ตอนที่ 149 คนกวนประสาท
หลานเยี่ยอยู่ในห้องชุดรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างมาก เลยออกมายืนอยู่ข้างราวกั้นชั้นสองมองดูสถานการณ์เบียดเสียดเบื้องล่าง ชั้นหนึ่งนั้นเป็นพื้นที่เปิดโล่ง มีลูกค้านั่งทานอาหารอยู่สิบกว่าโต๊ะ ต่อให้เป็นเช่นนี้อาหารก็ยังถูกวางขึ้นโต๊ะอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
โรงจุ้ยเซียนไม่เพียงอาหารรสชาติดี เหล้าหอม ตั้งโต๊ะรวดเร็ว ชนะใจลูกค้าให้กลับมาเยี่ยมเยียนเป็นจำนวนมาก ดังนั้นทุกครั้งที่มาล้วนเต็มทุกที
“ไอยา ทั้งสองท่าน รีบเข้ามาเร็วเข้าขอรับ” หน้าประตูมีเสียงของเจ้าของร้านดังขึ้น หลานเยี่ยหันไปมองก็เห็นคนสองคน แม้จะรู้สึกคุ้นเคยอย่างมาก แต่กลับคิดไม่ออก มองดูอยู่ครู่หนึ่งเกิดรู้สึกหมดซึ่งความสนใจจึงกลับเข้าไปอีกครั้ง
ทั้งสองข้างที่อยู่ด้านล่างเหลือบมองขึ้นมา เห็นแผ่นหลังของหลานเยี่ย ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าคนผู้นี้แล้งน้ำใจ ไม่แม้แต่จะทักทายพวกเขา
“คนที่อยู่ในห้องชุดชั้นสอง มาตั้งแต่เมื่อไร”
“ท่านพูดถึงใครขอรับ”
“คนที่สวมเสื้อสีฟ้า ถือขลุ่ยอยู่ลำหนึ่ง”
“ท่านหมายถึงคุณชายผู้นั้นหรือ แม้จะบอกว่าท่านเป็นแขกประจำ แต่ข้าก็มิอาจเปิดเผยความลับของลูกค้าได้ไม่ใช่หรือ หากท่านอยากรู้ก็ขึ้นไปทักทาย ครั้งแรกแปลกหน้า ครั้งสองคุ้นเคย ครั้งสามย่อมเป็นเพื่อน นี่ดีมากเพียงใด ท่านอย่าทำให้ข้าน้อยลำบากใจเลยขอรับ ท่านไปนั่งในห้องชุดก่อนเถิด อีกครู่จะเอาอาหารไปตั้งโต๊ะขอรับ”
“ฉลาดเฉลียวเสียจริง”
“ท่านชมเกินจริงแล้วขอรับ” เจ้าของร้านหัวเราะร่วนเดินจากไป ทั้งสองคนเดินตรงไปชั้นสอง
ได้ยินเสียงคนเคาะประตู หลานเยี่ยจึงเดินออกไปเปิด เห็นทั้งสองคนที่อยู่ชั้นล่างเมื่อครู่นี้เข้ามาข้างใน
“คุณชายทั้งสองมีธุระอะไรอย่างนั้นหรือ” หลานเยี่ยถามออกมาอย่างไม่ค่อยเข้าใจ แต่กลับถูกอวี่มั่วเขกมะเหงกเข้าอย่างจัง หลานเยี่ยหันกลับไปมองหลานเฟิง เห็นเขาไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรก็พอจะรู้ได้ว่าทั้งสองคนนี้สนิทสนมอย่างมาก
“ข้า…” หลานเยี่ยไม่รู้ว่าต้องพูดอะไร
“ทั้งสองท่านในเมื่อมาแล้ว ก็เข้ามานั่งเถิด” หลานเฟิงเอ่ยขึ้น
“……”
“ข้าว่าเจ้าสองคนช่างแล้งน้ำใจเสียจริง ข้าตามหาพวกเจ้าไปทั่วโลก พวกเจ้ามาถึงที่นี่แล้วก็ไม่ไปทักทายข้าเลยสักนิด กลับมานั่งดื่มเหล้าอยู่ที่นี่”
เทียนซีเห็นสีหน้าของหลานเยี่ยไม่ถูกต้องเท่าไรนัก ทั้งเหตุการณ์นั้นนั่งมึนงงอยู่ตลอด ดังนั้นจึงหยุดอวี่มั่วไว้ เดินเข้าไปหาหลานเยี่ย จับชีพจรให้เขาท่ามกลางแววตาตื่นตะลึงของหลานเยี่ย คราวนี้กลายเป็นเทียนซีที่ต้องตกใจ
“หลานเยี่ย พลังกระแสวิญญาณเจ้าเล่า”
“พลังกระแสวิญญาณของเขาถูกผนึกไว้ รวมไปถึงความทรงจำ ฉะนั้นตอนนี้เขาไม่รู้เลยว่าพวกเจ้าคือใคร”
“…”
“…”
ผ่านไปครู่ใหญ่อวี่มั่วถึงตั้งสติขึ้นมา เจ้านี่ช่างน่าเศร้าเสียจริง ทำความทรงจำของตนเองสูญหายไปตั้งสองครั้งสองครา
“เอาเถิด เช่นนั้นข้าก็จะแนะนำตนเองอย่างเป็นทางการต่อคุณชายหลานเยี่ย ข้านามว่าอวี่มั่ว เป็นประมุขของหอต้วนอวิ๋น เป็นเพื่อนของเจ้าหลานเยี่ยตอนที่มาเมืองหลวงเมื่อหลายปีก่อนนี้ สำหรับความสัมพันธ์ฉันเพื่อนของพวกเรา ตอนนี้ข้าช่วยเจ้าดูแลหล่านเย่ว์ ตอนที่เจ้าหายตัวไป หลานเม่ยมาหาข้า จากนั้นข้าก็ตามหาเจ้าทั่วแผ่นดิน จากนั้นก็มาเห็นเจ้านั่งดื่มเหล้าอยู่ที่นี่
นี่คือฮูหยินของข้า เทียนซี ซื่อจื่อแห่งตระกูลหมอเทวดา และเป็นหมอเทวดาผู้หนึ่งเช่นกัน สำหรับความทรงจำที่ถูกผนึก พลังกระแสวิญญาณที่ถูกผนึกของเจ้า ก่อนอื่นข้าต้องแสดงถึงความเสียดาย ต่อจากนั้นข้าแสดงถึงความเห็นใจ สุดท้ายข้าแสดงถึงความสุดซึ้งของเจ้า แนะนำเสร็จสิ้น”
อวี่มั่วใช้น้ำเสียงหาเรื่องพูดคุย ทำให้หลานเยี่ยยิ่งรู้สึกอยากอัดคนผู้นี้มากขึ้น แต่หลานเยี่ยเองก็จริงใจพอ
“ข้าสามารถอัดเจ้าได้หรือไม่”
“หา?” ยังไม่ทันให้อวี่มั่วมีปฏิกิริยาอะไร หลานเยี่ยก็อัดเข้าไปหมัดหนึ่งตรงท้องของอวี้มั่ว เทียนซีนั่งดูละครอยู่ข้างๆ ใครใช้ให้เจ้าปากหาเรื่อง
“เจ้าทำเช่นนี้กับข้า อย่าลืมว่าหล่านเย่ว์ของเจ้ายังอยู่ในมือข้านะ วันนี้ข้าไม่พอใจจะสลายให้เจ้าได้ดูเลย”
“เจ้าเป็นเพื่อนของข้า เช่นนั้นข้าต่อยเจ้าคงจะไม่มีปัญหาอะไรกระมัง” หลานเยี่ยเองก็กลายเป็นหาเรื่องเช่นเดียวกัน
ตอนที่ 150 กลับไปยังหอต้วนอวิ๋นอีกครั้ง
ไม่ได้พูดไร้สาระกับอวี่มั่วมากมาย หลานเยี่ยคิดถึงจุดประสงค์ที่มาในวันนี้ นั่นคือหอต้วนอวิ๋น
“หอต้วนอวิ๋นเป็นของเจ้าหรือ”
“แน่นอน” อวี่มั่วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงบนโลกใบนี้ไม่มีข้าสู้ข้าได้ แต่กลับถูกเทียนซีบิดเนื้อขาจนต้องสูดปากด้วยความเจ็บ อวี่มั่วส่งสายตาน้อมรับความผิดให้กับเทียนซีอยู่ตลอด
“หอนางโลม?”
“แน่…” อวี่มั่วกำลังจะพูด แต่ก็ถูกเทียนซีบิดเนื้ออีกครั้ง
“เป็นหอนางโลมหรือไม่ ไปดูก็รู้เองไม่ใช่หรือ มาสองครั้งล้วนพอดีกับวันที่ครึกครื้น เจ้าช่างโชคดีเสียจริง”
“ยุ่งขนาดนี้ พวกเจ้าออกมาจะดีหรือ” จู่ๆ หลานเฟิงที่ดื่มเหล้าอยู่ข้างๆ มาตลอดเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่ง นับตั้งแต่ติดนิสัยการดื่มเหล้าจากตอนอยู่ตระกูลเยี่ยมาแล้วนั้น หลานเฟิงก็เริ่มเรียนรู้วิธีละเลียดเหล้า แต่หลังจากที่หาหลานเยี่ยพบก็ไม่ได้เสพติดถึงเพียงนั้นแล้ว
“มีอวี่ซีอยู่ ไม่จำเป็นต้องกังวล” พูดจบอวี้มั่วก็หยิบขนมอบสับปะรดชิ้นหนึ่งขึ้นมากิน
“เจ้าสั่งอาหารหรือยัง”
“ข้ากินขนมสับปะรดเจ้าชิ้นหนึ่งเจ้ายังเจ็บใจ แม้ความทรงจำจะถูกผนึกไว้ แต่เจ้าก็ไม่อาจกลายเป็นคนขี้งกเช่นนี้ได้กระมัง”
“คนข้างนอกตามหาเจ้ากันจนเป็นบ้าแล้ว”
“?” อวี่มั่วเดินออกไป เห็นผู้คนสองสามคนกำลังตามหาเขาจริง
“คุณชาย ท่านไปที่ใดมา เมื่อครู่นี้แม่นางอวี่ซีบอกว่าทางนั้นเริ่มแล้ว มีสองคนทะเลาะเบาะแว้งกัน”
“…”
อวี่มั่วกลับไปยังห้องชุดของหลานเยี่ย หน้าดำคล้ำ เรียกพวกหลานเฟิงให้ไปพร้อมกัน
“เจ้าไม่ได้ทานอาหารหรอกหรือ ไม่ทานแล้วหรือ”
“…” อวี่มั่วหน้าดำคล้ำ
ในที่สุดก่อนที่อวี่มั่วจะลงมือ พวกเขาก็เริ่มออกเดินทาง
สำหรับหลานเยี่ยแล้ว ครั้งนี้ที่มาหอต้วนอวิ๋นที่จริงสามารถนับว่าเป็นครั้งแรกได้ ไม่มีความทรงจำใดหลงเหลือ จากสายตาแล้วรู้สึกว่านี่คือหอนางโลมแห่งหนึ่ง แต่ความจริงแล้วไม่ใช่
“จัดการดีเสียจริง หน้าประตูยังไม่มีการส่งคนมาคอยดึงแขกด้วย”
“…”
“เสี่ยวซี ข้าจัดการอัดเขาจนตายได้หรือไม่” อวี่มั่วมองหลานเยี่ยด้วยท่าทีเ**้ยมโหด
“ขอแค่เจ้าสู้ชนะหลานเฟิง ข้าเองก็ไร้ซึ่งความเห็น”
“…”
หลังจากเข้าไปแล้ว สถานการณ์นั้นไม่อาจควบคุม ทั้งสองคนแทบจะลงไม้ลงมือกันแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น” อวี่มั่วถามอวี้ซีที่อยู่อีกฝั่ง
“พวกเขาสองคนทะเลาะกันเพราะสตรีผู้หนึ่งเจ้าค่ะ” อวี่ซีชี้ไปยังพวกเขาสามคน อวี่มั่วเดินเข้าไป แยกทั้งสองคนออกจากกัน แต่เดิมเขาก็มีน้ำโหอยู่แล้ว มาถึงตอนนี้ยิ่งมากกว่าเดิม
“เจ้าสองคนเงียบปาก ให้แม่นางผู้นี้พูด นางอยากได้ใคร แม่นาง เจ้าพูดมา เจ้าเลือกผู้ใด ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะจัดการไม่ได้”
“ข้า…ข้า…” สตรีผู้นั้นพูดจาติดขัดพูดไม่ออก ทำให้อวี่มั่วร้อนใจนัก
“แม่นางเจ้าพูดออกมาซิ เจ้าเป็นเช่นนี้แล้วเมื่อไรจะจัดการปัญหาได้” อวี่มั่วใกล้จะระเบิดออกมาแล้ว เทียนซีรีบเข้าไปไกล่เกลี่ยสถานการณ์
“แม่นางผู้นี้อย่าได้ลำบากใจไป พูดถึงความลำบากของเจ้าได้หรือไม่”
“ข้า…ข้าไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร ก่อนนี้เพราะข้าตกหลังม้าไปครั้งหนึ่ง ทำให้สูญเสียความทรงจำ คุณชายด้านซ้ายผู้นั้นเป็นคนรักของข้าในอดีต ปฏิเสธเขาให้อยู่ห่างก็หลายครั้ง แต่ข้าก็ยังลืมเขา คุณชายด้านขวาผู้นั้นดูแลข้ามาโดยตลอด ตอนที่พวกเราใกล้จะหมั้นหมายกันนั้น ความทรงจำของข้าก็กลับมา ข้าไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไรจริงๆ ข้าไม่รู้” สตรีผู้นั้นพูดไปพูดมาก็ร้องไห้ออกมา ทำให้หลานเยี่ยที่ดูอยู่รู้สึกหนักใจนัก
ตนเองก็เป็นเช่นนี้เหมือนไม่ใช่หรือ หากตนเองสูญเสียความทรงจำจริง หากตนเองฟื้นฟูความทรงจำกลับมาได้ มู่หลีและหลานเฟิง เขาจะเลือกอย่างไร แล้วเขาควรทำเช่นไร
หลานเฟิงมองดูเหตุการณ์นี้ รู้สึกได้ถึงความผิดปกติของหลานเยี่ย จึงจับมือของเขาเอาไว้อย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ถ่ายทอดความรู้สึกปลอดภัยให้กับเขา หลานเยี่ยเหมือนกับฉวยฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้ได้ จับมือของหลานเฟิงแน่น