่มเห็นก้นจาน มีกับข้าวบางอย่างที่ไม่ถูกแตะต้อง มองดูกับข้าวบนโต๊ะหลานเฟิงก็หัวเราะออกมา
“ยังคงเลือกกินเหมือนเดิม กินแค่สองสามอย่างนั้นเท่านั้น”
“อืม” ไม่ได้ฟังว่าหลานเยี่ยพูดอะไร หลานเยี่ยนั้นเริ่มลงมือกับขนมอบสับปะรดจานนั้นนานแล้ว
“ไม่มีอะไร หลังจากกินอิ่มแล้วอยากไปดูที่ไหนหรือไม่”
หลานเยี่ยกินไปพลางตอบไปพลาง
“อยากไปดูเขาหลานวั่งอีกครั้ง กลางวันยังไม่สำรวจหมด อยากไปเห็นอีกสักครั้ง แต่กลางคืนอาจไม่ชัดสักเท่าไร”
“ไม่ต้องกังวล กินอิ่มแล้วข้าจะไปกับเจ้า”
“อืมๆ” แม้ของอร่อยจะอยู่ข้างหน้า แต่สำหรับหลานเยี่ยแล้วแรงดึงดูดของเขาหลานวั่งนั้นเหมือนจะมากกว่าเสียหน่อย ในตอนนั้นจึงหยิบขนมอบสับปะรดสองสามชิ้นขึ้นมาแล้ววิ่งออกไปด้านนอก
“ไปเถิด” เห็นท่าทางของหลานเยี่ย หลานเฟิงก็รู้สึกเพลินใจขึ้นมาในทันใด แต่ก็รู้สึกขัดแย้งอย่างมาก
“ไม่ต้องเร่งรีบเช่นนี้ เจ้ากินให้อิ่มก่อนค่อยไป”
“ข้ากลัวว่าอีกครู่จะยิ่งเห็นไม่ชัด”
“ไม่เป็นไร ข้าจะทำให้เจ้าเห็นอย่างชัดเจน” ไม่รู้ว่าทำไม พอได้ยินหลานเฟิงพูดเช่นนี้หลานเยี่ยกลับสงบใจขึ้นมา นั่งอยู่นิ่งๆ เงียบๆ กินขนมอบสับปะรดอยู่ตรงนั้น
รอจนกินอิ่มแล้วหลานเฟิงถึงจะพาหลานเยี่ยไปยังเขาหลานวั่ง เห็นว่าทั่วทั้งเขานั้นมีโคมไฟแขวนอยู่เต็มไปหมด มองจากที่ไกลๆ แล้วก็ครึกครื้นเหมือนกับเทศกาลโคมไฟ แต่นอกจากพวกเขาสองคนแล้วก็ไม่มีคนอื่นอีก
“เป็นอะไรไปหรือ” เห็นสีหน้าของหลานเยี่ยไม่ค่อยถูกต้องเท่าไรนัก หลานเฟิงจึงถามขึ้น
“ไม่มีอะไร เพียงแค่รู้สึกเงียบเหงาไปเสียหน่อย ได้ยินมู่หลีพูดว่าตระกูลหลานนั้นเป็นสถานที่ครึกครื้นอย่างมาก ตอนนี้กลับมีเพียงพวกเราสองคนเท่านั้น”
“ยังคงชอบความครึกครื้นเหมือนเดิมนี่เอง” หลานเฟิงปรบมือ ทันใดนั้นทั่วสารทิศรอบด้านก็มีคนถือโคมไฟเดินออกมามากมาย มีทั้งผู้ใหญ่ มีทั้งเด็ก ล้วนหยอกเย้าล้อเล่นอย่างมีความสุข เมื่อเห็นหลานเยี่ยก็มีเด็กวิ่งเข้ามาพูดคุยกับเขา
“ท่านประมุข ได้ยินว่าท่านจัดเทศกาลโคมไฟในคืนนี้ เสี่ยวอวี๋ขอบคุณท่านประมุข ได้เล่นอย่างมีความสุขแล้ว” เด็กที่ชื่อว่าเสี่ยวอวี๋นั้นวิ่งมาหาแสดงความขอบคุณต่อหลานเยี่ย หลานเยี่ยอึดอัดเล็กน้อย แต่ก็ยังนั่งลงไปพูดคุยกับเขา
“ทำไมเจ้าถึงรู้ว่าข้าเป็นท่านประมุขเล่า เจ้ายังเล็กขนาดนี้”
“เสี่ยวอวี๋โตแล้ว วันที่ท่านประมุขสืบทอดตำแหน่ง เสี่ยวอวี๋ก็ไปดู ท่านประมุขช่างทรงอำนาจเหลือเกิน ในตอนนั้นพี่ชายคนนี้ก็ไปเช่นกัน แล้วยังยืนอยู่ข้างท่าน”
“เช่นนั้นหรือ” หลานเยี่ยยิ้มพลางพูดออกมา
“ท่านประมุข ท่านหัวหน้าทัพ ขออภัยด้วย เด็กน้อยยังไม่รู้เรื่อง รบกวนพวกท่านแล้ว” หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งก้าวขึ้นมา น่าจะเป็นมารดาของเสี่ยวอวี๋ แม้จะพูดเช่นนั้นแต่ก็ไม่ได้มีความกลัวเลยแม้แต่น้อย มีเพียงรอยยิ้มบนใบหน้า
“ไม่เป็นอะไร คืนนี้จะต้องเล่นให้มีความสุขนะ”
“รีบขอบคุณท่านประมุขเร็วเข้า” หญิงกลางคนผู้นั้นพูดสอนเสี่ยวอวี๋
“ขอบพระคุณท่านประมุข”
“น่ารักเสียจริง ไปเล่นเถิด”
หลังจากพวกเขาเดินจากไป หลานเฟิงและหลานเยี่ยก็เดินเล่นรอบด้าน
“มู่หลีพูดว่าตระกูลหลานนั้นดีมาก แต่ข้าคิดไม่ถึงว่าจะสามัคคีเช่นนี้”
“มู่หลีเองก็เป็นคนตระกูลหลาน เขาเป็นเชียนจื๋อซือของตระกูลหลาน ชื่อเดิมว่าหลานเช่อ นอกจากท่านประมุขและจู่จื๋อซือแล้วก็ไม่มีคนรู้ถึงสถานะของเขาอีก รับผิดชอบเรื่องข่าวสารของโลกภายนอกต่อตระกูลหลาน”
“เช่นนี้นี่เอง มิน่าเขาถึงได้คุ้นเคยกับตระกูลหลานเช่นนี้” หลานเยี่ยพูดประโยคนี้ออกมา หลานเฟิงมองสีหน้าเขาไม่ชัดเท่าไรนัก หลานเยี่ยหันกลับมา สายตาของทั้งสองคนประสานกัน
ตอนที่ 140 เป็นคนเช่นไร
“ไปเดินเล่นที่อื่นเถิด เจ้านำข้าไป”
หลานเยี่ยเสนอขึ้น
“ให้เจ้านำข้าไปดีหรือไม่” หลานเฟิงไม่ได้ตอบเขา ผิดแผกจากที่เคยเป็น
หลานเยี่ยไม่ค่อยเข้าใจ แต่ไม่นานก็ได้สติกลับคืนมา
“ได้ เดินตามข้ามา” หลานเยี่ยสะบัดแขนเสื้ออย่างทรงอำนาจ ทำให้หลานเฟิงกลืนไม่เข้าหายไม่ออก
“ไปทางนั้น” หลานเยี่ยชี้ไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง
หลานเยี่ยเดินอยู่ข้างหน้า เมื่อมาถึงหน้าต้นไม้ต้นหนึ่งจู่ๆ ก็ทำท่าทางระมัดระวัง แล้วยังไม่ลืมหันกลับไปบอกให้หลานเฟิงเบาเสียง
ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าตรงฐานมีอุโมงค์ต้นไม้ หลานเยี่ยค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้พบว่ามีกระต่ายสองสามตัวอยู่ในนั้น มองดูกระต่ายที่น่ารักเหล่านี้ หลานเยี่ยก็อดส่งเสียงออกมาไม่ได้
“เจ้าดูซิ น่ารักจัง”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าที่นี่มีกระต่ายน้อย”
“ใครจะรู้เล่า! เหมือนว่าเคยรู้อยู่แล้ว ตอนกลางวันก็เช่นกัน เดินผ่านที่มากมาย ก็เหมือนรู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าตรงนั้นมีอะไร”
“ยังรู้อะไรอีก คิดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับกระต่ายน้อยของเขาหลานวั่งได้บ้างหรือไม่”
“เจ้าถามข้าว่ายังรู้อะไรอีกข้ากลับคิดไม่ออกแล้ว เจ้ากระต่ายน้อยยังมีที่หอเย่ว์เยี่ยอยู่อีกหลายตัว พวกเราไปดูที่นั่นกันดีกว่า”
ทั้งสองคนเดินเล่นไปมา สุดท้ายแล้วก็มาถึงบริเวณผนึกม่านพลังทั้งสี่ของเขาหลานวั่ง หลานเยี่ยรู้สึกประหลาดใจจึงวิ่งเข้าไปดู
“นี่คืออะไร ด้านบนนั้นให้ความรู้สึกเช่นเจ้า”
“นี่คือปลายสายของม่านพลัง บนนั้นแต่เดิมเป็นพลังกระแสวิญญาณของเจ้า ตอนแรกที่เจ้าตั้งเขตผนึกนั้นก็เพื่อป้องกันอันตราย ข้าเองก็เพิ่มเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง แต่เดิมหากกระแสวิญญาณของเจ้าเกิดปัญหา ขอแค่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ก็จะไม่หายไปไหน แต่เพราะเหตุผลบางประการม่านพลังจึงหายไป นั่นก็เป็นเหตุว่าทำไมตอนแรกข้าถึงมั่นใจว่าเจ้าตายไปแล้ว
“เจ้าสามารถสอนวิธีควบคุมกระแสวิญญาณให้ข้าได้หรือไม่ วันนี้ข้าลองขับพลังกระแสวิญญาณจากมุกหลิววั่งแต่กลับล้มเหลว ข้าอยากลองอีกเสียหน่อย”
“ย่อมได้”
หลานเฟิงและหลานเยี่ยฝึกควบคุมกระแสวิญญาณที่เขาหลานวั่ง ท่ามกลางโคมไฟสึแดงสดกระแสวิญญาณสองสีแตกต่างกันส่องแสงสลับไปมา สีฟ้าหนึ่งสายสีม่วงหนึ่งสาย งดงามอย่างมาก
“ตอนนี้ลองใช้กระแสวิญญาณกระโดดขึ้นต้นไม้ต้นนั้น” หลานเฟิงชี้ไปยังต้นไม้ใหญ่แข็งแรงด้านบน หลานเยี่ยขลาดกลัวอยู่เล็กน้อย หลานเฟิงกระโดดขึ้นไปก่อน รอเขาอยู่ด้านบน
หลานเยี่ยกัดฟัน หลับตาลงแล้วกระโดดขึ้นด้านบน จากนั้นก็ตกอยู่ในอ้อมกอดอันแสนอบอุ่น
หลานเยี่ยลืมตาขึ้นมามองดูใบหน้าที่อยู่ใกล้เพียงคืบด้านหน้า เขากลับเกิดอาการเหม่อลอยขึ้นมาในทันใด คนผู้นี้เป็นคนเช่นใดกันแน่ ตนเองคือหลานเยี่ยอย่างนั้นหรือ คือนายน้อยตระกูลหลาน คือประมุขตระกูลหลานอย่างนั้นหรือ
“ตอนนี้มองเขาหลานวั่งอีกครั้งซิ”
หลานเยี่ยทำตาม กลับพบโลกใบใหม่ จากมุมสูงสามารถเห็นเขาหลานวั่งทั้งลูก วิวทิวทัศน์สวยงามน่ามหัศจรรย์ เหตุเพราะเทศกาลโคมไฟแสงสีแดงสดนั้นทำให้หลานเยี่ยรู้สึกว่าภาพแวดล้อมที่สวยงามที่สุดเท่าที่เคยเจอมาในชีวิตนี้ได้หยุดลงที่นี่
“พวกเราไปเถิด ยังมีอีกแห่งหนึ่งที่ข้าอยากไปดู”
“ได้” หลานเฟิงโอบประคองเอวของหลานเยี่ยแล้วจึงกระโดดลงมา หลานเยี่ยไม่ได้ดิ้นหนี
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่หลานเยี่ยเคยชินกับการนำหลานเยี่ยในเรื่องราวของหลานเฟิงมาทับซ้อนกับตนเอง เขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นเมื่ออยู่ในตระกูลหลาน แต่ก็ยังคงคิดถึงมู่หลีอยู่บ้าง คิดถึงบิดาที่อยู่ในราชสำนัก
ทุกครั้งที่คิดถึงพวกเขา เขาก็จะสงสัยว่าความทรงจำของตนเป็นเรื่องจอมปลอมหรือไม่ มีบางครั้งที่รู้สึกว่าหากความทรงจำของตนเป็นเรื่องโกหกนั่นก็น่าเศร้าเกินไปแล้ว มีชีวิตมายังไม่ถึงยี่สิบปีความทรงจำกลับถูกเปลี่ยนไปแล้วสองครั้ง ช่างน่าขายหน้าเสียจริง