ตอนที่ 145 ไฟอมตะของข้าดับแล้ว
หลานเยี่ยหันกลับไป มองดูไฟที่แขวนอยู่เต็มกำแพง ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก
“นี่คือไฟอมตะ เป็นสิ่งที่ทำมาจากวิธีการพิเศษของเขาเทียนปี้ สามารถบันทึกความเป็นความตายของคนผู้หนึ่งได้ ไฟสว่างคนอยู่ ไฟดับคนตาย” หลานเยี่ยมองไฟอมตะบนกำแพง มีสองดวงที่ดับลงไปแล้ว ดวงหนึ่งด้านล่างเขียนไว้ว่าอวิ๋นอี้ อีกดวงหนึ่งด้านล่างเขียนไว้ว่าหลานเยี่ย
“ไฟอมตะของข้า…ดับแล้ว”
“นี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลสุดท้ายที่ทำให้ข้าเชื่อในตอนนั้น สิ่งที่สามารถแสดงถึงความเป็นความตายของคนผู้หนึ่งได้อย่างดีที่สุดก็คือไฟอมตะ ระยะเวลาพันปีร้อยปีที่ผ่านมาไม่เคยเกิดเหตุผิดพลาดขึ้นมาก่อน”
“แล้วข้าเล่า ดังนั้นเจ้าถึงพาข้ามาที่นี่ อยากจะบอกข้าว่าข้าไม่ใช่หลานเยี่ย ทั้งๆ ที่ข้ามีความคิดอยากจะเชื่อแล้วว่าข้าคือหลานเยี่ย”
“ไม่ เจ้าเป็นคนแรก เจ้ายังไม่ตาย เจ้าเป็นคนแรกที่ทำให้ไฟอมตะเกิดปัญหา”
“ทั้งๆ ที่เจ้าสามารถทำให้ข้าไม่ต้องเห็นของสิ่งนี้ เหตุใดจึงให้ข้าพบเห็นเล่า นี่มีประโยชน์อะไรต่อข้าอย่างนั้นหรือ”
“บางทีสิ่งที่ข้าพาเจ้ามาดูอาจไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งหมด แต่ของเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่หลอมรวมเป็นความทรงจำของเจ้า ข้าเคยพูดแล้ว ค่อยๆ ตามหาความทรงจำไปกับเจ้าอย่างช้าๆ อีกอย่างคือสร้างความทรงจำไปพร้อมกับข้า”
“ตอนนี้ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าสิ่งทั้งหมดที่ข้าทำนั้นมีความหมายหรือไม่ ข้าเชื่อเรื่องราวของเจ้า ข้าละทิ้งมู่หลี ปล่อยวางสถานะของตนเอง ข้าเดินทางมาหลายพันลี้เพื่อที่จะตามหาคำถามที่เหมือนไร้ซึ่งคำตอบ ข้าคงบ้าไปแล้วจริงๆ”
“เจ้าไม่ได้บ้า คนที่บ้าคือข้า ข้ารักเจ้า รักจนบ้าคลั่ง คิดอยากครอบครองเจ้าอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ต่อให้โลกใบนี้หักหลังข้า ข้าก็ยังคงอยากได้เจ้าเหมือนเดิม ทุ่มเทสุดกำลัง”
“มาพูดสิ่งเหล่านี้ตอนนี้ยังมีความหมายอะไร”
“ต่อให้ไม่มีความหมาย รอจนในอนาคตตอนที่พวกเราใกล้ตายก็ถือว่าเป็นการหล่อหลอมความทรงจำอันสวยงามในชีวิตนี้ของพวกเรา เจ้ามากับข้า ยังมีอีกที่ ไปกับข้า ไปแล้ว เจ้าจะเข้าใจ”
หลานเฟิงลากหลานเยี่ยออกไปข้างนอกอีกครั้ง หลานเยี่ยอารมณ์ไม่ดีความคิดสับสน ปล่อยให้เขาลากออกไป มาจนถึงอุโมงค์ลับ อุโมงค์ลับมีทหารพลังเขาเทียนปี้คอยเฝ้าดูแล เมื่อเห็นว่าหลานเยี่ยมาก็ไม่ได้ขัดขวาง
หลังจากเข้าไปแล้ว หลานเยี่ยสังเกตเห็นตัวอักษรบนกำแพง นี่เป็นตัวหนังสือที่แปลกตาทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นตอนก่อนหน้านี้ที่ยังไม่สูญเสียความทรงจำ หรือตอนนี้ เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ดังนั้นแรงโจมตีที่มีต่อเขาจึงเป็นเรื่องร้ายแรง ไม่อาจมองข้ามได้
เขาเริ่มอ่านทีละตัวอักษร ทีละประโยค ตัวหนังสือที่ถูกสลักบนกำแพงนั้นยังสะท้อนแสงประกาย แลแสบตาอยู่เล็กน้อย
กงล้อพันปีหมุนเวียนมาบรรจบ วิบากกรรมกาลหนึ่ง เหตุเพียงเพราะสกุลทั้งสองที่ต่างกัน เหตุเพียงเพราะสองคนที่รักกัน สิ่งทั้งหมดทั้งมวลในวันนี้ล้วนเป็นผลที่เกิดขึ้นจากเหตุนั้น มีผู้ใดมาเด็ดดม แล้วจะมีผู้ใดมาจบเรื่อง กำหนดแล้วซึ่งตอนจบที่ต่างกัน จะดีจะเวง จะสุขจะทุกข์ ล้วนเป็นเพียงเสี้ยวความคิดเดียว
หากในอดีตพวกเราครองรักซึ่งกัน หลังจากนั้นมาก็จะไม่เกิดเรื่องมากมายเช่นนี้ขึ้นใช่หรือไม่ จะไม่มีผู้คนที่ต้องมาแบกรับความเจ็บปวดอันไม่สมควรอย่างมากมายเช่นนี้ใช่หรือไม่ จะไม่มีคนตายไปอย่างมากมายเช่นนั้นใช่หรือไม่ เรื่องราวทั้งหมดล้วนเป็นเพราะข้าและเจ้า หากในตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่บนโลกแท้จริงแล้วยังมีประโยชน์อะไร
หลานเยี่ยอ่านจบก็ขับนำมุกหลิวออกมา ทดลองหาวิญญาณของหลานเซียวที่อยู่ในนั้น
“หลานเซียวและชิวจือเว่ยล้วนจากไปแล้ว เจ้าใช้แหล่งกระแสวิญญาณดั้งเดิมช่วยพวกเขาเลือก พวกเขามีเรื่องราวของตนเองต้องไปทำให้จบสิ้น พวกเราก็เช่นกัน บางทีสถานีต่อไปอาจเป็นปลายทาง แต่ข้าหวังว่านั่นจะไม่เป็นปลายทางของพวกเรา”
“ดังนั้นเจ้าคิดอยากไปที่ใด”
“ดังนั้น เจ้ายังคิดรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งหรือไม่” หลานเยี่ยถามหลานเฟิงด้วยคำถามนี้ หลานเฟิงกลับไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
“ขอแค่เพียงครอบครองเจ้า ไม่สนใจสิ่งตอบแทนใดทั้งนั้น”
หลานเยี่ยไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา ร่องรอยหยาดน้ำตาบนใบหน้านั้นถูกเช็ดจนแห้งไปนานแล้ว ที่เหลือเป็นเพียงความเย็นชา
“ท่านพี่ ท่านยังไม่ตาย” เสียงสตรีดังขึ้น หลานเยี่ยกันกลับไป
ตอนที่ 146 ร้อนแรงดั่งไฟเผา
หลานเยี่ยหันกลับไป เผชิญหน้ากับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่คิดเชื่อ น้ำตาอวิ๋นหรูไหลลงมาเต็มหน้า ไม่อาจควบคุม
“ท่านพี่ เป็นท่านจริงด้วย ท่านยังไม่เสียชีวิต ดีเหลือเกิน ข้าได้ยินคนในตระกูลพูดว่าท่านกลับมาแล้วข้ายังไม่เชื่อด้วยซ้ำไป เป็นท่านจริงด้วย ท่านกลับมาแล้ว ข้าคิดว่าท่านเสียชีวิตไปแล้ว ไฟอมตะดับลง ข้าไม่มีซึ่งญาติพี่น้องอีกต่อไป ท่านแม่เสียแล้ว ท่านพ่อก็เสียไปแล้วเพราะข้า ท่านป้าเสียชีวิตไปแล้ว ท่านลุงก็ไม่มี หากท่านเสียไปอีกข้าก็จะไม่มีแม้แต่ญาติเพียงคนเดียว ยังดีที่ท่านมีชีวิตอยู่”
อวิ๋นหรูกอดหลานเยี่ยพลางร้องไห้ออกมาอย่างหนัก พลางพูดจาสับสนวกวนไปมา ตอนแรกเริ่มหลานเยี่ยก็ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร พอฟังมาจนถึงตอนสุดท้ายก็ตาแดงขึ้นมา ยื่นมือออกไปกอดอวิ๋นหรูเอาไว้
“พอแล้วๆ อย่าร้องไห้อีกเลย ข้าก็กลับมาแล้วไม่ใช่หรือ” หลานเยี่ยใช้มือตบหลังอวิ๋นหรูเบาๆ
อวิ๋นหรูปล่อยหลานเยี่ย แต่น้ำตายังไม่หยุดไหล หลานเยี่ยเช็ดน้ำตาให้นาง
“ร้องไห้อีกจะกลายเป็นแมวลายแล้วนะ”
ด้านหลังมีคนผู้หนึ่งก้าวขึ้นมา หลานเยี่ยถึงได้สังเกตว่ามีคนอื่น
“ท่านประมุขหลาน” คนผู้นั้นค้อมตัวลงเล็กน้อย แสดงถึงความเคารพ
“นี่คืออวิ๋นไหวแม่ทัพกำลังทหารแห่งเขาเทียนปี้ ในช่วงเวลานี้เป็นเขาที่คอยช่วยข้าดูแลเขาเทียนปี้มาตลอด” อวิ๋นหรูพูดอธิบาย
“ช่วงเวลานี้ต้องลำบากเจ้าดูแลอวิ๋นหรูแล้ว” หลานเยี่ยซึมซับบรรยากาศของพวกเขา พูดแสดงความขอบคุณต่ออวิ๋นไหว
“เป็นสิ่งที่ข้าน้อยสมควรทำขอรับ ท่านประมุขหลานมาครั้งนี้มีแผนการอย่างไรบ้างขอรับ” อวิ๋นไหวและอวิ๋นหรูไม่รู้เรื่องที่หลานเยี่ยถูกเปลี่ยนความทรงจำ พอถามออกมาเช่นนี้หลานเยี่ยก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร รู้สึกน้ำท่วมปากขึ้นมาในทันใด
ครุ่นคิดเพียงเล็กน้อย หลานเยี่ยถึงได้เอ่ยปาก
“ดูตามสถานการณ์ก็แล้วกัน” ไม่ได้พูดอะไรอื่นอีก อวิ๋นไหวเพียงพูดรับทราบ หลานเยี่ยไม่รู้ว่าเขารู้อะไร เพราะตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าตนเองพูดอะไรออกไป อวิ๋นไหวหมายความว่าอย่างไรกัน
“ท่านพี่ งานฝังศพท่านพ่อเมื่อวันก่อนท่านไม่ได้มา จะไปหาท่านพ่อหน่อยหรือไม่”
“เมื่อครู่ไปมาแล้ว”
“เช่นนั้นหรือ เช่นนั้นพวกเราไปเรือนอี้หรงกันเถิด มาถึงเขาเทียนปี้จะต้องเหนื่อยเป็นแน่ ข้าพาท่านไปพักผ่อนก็แล้วกัน”
เมื่อเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น อารมณ์ส่วนใหญ่ของหลานเยี่ยก่อนนี้ก็ถูกอวิ๋นหรูตีจนเละไปหมด ภายในหัวสมองเหลือเพียงคำพูดสองสามประโยคของอวิ๋นหรู ไม่มีญาติพี่น้อง มีเพียงท่านแล้ว…
เรือนอี้หรงแบ่งออกเป็นสองส่วน เรือนหรงและเรือนอี้ หลานเยี่ยและหลานเฟิงเดินตามอยู่ข้างหลัง อวิ๋นหรูนำทางอยู่ด้านหน้า อวิ๋นไหวไปยุ่งธุระอย่างอื่นต่อ
“คืนนี้พักที่เขาเทียนปี้เถิด พวกท่านไปพักที่เรือนหรง นั่นเป็นที่อาศัยของท่านป้าตอนมีชีวิต ท่านพี่ไม่ได้มานานแล้ว ไปที่เรือนอี้ก่อน พวกเราไปทานอาหารก่อนเถิด” อวิ๋นหรูเดินนำอยู่ข้างหน้าพูดไม่หยุด ดูท่าทางอารมณ์ดีไม่น้อย
“ได้” หลานเยี่ยตอบรับ ทำให้อวิ๋นหรูอดไม่ได้ที่จะก้าวขึ้นมาคล้องแขนหลานเยี่ยเอาไว้ หลานเยี่ยไม่ได้สนใจ แต่หลานเฟิงนั้นกลับดึงหน้าเย็นชา
อวิ๋นหรูพาพวกเขาไปทานอาหาร ในระหว่างนั้นมีผู้คนมาหาอวิ๋นหรูอยู่หลายครั้ง สุดท้ายด้วยความจนปัญญาอวิ๋นหรูยังไม่ทันได้รับรองแขกจนพอใจก็ทำได้แค่จากไป
“เรื่องหลักถือเป็นสิ่งสำคัญ เจ้าไปก่อนเถิด” หลานเยี่ยยิ้มพลางพูดออกมา
“แต่ข้ายังไม่ทันได้รับรองท่านจนพอใจเลย”
“เวลายังอีกยาวไกล ไม่ต้องกังวล”
“เอาเถิด อีกครู่ข้าจะกลับมา”
หลังจากอวิ๋นหรูจากไปแล้ว หลานเยี่ยเองก็กินข้าวใกล้เสร็จ จึงหันไปพูดกับหลานเฟิง
“เรือนหรงคือสถานที่ที่ท่านแม่เคยอาศัยอยู่อย่างนั้นหรือ”
“ใช่”
“พวกเราไปดูกันเถิด”
“ได้”
ทั้งสองคนลุกขึ้นไปเรือนหรง ฝีเท้าของหลานเยี่ยแลดูแผ่วบาง เซไปเล็กน้อย หลานเฟิงประคองเขาเอาไว้
“เป็นอะไรไป”
“ไม่เป็นอะไร แค่เพียงมึนหัวเล็กน้อยเท่านั้น อาจจะเหนื่อยเกินไปกระมัง พักสักหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว”