สุยจิ่งเฉิงตึงเครียดเป็นอย่างยิ่ง “เป็นพวกนักฆ่าที่มาลอบหยั่งเชิงอีกหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ใช่หรอก ก็แค่พวกอันธพาลในยุทธภพที่ควบคุมตัวเองไม่อยู่เท่านั้น”
สุยจิ่งเฉิงมีสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ “ผู้อาวุโส นี่ขนาดเดินอยู่บนทางก็ยังต้องเจอกับอันธพาลเช่นนี้ หากขึ้นเรือข้ามฟากตระกูลเซียนไปจริงๆ บนนั้นล้วนมีแต่ผู้ฝึกตน หากพวกเขาเกิดใจคิดร้าย แล้วผู้อาวุโสก็ไม่ได้เดินทางไปกับข้าด้วย ข้าควรจะทำอย่างไร?”
เฉินผิงอันกล่าว “ก่อนหน้านี้เคยบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าเมื่อไปถึงท่าเรือหัวมังกร ข้าจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเอง”
สายตาของสุยจิ่งเฉิงฉายแววไม่ใคร่จะพอใจนัก “แต่บนเส้นทางของการฝึกตน มีเรื่องไม่คาดคิดอยู่มากมายถึงเพียงนั้น”
เฉินผิงอันไม่พูดอะไรให้มากความอีก เพียงแค่เดินทางต่ออีกครั้ง
สุยจิ่งเฉิงเดินตามเขามา คนทั้งสองเดินเคียงกันไป นางเอ่ยว่า “ผู้อาวุโส ท่าเรือตระกูลเซียนแห่งนี้คงไม่ต่างจากท่าเรือข้ามฟากทั่วไปของพวกเรากระมัง?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ไม่ต่างกันเท่าไร ยามที่เจอกับพายุลมกรดบนท้องฟ้าก็เหมือนเรือปกติที่จะโยกคลอนไปตามกระแสคลื่น แต่ปัญหากลับไม่มาก ต่อให้เจอกับฝนตกฟ้าร้อง เรือข้ามฟากก็ยังผ่านมาได้อย่างปลอดภัย เจ้าก็ถือเสียว่าได้ชมทัศนียภาพแบบใหม่แล้วกัน ยามที่เรือข้ามฟากขับเคลื่อนอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆ ทัศนียภาพส่วนใหญ่ล้วนไม่เลว ไม่แน่ว่าอาจจะมีกระเรียนเซียนบินตามมาด้านหลัง เวลาที่ผ่านพรรคตระกูลเซียนบางแห่งก็อาจจะยังได้เห็นภาพเหตุการณ์ประหลาดแห่งภูเขาแม่น้ำที่ซุกซ่อนอยู่ในค่ายกลใหญ่พิทักษ์ภูเขาอีกไม่น้อย”
สุยจิ่งเฉิงยิ้มกล่าว “ผู้อาวุโสวางใจเถอะ ข้าจะดูแลตัวเองให้ดี”
เฉินผิงอันถอนหายใจอยู่ในใจ ความคิดของสตรีแปรเปลี่ยนไม่หยุดนิ่ง เหมือนการวางหมากอย่างไร้เหตุผลบนกระดานหมากล้อมจริงๆ แล้วจะเอาชนะได้อย่างไร?
แต่หากเจอกับสตรีที่ต้องใจจริงๆ จะถูกหรือผิด จะแพ้หรือชนะ ก็ดูเหมือนว่าจะไม่สำคัญอีกแล้ว
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “จิตดั้งเดิมบนมหามรรคาก็เหมือนหยกดิบที่ต้องผ่านการกลึงเกลาแกะสลัก ทุกครั้งที่ลงมีด แน่นอนว่าต้องรู้สึกเจ็บปวด แต่ขอแค่ข้ามผ่านความเจ็บปวดทุกข์ทรมานในแต่ละครั้งไปได้ นั่นก็คือคำว่าประสบความสำเร็จบนเส้นทางการฝึกตน นี่สำคัญพอๆ กับการค่อยๆ ฝึกวิชาตระกูลเซียนไปตามลำดับขั้นตอนของเจ้าในอนาคต ไม่อย่างนั้นหากเดินขากะเผลกไปบนทางก็ง่ายที่จะพลัดตกลงมาจากภูเขา เรื่องราวบนโลกให้ความสำคัญที่พละกำลังไม่ใช่เหตุผล คนบนโลกฝึกพละกำลังไม่ฝึกฝนจิตใจ คนมากมายสามารถมีชีวิตอย่างสุขกายสบายใจ เมื่อรักษาความสมดุลกับวิถีทางโลกได้ก็สามารถทำให้คนอยู่เฉยอย่างสงบเยือกเย็น ความผิดความถูกในนั้น ตัวเจ้าเองจงมองให้มากและคิดให้มาก บนร่างของคนดีย่อมมีนิสัยแย่ๆ บนร่างของคนชั่วก็ต้องมีเหตุผลดีๆ ขอแค่จดจำข้อนี้เอาไว้ได้ นั่นคือถามจิตดั้งเดิมของตนให้บ่อยๆ หลักการเหตุผลคร่าวๆ เช่นนี้ ข้าเองก็เรียนรู้มาจากร่างของคนคนหนึ่งที่อยากฆ่าคนเพื่อความสะใจเช่นกัน”
สุยจิ่งเฉิงพยักหน้ารับ “จำไว้แล้ว”
เฉินผิงอันเดินไปพลางยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาชี้ไปยังสองทิศทางของถนนด้านหน้า “ความแปลกประหลาดของวิถีทางโลกนั้นอยู่ที่ตรงนี้ เจ้าและข้าพบเจอกัน เส้นทางแห่งการฝึกตนที่ข้าชี้ให้เจ้าเห็นอาจจะแตกต่างไปจากการชี้แนะของใครก็ตาม ยกตัวอย่างเช่นหากเปลี่ยนไปเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาครึ่งตัวที่ในอดีตได้มอบโชควาสนาสามอย่างให้เจ้า หากยอดฝีมือผู้นี้เป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาให้เจ้าด้วยตัวเอง”
“สุดท้ายแล้วจะต้องกลายเป็นสุยจิ่งเฉิงสองคน ยิ่งทางเลือกมากเท่าไร สุยจิ่งเฉิงก็ยิ่งมากเท่านั้น”
เฉินผิงอันยื่นนิ้วชี้ไปยังทิศทางหนึ่งและอีกทิศทางที่ต่างกัน “ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นข้าที่เป็นคนนอกก็ดี หรือเจ้าสุยจิ่งเฉิงเองก็ช่าง อันที่จริงไม่มีใครรู้ได้ว่าสุยจิ่งเฉิงสองคนนั้น ใครที่จะประสบความสำเร็จมากกว่า มีชีวิตอยู่ได้ยาวนานยิ่งกว่า แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าจิตดั้งเดิมคืออะไร? เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สามารถรู้ได้ในทุกๆ ช่วงเวลา”
เฉินผิงอันเดินเลียบทางเส้นหนึ่งในนั้นออกไปได้สิบกว่าก้าวแล้วก็หยุดเดิน ก่อนชี้ไปยังเส้นทางอีกเส้นหนึ่ง “ตลอดทางที่เดินมานี้ แล้วก็เดินไปอีกทางหนึ่ง ไม่ว่าจะผจญความทุกข์ยากหรือได้เสพสุข ฝีเท้าของเจ้ากลับหนักแน่นมั่นคงตลอดเวลา จากนั้นเมื่อไปเจอกับด่านด่านหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเผชิญกับความยากลำบากอย่างใหญ่หลวงมาแล้ว เจ้าจะต้องเกิดคลางแคลงใจในตัวเองอย่างแน่นอน จะต้องกวาดตามองไปรอบด้าน มองความเป็นไปได้อื่นๆ ในชีวิตที่เคยถูกตัวเจ้าเองละทิ้งไป หลังจากใคร่ครวญอย่างละเอียดแล้ว คำตอบที่ได้ในเวลานั้นก็คือจิตดั้งเดิม หลังจากนี้ควรจะเดินอย่างไร ก็คือการถามใจตัวเอง”
“แต่ข้าจะบอกกับเจ้าว่า เมื่อถึงช่วงเวลานั้น มันจะกลายเป็นความสับสนอย่างหนึ่ง และพวกเราก็จะทำเรื่องเรื่องหนึ่งตามจิตใต้สำนึก นั่นคืออยากจะใช้หลักการเหตุผลที่ตัวเองถนัดที่สุดมาพูดโน้มน้าวให้ตัวเองเชื่อถือ นั่นเป็นเรื่องที่ง่ายดายอย่างมาก เพราะขอแค่คนคนหนึ่งยังไม่ตาย สามารถอดทนจนเดินไปอยู่ตำแหน่งใดก็ตามในชีวิตได้ คนทุกคนก็ล้วนต้องมีจุดที่น่าชื่นชม ความยากนั้นอยู่ตรงที่ว่า จิตดั้งเดิมไม่เปลี่ยน หลักการเหตุผลเปลี่ยน”
สุยจิ่งเฉิงถามอย่างขลาดกลัว “หากจิตดั้งเดิมของคนคนหนึ่งมุ่งเข้าหาความชั่วร้าย แล้วยังยืนหยัดเช่นนี้ นั่นก็จะไม่ยิ่งทำให้วิถีทางโลกเปลี่ยนมาเป็นย่ำแย่หรอกหรือ? โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกครั้งที่คนประเภทนี้ดึงข้อผิดพลาดมาใช้เป็นบทเรียน นั่นก็จะไม่ยิ่งเลวร้ายหรอกหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “แน่นอน ดังนั้นคำพูดเหล่านี้ข้าจึงพูดกับแค่ตัวเองและคนข้างกายเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องพูดกับคนทั่วไป และยังมีคนบางคนที่แค่ใช้หมัดกับกระบี่ก็พอแล้ว หากยังไม่พอสำหรับคนพวกนี้ นั่นก็คงจะเป็นเพราะหมัดไม่แข็งพอ ออกกระบี่ได้ไม่เร็วพอ”
ส่วนเรื่องที่มากกว่านั้น เฉินผิงอันไม่ยินดีจะพูดให้มากความ
เพราะสุยจิ่งเฉิงมีจิตใจที่ละเอียดรอบคอบ อีกทั้งยังฉลาด หากพูดมากไปกลับกลายจะทำให้นางสับสน นอกเหนือจากจิตใจดั้งเดิมของตนแล้ว หลักการเหตุผลหลายอย่างที่ช่วงเวลานั้นถูกต้องมากที่สุด กลับจะต้องถูกหลักการเหตุผลถัดไปบนเส้นทางของชีวิตกลบทับ
สุยจิ่งเฉิงอึ้งตะลึงไร้คำตอบโต้
เงียบงันกันไปนาน คนทั้งสองเดินกันไปช้าๆ สุยจิ่งเฉิงถามว่า “จะทำอย่างไรดี?”
เฉินผิงอันมีสีหน้าเฉยเมย “นั่นเป็นปัญหาที่สำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อและอริยะปราชญ์ของร้อยสำนักต้องใคร่ครวญ”
“หลักการเหตุผลมากมายขนาดนั้นของสามลัทธิเมธีร้อยสำนัก เหมือนฝนที่ตกกระหน่ำลงสู่โลกมนุษย์ ช่วงเวลาแตกต่างสถานที่แตกต่าง อาจจะเป็นฝนรสหวานที่พรมลงบนพื้นดินที่แห้งแล้งมานาน แต่ก็อาจกลายเป็นอุทกภัยหายนะก็ได้”
“สิ่งที่พวกเราสามารถทำได้มีเพียงทำจิตใจให้เป็นดั่งบุปผาพืชพรรณที่หันหน้าเข้าหาแสงตะวันอยู่ทุกเวลาทุกสถานที่”
มีคนหนุ่มสวมชุดลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งเดินผ่านคนทั้งสองไปพอดี เขาหยุดเดิน หันหน้ากลับมายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ท่านพูดเช่นนี้ ข้ารู้สึกว่าถูก แต่กลับไม่ถือว่าถูกที่สุด”
เฉินผิงอันหยุดเดิน หันหน้าไปยิ้มให้อีกฝ่าย “จะอธิบายอย่างไร?”
สุยจิ่งเฉิงตั้งท่าเหมือนเจอกับศัตรูตัวฉกาจ นางรีบขยับไปยืนหลบด้านหลังเฉินผิงอัน
คนหนุ่มผู้นั้นยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ท่ามกลางตรอกซอกซอยในหมู่ชาวบ้านก็มีเหตุผลหลักการใหญ่ๆ อยู่มากมายหลากหลาย ขอแค่คนธรรมดาปฏิบัติตามหลักการเหตุผลนั้นไปตลอดชีวิต ก็จะกลายเป็นคนที่ไม่ว่าเจออริยะปราชญ์ เจอเทพเซียนหรือเจอองค์พระพุทธเจ้าก็ไม่ต้องก้มหัวอย่างแท้จริง”
เฉินผิงอันถาม “หากหนึ่งหมัดต่อยยลงไป หน้าเขียวจมูกบวม หลักการเหตุผลยังอยู่หรือไม่? ยังมีประโยชน์หรือไม่? หมัดใหญ่เหตุผลก็ใหญ่ นี่ไม่ใช่หลักการที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินมากที่สุดหรอกหรือ?”
คนหนุ่มยิ้มกล่าว “หลักการเหตุผลไม่ได้แค่เอามากินแทนข้าวได้อย่างเดียวเสียหน่อย แล้วก็ไม่ใช่ว่าจะเอามาป้องกันหมัดได้ แน่นอนว่าความทุกข์ยากมากมายในโลกมนุษย์เป็นของจริง แต่คนที่มีชีวิตอย่างสงบสุขบนโลกใบนี้เคยน้อยลงด้วยหรือ? เหตุใดคนมากมายที่หมัดไม่ใหญ่ถึงยังอยู่อย่างสุขสบายได้? เหตุใดผู้ฝึกตนมากมายบนภูเขาที่แสวงหาความอิสระเสรีอย่างสมบูรณ์ ราชวงศ์โลกมนุษย์ด้านล่างภูเขา โดยภาพรวมแล้วถึงยังพอจะมีชีวิตอย่างสงบสุขมั่นคงได้?”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ถ้าอย่างนั้นหมัดใหญ่ ไม่ต้องใช้เหตุผล แต่ก็ยังมีผู้อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วนคอยติดตามดั่งเงาล่ะ จะอธิบายอย่างไร? หากปฏิเสธเหตุผลข้อนี้ว่าไม่ใช่เหตุผล ถ้าอย่างนั้นหลักการเหตุผลก็ต้องอยู่แค่ในมือของผู้แข็งแกร่งจำนวนน้อยนิดไปตลอดกาลอย่างนั้นน่ะหรือ?”
คนหนุ่มส่ายหน้าเบาๆ “นั่นเป็นเพียงภาพลักษณ์ภายนอก ทั้งๆ ที่ในใจท่านมีคำตอบ เหตุใดยังต้องมีคำถามเช่นนี้?”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม
คนหนุ่มเอ่ยว่า “ข้าน้อยฉีจิ่งหลง แต่ในบันทึกทำเนียบวงศ์ตระกูลของสำนักคือหลิวจิ่งหลง นี่เกี่ยวพันกับเรื่องชาติกำเนิด คงไม่ขออธิบายให้ท่านฟังแล้ว”
สุยจิ่งเฉิงมึนงงไม่เข้าใจ
เพราะนางไม่เคยได้ยินชื่อ ‘หลิวจิ่งหลง’ นี้มาก่อนเลย
เฉินผิงอันถาม “ถ้าอย่างนั้นก็เดินไปคุยไป?”
ฉีจิ่งหลงยิ้มพลางเดินตามคนทั้งสองมา สาวเท้าเลียบลำคลองไปเบื้องหน้าอีกครั้ง
เฉินผิงอันกล่าว “คำบอกที่ว่าภาพลักษณ์ภายนอกนั่น หวังว่าท่านฉี…ท่านหลิวจะช่วยไขข้อข้องใจให้แก่ข้า ต่อให้ในใจข้าจะมีคำตอบอยู่นานแล้ว ก็ยังหวังว่าคำตอบของท่านหลิวจะสามารถเอามายืนยันเป็นหลักฐานให้แก่กันได้”
ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ “แทนที่จะพูดว่าหมัดคือเหตุผล ไม่สู้พูดว่ามันคือความแตกต่างของก่อนและหลังของทฤษฎีลำดับขั้นตอนจะดีกว่า หมัดใหญ่ เป็นได้แค่อย่างหลัง อย่างแรกนั้นยังซุกซ่อนความจริงที่สำคัญเอาไว้”
เฉินผิงอันหรี่ตาลง แต่กลับไม่เอ่ยอะไร
ฉีจิ่งหลงพูดต่อไปด้วยสีหน้าจริงจังว่า “สิ่งที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงก็คือ…กฎเกณฑ์ กฎระเบียบ เราต้องรู้ถึงสิ่งเหล่านี้ อีกทั้งยังต้องใช้สิ่งเหล่านี้ ฮ่องเต้ใช่ผู้แข็งแกร่งหรือไม่? แต่เหตุใดทุกหนแห่งในใต้หล้าถึงได้มีเรื่องที่โชคชะตาแคว้นขาดสะบั้น แผ่นดินพินาศวอดวายเกิดขึ้น? เหตุใดเหล่าขุนนางแม่ทัพอัครเสนาบดี บางคนถึงมีจุดจบที่ดี แต่บางคนกลับมีจุดจบที่ไม่ดี? เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของจวนตระกูลเซียน ลูกหลานชนชั้นสูงบนโลก ลูกหลานคนร่ำรวย ใช่ผู้แข็งแกร่งหรือไม่? หากเจ้าลากเส้นเส้นหนึ่งยาวออกไป แล้วลองมองดูฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นของแต่ละยุคแต่ละสมัย คนที่ก่อสำนักตั้งพรรคให้กับพวกเขา บุคคลแรกในทำเนียบศาลบรรพชน คนเหล่านี้สามารถก่อร่างสร้างกิจการบ้านเรือนขึ้นมาได้อย่างไร เพราะบุคคลเหล่านี้ล้วนไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง พวกเขาก็แค่ลุกผงาดขึ้นมาเพราะกฎเกณฑ์และสถานการณ์ใหญ่เท่านั้น จากนั้นก็ล่มสลายไปเพราะไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ ประหนึ่งดอกราตรีที่บานเพียงชั่วค่ำคืน ไม่อาจดำรงอยู่ได้ยาวนาน เหมือนผู้ฝึกตนที่ไม่อาจเป็นอมตะ”
จากนั้นฉีจิ่งหลงก็พูดจ้อถึงความเห็นของตนให้คนนอกสองคนที่เพิ่งพบเจอกันฟัง
ข้อแรก เมื่อเข้าใจกฎเกณฑ์อย่างแท้จริงแล้ว รู้ถึงความแข็งแกร่งและความซับซ้อนของกฎเกณฑ์มากเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น รวมไปถึงต้องรู้…ช่องโหว่ต่างๆ ที่อยู่ภายใต้กรอบและเส้นทั้งหลาย
ข้อสอง เคารพและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ หรือควรจะพูดว่าคล้อยตามกฎเกณฑ์
ยกตัวอย่างเช่นขุนนางผู้ภักดีที่โง่เขลา แม่ทัพบู๊ที่กระเหี้ยนกระหือรืออยากจะแบ่งแยกดินแดน
ข้อที่สาม กฎเกณฑ์ที่ตัวเองเป็นผู้ตั้ง แน่นอนว่าก็สามารถละเมิดได้
ข้อสี่ รักษากฎเกณฑ์
พ่อค้าหาบเร่ จักรพรรดิ แม่ทัพ ขุนนาง ผู้ฝึกตนอิสระตามป่าเขา เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล ภูตผีปีศาจ อย่าให้มีข้อยกเว้น
ระหว่างนี้กฎเกณฑ์ที่แท้จริงก็จะปกป้องผู้อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วน แน่นอนว่ากฎเกณฑ์นี้ซับซ้อนอย่างมาก เป็นสิ่งที่ทั้งบนและล่างภูเขา ยุทธภพและราชสำนัก หมู่ชาวบ้านร้านตลาดช่วยกันสร้างขึ้นมา
นี่จึงเป็นเหตุให้จักพรรดิต้องใช้คำว่า ‘น้ำทำให้เรือลอยได้ก็ทำให้เรือล่มได้’ มาทบทวนตัวเอง ผู้ฝึกตนบนภูเขาต้องกลัวคำว่าหนึ่งในหมื่น ผู้ฝึกยุทธที่ยึดครองตำแหน่งกังวลว่าจะได้ตำแหน่งมาอย่างไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม คนในยุทธภพต้องคอยแสวงหาชื่อเสียงที่ดีงามอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย พ่อค้าต้องไขว่ขว้าหากรอบป้ายอักษรทองคำ ดังนั้นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดจึงต้องผสานมรรคา ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินต้องแสวงหาความจริง ผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานต้องทำให้มหามรรคาแห่งฟ้าดินพยักหน้ายอมรับ ต้องให้อริยะของสามลัทธิไม่รู้สึกว่าไปขัดแย้งกลบทับมหามรรคาของสามลัทธิพวกเขา และยินดีช่วยเปิดเส้นทางให้พวกเขาได้เดินขึ้นสู่ที่สูงต่อจากใจจริง
สุยจิ่งเฉิงฟังด้วยความมึนงงสับสน ไม่กล้าเปิดปากส่งเดช นางกำไม้เท้าเดินป่าแน่น ในฝ่ามือมีแต่เม็ดเหงื่อ
นางทำได้แค่แอบเหลือบมองผู้อาวุโสสวมงอบใส่ชุดเขียวที่อยู่ข้างกาย สีหน้าของเขายังคงเป็นธรรมชาติอยู่เหมือนเดิม
—–