หยุดท่าหมัดแล้วเฉินผิงอันก็เริ่มจับพู่กันวาดยันต์ วัสดุของกระดาษยันต์ล้วนเป็นกระดาษสีเหลืองที่ธรรมดาที่สุด เพียงแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับนักพรตห้าขอบเขตล่างทั่วไปที่อย่างมากสุดก็ได้แต่ใช้ผงเงินผงทองบดมาทำเป็น ‘น้ำหมึก’ วาดยันต์ เฉินผิงอันได้ซื้อผงชาดบนภูเขามาจากถนนเหล่าไหวของสวนน้ำค้างวสันต์ไม่น้อย ขวดไหกองกันเป็นพะเนิน ส่วนใหญ่ราคาขวดละสองถึงสามเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ไหกระเบื้องขนาดใหญ่ที่แพงที่สุดมีมูลค่าหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย ระหว่างที่เดินทางมานี้ เฉินผิงอันใช้ยันต์หลากหลายสีสันไปไม่ต่ำกว่าสามร้อยแผ่น ศึกการลอบโจมตีในหุบเขาก็ได้ช่วยพิสูจน์ให้เห็นว่าบางครั้งการเอาชนะด้วยจำนวนก็มีเหตุผลเหมือนกัน
สุยจิ่งเฉิงมีโชคไม่เลว นางกวาดค้นเจอตำราลับสองเล่มมาจากร่างของอาจารย์ค่ายกลผู้นั้น เล่มหนึ่งเป็นตำราภาพยันต์ อีกเล่มหนึ่งคือการอธิบายถึงวิชาค่ายกลที่หน้าขาดหายไป และยังมีตำราอีกเล่มหนึ่งที่เป็นเหมือนสมุดบันทึกซึ่งเขียนตามความเข้าใจของตัวเอง บันทึกสิ่งที่อาจารย์ค่ายกลบรรลุมานับตั้งแต่ที่เรียนวิชายันต์อย่างละเอียด เฉินผิงอันให้ความสำคัญกับสมุดบันทึกเล่มนี้มากที่สุด
แน่นอนว่ายังมีเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างระดับขั้นไม่ต่ำบนร่างของชายฉกรรจ์ร่างกำยำอีกชิ้นหนึ่ง รวมไปถึงคันธนูขนาดใหญ่และลูกธนูอักขระยันต์ทั้งหมด
บวกกับมีดอักขระสองเล่มของนักฆ่าหญิงซึ่งแยกกันสลักคำว่า ‘น้ำค้างรุ่งอรุณ’ กับ ‘แสงสายัณห์’
น่าเสียดายที่ไม่มีเงินเทพเซียนแม้แต่เหรียญเกล็ดหิมะเดียว
ศึกที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ใกล้เคียงกับการล้อมฆ่าในพื้นที่มงคลดอกบัวมากที่สุด
ทำให้เฉินผิงอันได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่กลับได้รับผลประโยชน์มหาศาล
เคยมีวันหนึ่งอยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงทบทวนกระดานหมากล้อมกับสุยจิ่งเฉิง สุยจิ่งเฉิงถามอย่างประหลาดใจว่า “ที่แท้ผู้อาวุโสก็เป็นคนถนัดซ้าย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เป็นมาตั้งแต่เด็ก เพียงแต่ว่าหลังจากข้าฝึกวิชาหมัด ออกจากเมืองเล็กที่เป็นบ้านเกิดมาได้ไม่นานเท่าไรก็แสร้งทำเป็นว่าตัวเองไม่ได้ถนัดซ้ายมาโดยตลอด”
ผู้ฝึกกระบี่บนผิวน้ำที่เป็นผู้นำนักฆ่าของภูเขาเกอลู่กลุ่มนั้นเลือกที่จะสังเกตสถานการณ์อยู่เงียบๆ ก็เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน ดังนั้นคนผู้นี้จึงตรวจสอบการกระจายตัวของศพทหารแคว้นเป่ยเยี่ยนที่นอนเกลื่อนอยู่บนพื้นซ้ำอีกครั้ง บวกกับที่มือที่เฉินผิงอันกำดาบแทงแม่ทัพทหารม้าแคว้นเป่ยเยี่ยนเป็นมือขวา เขาถึงได้มั่นใจว่าตัวเองได้มองเห็นความจริง แล้วจึงบอกให้นักฆ่าของภูเขาเกอลู่ที่มีวิชาอันเป็นสมบัติก้นกรุร่ายวิชาอภินิหารของลัทธิพุทธออกมากักกันมือขวาของเฉินผิงอันเอาไว้ ความแข็งแกร่งของวิชาลับนี้ รวมไปถึงโรคร้ายที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง สามารถดูออกจากการที่จนถึงตอนนี้เฉินผิงอันก็ยังได้รับอิทธิพลจากมันอยู่ไม่น้อย
อันที่จริงเฉินผิงอันไม่รู้เลยว่าผู้ฝึกตนบนภูเขาจะมีวิชาลับที่แปลกประหลาดเช่นนี้ด้วย
ดังนั้นมองดูเหมือนเฉินผิงอันจับผลัดจับผลูโชคดี ทำให้การคิดคำนวณของอีกฝ่ายผิดพลาด
แต่ในความเป็นจริงแล้วนี่ก็คือวิธีการที่เฉินผิงอันใช้ท่องยุทธภพ นั่นคือตั้งสมมติฐานว่าตัวเองตกอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ที่ถูกล้อมสังหารอยู่ตลอดเวลา
สุยจิ่งเฉิงอดไม่ไหวจริงๆ จึงถามว่า “ผู้อาวุโสเป็นแบบนี้ไม่เหนื่อยหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เคยชินจนกลายเป็นธรรมชาติไปแล้ว ก่อนหน้านี้ก็บอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่า การใช้เหตุผลที่ซับซ้อน มองดูเหมือนเปลืองแรงกายแรงใจ แต่อันที่จริงหากคุ้นชินแล้วกลับจะกลายเป็นว่ายิ่งผ่อนคลาย ถึงเวลานั้นเมื่อเจ้าออกหมัดออกกระบี่อีกครั้งก็จะยิ่งเข้าใกล้ขอบเขตที่ว่าฟ้าดินไร้พันธนาการมากขึ้น ไม่เพียงแค่ว่าหนึ่งหมัดหนึ่งกระบี่ของเจ้ามีพลังพิฆาตมากน้อยแค่ไหน แต่เป็น…ฟ้าดินให้การยอมรับ ผสานสอดคล้องกับมหามรรคา”
สุยจิ่งเฉิงในเวลานั้นต้องไม่เข้าใจแน่ว่า ‘ฟ้าดินไร้พันธนาการ’ เป็นท่วงท่าที่องอาจมากแค่ไหน ยิ่งไม่เข้าใจว่าคำกล่าวที่ว่า ‘ผสานสอดคล้องกับมหามรรคา’ นี้มีความหมายลึกซึ้งยาวไกลเท่าไร
วันที่สอง ม้าสองตัวก็ทยอยไปเยือนศาลเทพภูเขาศาลเทพวารีสองแห่งที่เป็นเพื่อนบ้านกัน แล้วจึงออกเดินทางต่ออีกครั้ง
ห่างจากแคว้นลวี่อิงที่ตั้งอยู่บนชายหาดตะวันออกของอุตรกุรุทวีปอีกไม่ไกลแล้ว
ม้าทั้งสองตัวเหยาะย่างไปอย่างเชื่องช้า เฉินผิงอันเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ฟ้าดินคือเตาเผาขนาดใหญ่ ดวงอาทิตย์คือถ่านที่คอยหุงต้ม หมื่นสรรพสิ่งถูกหล่อหลอม มนุษย์ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น”
สุยจิ่งเฉิงรู้สึกงัวเงียเหมือนจะหลับ อยู่ๆ ก็ได้ยินถ้อยคำของผู้อาวุโสอย่างที่หาได้ยาก นางจึงรีบทำตัวให้กระปรี้กระเปร่า “ผู้อาวุโส นี่คือคำกล่าวของตระกูลเซียนหรือ? มีความหมายลึกซึ้งอะไรหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “เป็นประโยคหนึ่งที่เพื่อนรักของข้าได้ยินมาจากอาจารย์ที่สอนพวกเราเผาเครื่องปั้น ตอนนั้นพวกเราต่างก็อายุไม่มาก จึงคิดแค่ว่ามันเป็นประโยคที่น่าสนใจประโยคหนึ่ง ผู้เฒ่าไม่เคยพูดเรื่องพวกนี้กับข้า และในความเป็นจริงแล้ว หากจะพูดให้ถูกก็คือเขาแทบไม่เคยเต็มใจอยากจะพูดกับข้า ต่อให้ไปหาดินที่เหมาะในการทำเครื่องปั้นจากในภูเขาลึกด้วยกัน อาจต้องอยู่ในภูเขานานสิบวันหรือครึ่งเดือน พวกเราสองคนก็คุยกันไม่เกินสองสามคำเท่านั้น”
สุยจิ่งเฉิงกล่าวอย่างตกตะลึง “สำนักของผู้อาวุโสยังต้องเผาเครื่องปั้นอีกหรือ? บนภูเขามีจวนตระกูลเซียนที่เป็นเช่นนี้ด้วยหรือไร?”
เฉินผิงอันเกือบจะกลั้นหัวเราะไม่ไหว เขาพยักหน้ารับ “มีสิ”
สุยจิ่งเฉิงถามอย่างระมัดระวัง “หากเป็นเช่นนี้ เพื่อนสนิทคนนั้นของผู้อาวุโสจะไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกตนสูงยิ่งกว่าท่านอีกหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากเป็นเรื่องพรสวรรค์ในการฝึกตนก็บอกได้ยาก แต่ความสามารถในการเผาเครื่องปั้น ชั่วชีวิตนี้ข้าก็ไล่ตามเขาไม่ทัน เขามองแค่ไม่กี่ครั้งก็ทำเป็นแล้ว แต่ข้าอาจต้องคลำทางอยู่หลายเดือน สุดท้ายก็ยังสู้เขาไม่ได้อยู่ดี”
สุยจิ่งเฉิงถามอีก “ผู้อาวุโส เป็นเพื่อนกับคนแบบนี้จะไม่รู้สึกกดดันหรือ?”
เฉินผิงอันเพียงยิ้มรับ
ม้าทั้งสองข้ามผ่านชายแดนแคว้นเป่ยเยี่ยนและแคว้นลวี่อิงเข้ามา ท่าเรือตระกูลเซียนแห่งนั้นอยู่ห่างไปอีกแค่สองร้อยกว่าลี้เท่านั้น
ท่าเรือมีชื่อว่าท่าเรือหัวมังกร เป็นพื้นที่ส่วนตัวของพรรคฝนธัญพืชซึ่งเป็นตระกูลเซียนลำดับต้นๆ ของแคว้นลวี่อิง เล่าลือกันว่าบรรพบุรุษบุกเบิกภูเขาของพรรคฝนธัญพืชเคยประลองหมากล้อมกับฮ่องเต้บุกเบิกแคว้นลวี่อิง เป็นฝ่ายแรกที่อาศัยความสามารถอันโดดเด่นในการเล่นหมากล้อม ‘พ่ายแพ้’ จนได้ภูเขาลูกหนึ่งมาครอง
ชื่อของพรรคไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเงินฝนธัญพืชซึ่งเป็นหนึ่งในเงินเทพเซียน เพียงแต่ว่า ‘เทียบฝนธัญพืช’ และ ‘ป้ายฝนธัญพืช’ ที่ผลิตจากพรรคตระกูลเซียนแห่งนี้กลับได้รับความนิยมในด้านล่างภูเขาเป็นอย่างมาก ของอย่างแรกจะขายให้กับคนมีเงินของราชวงศ์โลกมนุษย์ แบ่งออกเป็นเทียบตัวอักษรกับเทียบภาพวาด มีประสิทธิผลของยันต์ตระกูลเซียนแบบตื้นเขิน เมื่อเทียบกับภาพเทพทวารบาลที่แปะหน้าประตูบ้านของครอบครัวคนทั่วไปแล้วจะสามารถปกป้องคนในบ้านได้มากกว่า สามารถขับไล่ภูตผีเสนียดจัญไร เป็นวัตถุที่จำเป็นต้องมีเตรียมไว้ในการขึ้นเขาลงห้วย ราคาไม่ธรรมดา พวกขุนนางของแคว้นลวี่อิงต่างก็ต้องมีกันคนละหนึ่งชิ้น ยามออกว่าราชการในท้องพระโรง แคว้นลวี่อิงยังไม่ห้ามปรามหากขุนนางชั้นสูงจะห้อยวัตถุประเภทนี้ ถึงขั้นที่ว่าฮ่องเต้ยังมักจะมอบของสิ่งนี้ให้เป็นรางวัลแก่ขุนนางคนสำคัญ
ท่าเรือหัวมังกรเป็นท่าเรือขนาดใหญ่ เนื่องจากจำนวนผู้ฝึกลมปราณในอาณาเขตหลายสิบแคว้นทางทิศใต้ซึ่งรวมถึงของราชวงศ์ต้าจ้วนมีน้อยนิด นอกจากในอาณาเขตของแคว้นต้าจ้วนและตำหนักเกล็ดทองที่ต่างก็มีท่าเรือขนาดเล็กซึ่งเส้นทางการเดินเรือไม่ไกลแล้ว ก็ไม่มีท่าเรือตระกูลเซียนแห่งอื่นอีก ในฐานะพื้นที่สำคัญอันเป็นใจกลางหลักทางทิศตะวันออกสุดของอุตรกุรุทวีป แคว้นลวี่อิงที่อาณาเขตไม่ใหญ่ คนตลอดทั้งราชสำนักล้วนคุ้นเคยกับผู้ฝึกตนบนภูเขาเป็นอย่างดี เป็นขนบธรรมเนียมที่แตกต่างจากหลายสิบแคว้นของต้าจ้วนที่ผู้ฝึกยุทธเดินกร่าง เทพเซียนต้องเปิดทางให้ราวฟ้ากับเหว
คนทั้งสองขายม้าให้กับสำนักคุ้มกันแห่งหนึ่งในท้องถิ่น
แล้วเดินเท้ากันไปต่อ เฉินผิงอันมอบไม้เท้าเดินป่าอันนั้นให้สุยจิ่งเฉิง
ตอนนี้เครื่องแต่งกายที่เฉินผิงอันสวมใส่ยิ่งบางลงทุกที มีเพียงชุดเขียวและงอบเท่านั้น แม้แต่ปิ่นก็ยังถูกเก็บลงไป ไม่สะพายหีบไม้ไผ่อีก ทั้งน้ำเต้าและเจี้ยนเซียนต่างก็ถูกเก็บไปพร้อมกันด้วย
และสุยจิ่งเฉิงก็พูดน้อยลงทุกที
คนทั้งสองเดินเลียบลำคลองที่ไหลลงสู่มหาสมุทรซึ่งกระแสน้ำไหลเชี่ยวกรากสายหนึ่ง ผิวน้ำของลำคลองกว้างหลายลี้ แต่ก็ยังไม่ใช่ทางเดินน้ำสายใหญ่ที่ไหลลงสู่ทะเลซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งแคว้นสายนั้น เล่าลือกันว่าผิวน้ำของคูน้ำสายใหญ่นั้น มองไปแล้วกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ตลอดชีวิตของชาวบ้านแคว้นลวี่อิงหลายคนล้วนไม่เคยมีโอกาสมองไปเห็นฝั่งตรงข้าม
สายลมบนผิวน้ำพัดมาปะทะใบหน้าของคนทั้งสอง ไอร้อนหายไปไม่มีเหลือ
สุยจิ่งเฉิงถามว่า “ผู้อาวุโส หากยอดฝีมือนอกโลกคนนั้นไม่ปรากฎตัว ข้าหวังว่าตนเองจะสามารถเป็นลูกศิษย์ของท่านได้ เป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อก่อน วันใดที่รู้สึกว่าข้ามีคุณสมบัติแล้วค่อยตัดสองคำว่า ‘บันทึกชื่อ’ ทิ้งไป ส่วนผู้อาวุโสชุยท่านนั้นจะยินดีถ่ายทอดวิชาเซียนให้แก่ข้าหรือไม่ จะยินดีชี้แนะไขข้อข้องใจให้ข้าหรือไม่ ข้าก็จะไม่บังคับฝืนใจเขา ถึงอย่างไรตัวข้าเองก็ฝึกตนด้วยตัวเองมาสามสิบปีแล้ว ไม่ถือสาหากจะต้องรอให้ผู้อาวุโสไปเดินทางท่องเที่ยวก่อนแล้วค่อยกลับคืนสู่บ้านเกิด”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองประเมินผิวน้ำที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก แล้วยิ้มกล่าวว่า “ไม่เป็นลูกศิษย์ของเขา เจ้าจะต้องเสียใจภายหลัง ข้าสามารถรับรองได้!”
สุยจิ่งเฉิงส่ายหน้า กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่มีทาง!”
เฉินผิงอันเอ่ย “พวกเราตั้งสมมติฐานว่าหลังจากนี้ผู้ถ่ายทอดมรรคาของเจ้าจะไม่ปรากฏตัว ถ้าอย่างนั้นคนที่ข้าจะให้มาเป็นอาจารย์ของเจ้าก็คือเซียนที่แท้จริงคนหนึ่ง ทั้งตบะ จิตใจและสายตา ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ขอแค่เจ้าต้องการ เขาก็ล้วนดีกว่าข้ามาก”
แน่นอนว่าต่อให้เจ้าหมอนั่นจะมีตบะสูงแค่ไหนก็ยังเป็นลูกศิษย์ของตน
เมื่อก่อนเฉินผิงอันไม่รู้สึกอะไร เวลาส่วนใหญ่ยังเห็นว่ามันเป็นภาระอย่างหนึ่ง ตอนนี้มาย้อนนึกดู ก็ช่าง…ชื่นใจเสียจริง?
น้ำเสียงของสุยจิ่งเฉิงยืนกรานเด็ดเดี่ยว “ใต้หล้าจะมีคนเช่นนี้ได้หรือ? ข้าไม่เชื่อ!”
เฉินผิงอันกล่าว “เชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น รอเจ้าได้พบเขาเมื่อไหร่ก็จะเข้าใจได้เอง”
สุยจิ่งเฉิงสวมหมวกคลุมใบหน้า มือถือไม้เท้าเดินป่า กึ่งเชื่อกึ่งสงสัย แต่นางก็รู้สึกอัดอั้นตันใจเล็กน้อย ต่อให้ยอดฝีมืออย่างผู้อาวุโสแซ่ชุยจะมีวิชาอภินิหารเช่นนี้จริงๆ เป็นเซียนบนภูเขาจริงๆ แต่แล้วจะอย่างไรเล่า?
สุยจิ่งเฉิงรู้ดีว่าการฝึกตนเป็นเรื่องที่ต้องเผาผลาญเวลามากแค่ไหน ถ้าอย่างนั้นอายุขัยของผู้ฝึกตนบนภูเขาที่ยาวนานหลายรอบหกสิบปี หรืออาจถึงขั้นหลายร้อยปี จะเทียบกับสิ่งที่คนในยุทธภพประสบพบเจอมาได้จริงๆ หรือ? จะมีเรื่องราวมากขนาดนั้นเชียวหรือ? ไปอยู่บนภูเขาแล้ว ปิดด่านทีก็ต้องใช้เวลาหลายสิบปี ลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์ก็ต้องพิถีพิถันเรื่องที่ว่าห้ามแตะต้องฝุ่นผงในโลกโลกีย์ เดินผ่านมาอย่างเดียวดาย แล้วย้อนกลับไปบนภูเขาอย่างไม่ให้เสียเวลา การฝึกตนให้มีชีวิตเป็นอมตะเช่นนั้นจะไร้ทุกข์ไร้กังวลได้จริงๆ หรือ? แล้วนับประสาอะไรกับที่ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกตนคนหนึ่งฝึกตนอย่างสงบแล้วบนเส้นทางการขึ้นเขาจะไม่มีหายนะจริงๆ เสียหน่อย เพราะก็อาจจะต้องตัวตายและมรรคาดับสลายได้เหมือนกัน มีหน้าด่านมากมายกั้นขวาง คอขวดยากจะฝ่าทะลุ คนธรรมดาไม่อาจเข้าใจทัศนียภาพบนภูเขาได้ ต่อให้จะงดงามตระการตาแค่ไหน แต่รอจนได้เห็นมาหลายสิบปีหลายร้อยปีจะไม่รู้สึกเบื่อเลยจริงๆ หรือ?
จิตใจสุยจิ่งเฉิงวุ่นวายหงุดหงิดเล็กน้อย
เฉินผิงอันหยุดเดิน ก้มลงหยิบหินสองสามก้อนขึ้นมาแล้วโยนลงในลำคลอง
สุยจิ่งเฉิงหันหน้าเข้าหาผืนน้ำ ลมแรงพัดให้ผ้าโปร่งของหมวกคลุมหน้าแนบติดใบหน้าของนาง ชุดกระโปรงก็สะบัดพลิ้วไปรวมกันในแถบหนึ่ง
เส้นทางริมน้ำสายนี้มีคนเดินกันไม่น้อย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ฝึกตนที่เดินทางสัญจรผ่านท่าเรือหัวมังกร
มีชายฉกรรจ์คนหนึ่งขี่ม้าผ่านมา พอเห็นนางเข้าดวงตาก็เป็นประกายวาบ เขาดึงบังเหียนรั้งม้าหยุดกะทันหัน แล้วตบหน้าอกตัวเองอย่างแรงพลางหัวเราะร่าเสียงดังว่า “แม่นางคนนี้ ไม่สู้ติดตามนายท่านใหญ่อย่างข้าไปลิ้มรสเผ็ดร้อนดีกว่า! เจ้าหนุ่มหน้าขาวข้างกายเจ้าผู้นี้ มองดูแล้วน่าจะไม่ได้ความสักเท่าไร”
สุยจิ่งเฉิงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ชายฉกรรจ์ทะยานตัวขึ้นแล้วพลิ้วกายลงข้างกายสุยจิ่งเฉิง มือหนึ่งตวัดลงมาในแนวเฉียงหมายตบสะโพกกลมมนของนาง
ไม่รอให้เขาทำสำเร็จ นาทีถัดมาชายฉกรรจ์ก็ร่วงตกลงไปในลำคลอง
เป็นเพราะถูกเฉินผิงอันจับหัวแล้วผลักออกไปเบาๆ ร่างของเขาก็ลอยกระแทกลงไปในลำคลองอย่างแรง
หินก้อนนี้ทำให้ลูกน้ำแตกกระจายเป็นวงกว้าง
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นรีบตะกายน้ำว่ายขึ้นไปยังแม่น้ำตอนบน ปากก็ร้องโหยหวน จากนั้นก็เป่าปากหนึ่งครั้ง ม้าตัวนั้นก็เริ่มขยับกีบเท้าควบตะบึงไปด้านหน้า ไม่มีท่าทีว่าจะกอบกู้ศักดิ์ศรีคืนมาให้เจ้านายแม้แต่น้อย
—–