บนลำน้ำมีเรือแจวลำหนึ่งเลียบกระแสธาราลงมาเบื้องล่าง ลมพัดเอนเอียงกับเม็ดฝนโปรยปราย มีผู้เฒ่าชาวประมงสวมงอบและเสื้อกันฝนนั่งอยู่บนหัวเรือ แหงนหน้าดื่มสุรา ด้านหลังมีหญิงนักขับร้องหน้าตางดงามอยู่สองคน พวกนางต่างก็สวมเสื้อตัวบาง ท่วงท่านั่งชดช้อย ในอ้อมอกของสตรีผู้หนึ่งกอดผีผา เสียงดนตรีทึบอื้ออึงสลับกับแผ่วพลิ้วฟังอึงอล คนหนึ่งถือกรับสีแดง ส่งเสียงร้องอ่อนหวานคลอไปกับเสียงดนตรี มองดูเหมือนว่ามีเสียงมากมายดังสลับกันฟังจอแจ ทว่าในความวุ่นวายกลับมีระเบียบ ช่วยส่งเสริมกันและกันให้โดดเด่น
นายบ่าวสามคนที่อยู่บนเรือเล็กย่อมต้องเป็นผู้ฝึกตนทุกคน
มีผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งทะยานลมข้ามผ่านผิวน้ำแล้วเรียกอาวุธอาคมชิ้นหนึ่งออกมา ประกายแสงเรืองรองก็ไหลรินเหมือนผ้าแพรต่วนสีขาวที่พุ่งเข้ากระแทกใส่เรือแจวลำเล็ก ปากก็สบถด่าไปด้วยว่า “หนวกหูจะตายอยู่แล้ว! แสร้งทำเป็นนายท่านใหญ่ที่กำลังดื่มเหล้าอะไรกัน น้ำในลำคลองสายนี้มากพอจะให้เจ้าดื่มจนอิ่มโดยไม่ต้องจ่ายเงินสักแดงเลยล่ะ!”
ผลคือผู้เฒ่าชาวประมงคนนั้นเพียงแค่ยกมือขึ้นโบกชายแขนเสื้อเบาๆ หนึ่งครั้ง ผ้าแพรต่วนสีขาวที่พุ่งมาด้วยพลังอำนาจน่าครั่นคร้ามก็ไม่เพียงแต่ไม่สามารถพลิกเรือน้อยให้คว่ำ กลับยังผลุบหายเข้าไปในชายแขนเสื้อของชาวประมงทั้งหมด มันส่งเสียงร้องอื้ออึงอยู่ครู่หนึ่ง เพียงไม่นานทุกอย่างก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบ
ผู้ฝึกลมปราณคนนั้นมีสีหน้าเหมือนคนที่บิดาตาย เขาพลันหยุดลอยตัวนิ่ง เอ่ยอ้อนวอนว่า “เทพเซียนผู้เฒ่าโปรดคืนกระบี่บินให้ข้าด้วย”
ชาวประมงผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “โขกหัวขอร้องข้าสิ”
ผู้ฝึกลมปราณไม่พูดไม่จาก็พลิ้วกายลงบนพื้นผิวลำคลอง ใช้ลำคลองต่างพื้นดิน โขกหัวดังปังๆ จนสะเก็ดน้ำเป็นกลุ่มๆ แตกกระจาย
เรือลำน้อยเหมือนลูกธนูดอกหนึ่งที่พุ่งจากไปไกลอย่างรวดเร็ว หลังจากเจ้าลูกสุนัขที่ตาไร้แววผู้นั้นโขกศีรษะครบสามครั้งแล้ว ชาวประมงเฒ่าถึงได้สะบัดชายแขนเสื้อเอาเม็ดกระบี่สีขาวหิมะเม็ดหนึ่งมากำไว้ในมือ แล้วขว้างไปด้านหลัง
หลังจากที่ผู้ฝึกกระบี่เก็บเม็ดกระบี่แห่งชะตาชีวิตมาแล้วก็พุ่งตัวไปยังตอนบนของเส้นทางน้ำ หลังออกห่างมาได้ไกลพอสมควรแล้ว เขาก็หัวเราะร่าเสียงดัง “ตาแก่ หากสตรีสองคนนั้นเป็นลูกสาวของเจ้า ข้าก็จะเป็นลูกเขยเจ้าแล้วกัน คนเดียวไม่รังเกียจว่าน้อยไป สองคนก็ไม่รังเกียจว่ามากไป…”
ดรุณีน้อยที่อุ้มผีผาอยู่ในอ้อมอกหัวเราะหยันเสียงเย็น นางพลันดึงสายผีผา แรงดีดทรงพลัง ประหนึ่งสายลมที่พัดพาเม็ดฝนให้พร่างพรม
ผิวน้ำที่อยู่ด้านหลังเรือลำเล็กระเบิดออกกลายเป็นร่องน้ำขนาดใหญ่ยักษ์เส้นหนึ่งที่ลามไปถึงผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรคนนั้น ผู้ฝึกกระบี่เห็นท่าไม่ดีก็ทะยานลมลอยตัวขึ้นสูง หมายจะออกห่างจากผิวน้ำ คิดไม่ถึงว่าสตรีเรือนกายอ้อนแอ้นที่ถือกรับไม้แดงไว้ในมือผู้นั้นจะยกมือขึ้นเบาๆ แล้วตบหนึ่งครั้ง ม่านฝนกลางอากาศสูงก็มีกายธรรมของกรับไม้แดงที่ใหญ่ราวขุนเขาร่วงลงมาหนึ่งอัน พุ่งเข้ากระแทกแสกหน้าผู้ฝึกกระบี่คนนั้น ตบให้เขาร่วงลงไปในลำคลองอย่างแรง รอจนเรือแจวลำนั้นลอยห่างไปไกลได้หลายสิบลี้แล้ว ผู้ฝึกกระบี่ที่น่าสงสารถึงได้ปีนขึ้นฝั่ง นอนหงายแหงนหน้าขึ้นฟ้า หอบหายใจหนักหน่วง ไม่กล้าพูดจายั่วยุคนสามคนบนเรืออีก
เนื่องจากฝนตกลงมา สุยจิ่งเฉิงจึงเข้ามานั่งในศาลาริมน้ำ นางลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่สุดท้ายแล้วก็ยังไม่ได้ปลดหมวกคลุมหน้าลง หันหน้าไปมองภาพผู้เฒ่าชาวประมงที่ใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์ผู้นั้น ส่วนการประลองเวทของเทพเซียนที่เกิดขึ้น หลังจากผ่านมรสุมเป็นตายมาสองครั้ง อันที่จริงจิตใจของสุยจิ่งเฉิงก็ไม่ได้เกิดคลื่นเคลื่อนไหวใดๆ มากนัก
เฉินผิงอันเพียงแค่ชำเลืองตามองผิวน้ำแวบหนึ่งก็ดึงสายตากลับ ถึงอย่างไรนี่ก็สมกับเป็นอุตรกุรุทวีปอยู่แล้ว หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในแจกันสมบัติทวีปหรือใบถงทวีป ผู้ฝึกกระบี่จะไม่มีทางลงมือ ต่อให้ลงมือแล้ว ชาวประมงผู้นั้นก็ไม่มีทางคืนกระบี่บินให้
แต่ฉีจิ่งหลงกลับจ้องมองอยู่นานไม่ยอมถอนสายตากลับ บางทีอาจกำลังรอคอยให้ฝนหยุดตก จากนั้นก็จะบอกลาจากไป
เฉินผิงอันถาม “ในฐานะที่ท่านหลิวเป็นผู้ฝึกกระบี่ แต่กลับครุ่นคิดเป็นกังวลกับเรื่องทางโลกมากขนาดนี้ จะไม่ถ่วงเวลาการฝึกตนหรือ?”
ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ “แน่นอนว่าต้องใช่ นี่ก็คือความต่างระหว่างข้ากับพวกคนที่อยู่สองอันดับแรก ข้ากับพวกเขามีพรสวรรค์พอๆ กัน แม้จะบอกว่าโชควาสนาก็มีความต่าง แต่สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังแพ้พวกเขาในเรื่องการดึงความสนใจไปทำเรื่องอื่นอยู่ดี คนหนึ่งในนั้นยังเคยโน้มน้าวข้า บอกว่าให้คิดถึงเรื่องด้านล่างภูเขาให้น้อยลง ตั้งใจฝึกวิชากระบี่ รอจนเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนเมื่อไหร่ค่อยคิดถึงมันก็ยังไม่สาย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “สิ่งที่ได้มาและเสียไปในวันนี้ อาจเป็นสิ่งที่ได้มาและเสียไปในวันพรุ่งนี้”
ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ขอให้สมพรปากท่าน”
เฉินผิงอันถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านหลิวเป็นกังวลกับเรื่องนอกกายเหล่านี้ เป็นเพราะตัวเองมีความรู้สึกร่วมจึงเกิดความคิดขึ้นมาหรือ?”
ฉีจิ่งหลงผงกศีรษะ “ข้ามีชาติกำเนิดธรรมดา มาจากครอบครัวที่พอมีจะกินในหมู่ชาวบ้านทั่วไป แต่ชอบอ่านหนังสือเบ็ดเตล็ดมาตั้งแต่เด็ก หลังจากขึ้นมาอยู่บนภูเขาก็ยากที่จะเปลี่ยนความเคยชินนี้ไปได้ บนเส้นทางของการฝึกตนนั้นเงียบเหงา มักจะต้องหาเรื่องอะไรทำเสมอ อีกทั้งในฐานะที่เป็นผู้ฝึกตน ก็ย่อมต้องมีข้อดีบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่นความทรงจำจะดีมากขึ้นกว่าเดิม แล้วยังไม่ต้องกลุ้มเรื่องเงินค่าหนังสือ ดังนั้นทุกครั้งที่ลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์ เวลาที่เดินทางกลับข้าก็จะต้องซื้อตำราบางอย่างติดมือกลับไปด้วยเสมอ”
เฉินผิงอันถาม “ท่านหลิวมีข้อสรุปเกี่ยวกับความดีเลวของจิตใจคนหรือไม่?”
ฉีจิ่งหลงหัวเราะทันใด “ตอนนี้ยังไม่มี หากอยากจะเข้าใจเรื่องความดีเลวของจิตใจคนอย่างชัดเจน แต่กลับมีเส้นแบ่งดีเลวมาตั้งแต่แรกเริ่ม ก็ง่ายที่จะทำให้ตัวเองสับสนจับทุกอย่างมาปนกัน ความรู้ที่ได้เรียนรู้มาในภายหลังก็ยากที่จะเป็นกลางและเที่ยงตรง”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ใช่ เมื่อมีอารมณ์ความรู้สึกเจือปนเข้าไปก็ย่อมต้องเกิดความเอนเอียง”
ฉีจิ่งหลงเอ่ย “เมื่อความรู้เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ความเอนเอียงเสี้ยวนี้ก็จะเป็นเหมือนต้นกำเนิดธารน้ำสายเล็ก บางที่สุดท้ายแล้วอาจจะกลายเป็นลำน้ำใหญ่ที่ไหลลงสู่มหาสมุทร”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างชอบใจ “ท่านหลิวช่วยไขข้อข้องใจให้ข้าอีกอย่างหนึ่งแล้ว”
ฉีจิ่งหลงไม่ได้ถามอะไรให้มากความ
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน มองไปทางลำคลองที่กระแสน้ำไหลเชี่ยวกรากนอกศาลา กระแสธาราไหลไปทางทิศตะวันออก ไม่หยุดพักทั้งกลางวันและกลางคืน
นี่ก็คือสาเหตุที่เฉินผิงอันตัดสินใจจะหล่อหลอมชูอี
แน่นอนว่าเกาเฉิงแข็งแกร่งมาก ถือเป็นผู้แข็งแกร่งที่แสวงหาอิสระเสรีอย่างสมบูรณ์
ไม่พูดถึงว่าความตั้งใจเดิมของเกาเฉิงคืออะไร ยังไม่ต้องสนใจว่านั่นเป็นปณิธานหรือความทะเยอะทะยาน แต่ในเรื่องเรื่องหนึ่ง เฉินผิงอันมองเห็นเส้นสายที่เล็กบางอย่างถึงที่สุด
ตอนที่อยู่ในวังมังกรทะเลสาบชางอวิ๋น เฉินผิงอันเคยทำหน้าที่เป็นทวยเทพประทับบัลลังก์สูงตัดสินความดีความเลวของคน ดังนั้นเฉินผิงอันจึงยิ่งมั่นใจในเรื่องหนึ่ง บวกกับการที่ได้พบหยางหนิงซิ่งที่ชายหาดโครงกระดูก นักพรตหนุ่มของตำหนักนภากาศหน่วยฉงเสวียนผู้นี้ได้ใช้ความคิดชั่วร้ายที่กลั่นรวมเป็นเมล็ดงาเมล็ดหนึ่งจำแลงร่างเป็นบัณฑิต
เมื่อเอาสองอย่างนี้มารวมกัน
และพอทบทวนกระดานหมากอย่างต่อเนื่อง เฉินผิงอันก็ยิ่งมั่นใจในข้อสรุปหนึ่ง นั่นก็คือเกาเฉิงในเวลานี้ยังอยู่ห่างไกลเกินว่าจะมีสภาพจิตใจของเจ้าแห่งนครเฟิงตู อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ยังไม่มี
แน่นอนว่าตัวเฉินผิงอันเองก็ยิ่งไม่มี แต่เฉินผิงอันพอจะมองเห็นได้คร่าวๆ แล้วก็พอจะเดาออกว่าระดับความสูงเช่นนั้นควรจะมีภาพบรรยากาศที่ยิ่งใหญ่ตระการตามากเพียงไหน
เทพนั่งเหมือนศพ ไม่มีความรู้สึก
เกาเฉิงในตอนนี้ยังมีอารมณ์รักโลภโกรธหลง ในใจของเจ้านครจิงกวานท่านนี้ยังมีความไม่พอใจ และยังยึดติดอยู่กับอัตตา
ต่อให้ความรู้สึกเหล่านี้จะเล็กจ้อยมาก แต่ต่อให้เล็กแค่ไหน เล็กเหมือนเมล็ดงา แต่แล้วอย่างไรเล่า? ถึงอย่างไรมันก็ยังคงอยู่ตลอดเวลา เวลาผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้ก็ยังคงหยั่งรากฝังลึก ทิ้งไว้ในสภาพจิตใจของเกาเฉิง
ดังนั้นหากเมื่อใดที่เกาเฉิงได้กลายเป็นเจ้านครของนครเสี่ยวเฟิงตูแห่งใหม่ กลายเป็นเทพเทวดาบนสรวงสวรรค์ของฟ้าดินแห่งนั้น
เมื่อขนาดของนครเสี่ยวเฟิงตูแห่งนั้นขยายใหญ่มากขึ้น บัลลังก์เทพของเกาเฉิงสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อแม่น้ำแห่งกาลเวลาไหลผ่านไปไม่หยุดยั้ง ภูตผีในนครเสี่ยวเฟิงตูเพิ่มมากขึ้น ความลำเอียงน้อยนิดเหล่านี้ในใจของเกาเฉิงก็จะขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง หรือถึงขั้นอาจเกิดความเอนเอียงที่ใหญ่อย่างไร้ขีดจำกัด
นี่ก็คือคำกล่าวของฉีจิ่งหลงที่บอกลำธารกลายเป็นลำน้ำขนาดใหญ่
บางทีเกาเฉิงอาจจะมีโอกาสแก้ไขความเอนเอียงน้อยนิดเหล่านั้นในขณะที่ขอบเขตสูงยิ่งขึ้น
ทว่านี่ก็เป็นเพียงคำว่า ‘อาจจะ’ เท่านั้น
แล้วนับประสาอะไรกับที่การช่วงชิงบนมหามรรคาก็ควรมีความกล้าหาญของการช่วงชิงบนมหามรรคา หากการช่วงชิงกระบี่บินของเกาเฉิงพ่ายแพ้ไปตั้งแต่แรกเริ่ม จากนั้นภายหลังก็ไม่มีการไล่ฆ่าและกับดักหลุมพรางอีก มีเพียงแค่การปรากฎตัวและเอ่ยประโยคสุดท้ายนั่น บางทีเฉินผิงอันอาจยินดีที่จะรอคอยดู รอให้ท่องเที่ยวในอุตรกุรุทวีปเสร็จแล้วค่อยตัดสินใจอีกครั้งว่าจะไปเยือนนครจิงกวานของชายหาดโครงกระดูกหรือไม่
อันที่จริงเฉินผิงอันรู้สึกว่าคนที่มีโอกาสที่จะทำเรื่องประเภทนี้ได้สำเร็จและทำได้ดี มีเพียงแค่สองคน
ใบถงทวีป เจ้าอารามผู้เฒ่าของอารามกวานเต๋า ถึงขั้นไม่ใช่วิญญูชนจงขุย อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้
แจกันสมบัติทวีป ชุยฉาน ถึงขั้นที่ว่าไม่ใช่ชุยตงซาน
และสองฝ่ายหลังก็เป็นคนใกล้ชิดของเฉินผิงอันพอดี ส่วนสองฝ่ายแรก เรียกได้ว่าไม่มีความรู้สึกดีอันใดเลยจริงๆ
แล้วนี่จะไม่ได้เรียกว่าเป็นความน่าจนใจของเรื่องราวทางโลกได้อย่างไร
ไม่ใช่ว่าเป็นเพื่อนกันแล้วจะดีไปหมดเสียทุกอย่าง ไม่ใช่ว่ากลายเป็นศัตรูแล้วจะต้องผิดไปเสียทุกเรื่อง
ความผิดของเพื่อน ควรจะโน้มน้าวหรือไม่ ความดีของศัตรู ควรจะเรียนรู้หรือไม่ ล้วนเป็นการฝึกฝนจิตใจ ทั้งบนและล่างภูเขาล้วนเป็นเช่นนี้
ส่วนจะโน้มน้าวอย่างไร จะเรียนรู้อย่างไรก็ยิ่งเป็นการฝึกฝนจิตใจและเป็นความรู้อย่างหนึ่ง ไม่อย่างนั้นโน้มน้าวด้วยความหวังดีอาจต้องกลับกลายมาเป็นศัตรูกัน เรียนรู้จากอีกฝ่ายจนกลายไปเป็นอีกฝ่ายเสียเอง แล้วแบบนี้จะเรียกว่าฝึกฝนจิตใจได้อย่างไร
ฝนปรอยๆ เริ่มซาเม็ด
เฉินผิงอันเอ่ยถาม “ท่านหลิวจะเดินไปกับพวกเราสักอีกระยะทางหนึ่งได้หรือไม่?”
ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ “แน่นอนว่าย่อมได้”
ก่อนจะเดินออกไปนอกศาลา เฉินผิงอันถามว่า “ดังนั้นท่านหลิวจึงแยกความดีเลวออกไว้ก่อน ยังไม่ต้องพูดถึงมัน ก็เพื่อให้สามารถขยับเข้าใกล้เนื้อแท้ของความดีเลวได้อีกนิดงั้นหรือ?”
ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “ถูกต้อง”
เฉินผิงอันประสานมือโค้งคารวะผู้ฝึกตนแห่งอุตรกุรุทวีปที่รู้จักกันอย่างผิวเผินผู้นี้ด้วยวิธีการคารวะของลัทธิขงจื๊อ
หากท่านอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งอยู่ที่นี่ ได้ฟังหลักการเหตุผลที่คนผู้นี้ทำความเข้าใจจนบรรลุมา จะต้องดีใจมากอย่างแน่นอน
ต่อให้ฉีจิ่งหลงจะไม่ใช่ลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อก็ตาม
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นมองผู้ฝึกตนที่ท่าทางสุภาพอ่อนโยนตรงหน้า เขาหวังว่าวันหน้าหากเป็นไปได้ เฉาฉิงหล่างแห่งพื้นที่มงคลดอกบัวก็จะสามารถกลายเป็นคนเช่นนี้ ไม่ต้องเหมือนทั้งหมด แค่เหมือนในบางเรื่องก็พอ
ไม่มีใครจำเป็นต้องกลายเป็นใครอีกคน เพราะเดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้อยู่แล้ว แล้วก็ไม่มีความจำเป็นด้วย
ก็เหมือนที่เฉินผิงอันไม่คาดหวังให้เผยเฉียนกลายมาเป็นตน
เผยเฉียนที่อยู่ที่บ้านเกิด แค่ตั้งใจเรียนหนังสือ ค่อยๆ เติบโต มีอะไรที่ไม่ดี? แล้วนับประสาอะไรกับที่เผยเฉียนทำได้ดียิ่งกว่าที่เฉินผิงอันคิดเอาไว้แล้ว สองคำว่ากฎเกณฑ์นั้น เผยเฉียนกำลังเรียนรู้มันอยู่ตลอดเวลา
เฉินผิงอันไม่เคยรู้สึกว่าเผยเฉียนกำลังใช้เวลาว่างเล่นสนุกไปอย่างเปล่าประโยชน์
กลัวความลำบาก กลัวว่าจะเจ็บหากฝึกวิชาหมัด? ไม่เป็นไร
เขาที่เป็นอาจารย์เคยเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้ามาแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็จะช่วงชิงขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุดมาให้ได้!
โชคชะตาบู๊มาถึงมือ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ก็ส่งมอบมันให้แก่ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาก็แล้วกัน เผยเฉียนเองก็ทำได้ทั้งเรียนหนังสือและเรียนวรยุทธไปพร้อมกันไม่ใช่หรือ?
สุยจิ่งเฉิงมองผู้อาวุโสที่ค่อนข้างจะแปลกตาไป
เมื่อผู้อาวุโสและผู้ปกป้องมรรคาครึ่งตัวสอนนางถึงการวางตัวอยู่ในสังคมและการขัดเกลาหล่อหลอมความรู้ เขาจะเรียนรู้มันมาจากร่างของคนอื่น
ที่แท้ผู้อาวุโสก็ชอบอย่างหลังมากกว่า
สุยจิ่งเฉิงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
ที่แท้ผู้อาวุโสที่เดิมทีอยู่ไกลสุดขอบฟ้า ตอนนี้ก็ได้ขยับเข้ามาใกล้อีกนิดแล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้อาวุโสกำลังวิ่งตะบึงอยู่บนเส้นทางของการฝึกตนตลอดเวลา แต่นางกลับทำเพียงแค่ขยับเท้าก้าวเดินอย่างเชื่องช้า
สักวันหนึ่งแม้แต่แผ่นหลังของเขานางก็อาจจะไม่ได้เห็น
ต่อให้ในอนาคตคนทั้งสองได้กลับมาพบกันอีกครั้งหลังที่จากกันไปยาวนาน หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง แต่เมื่อคนทั้งสองยืนอยู่ด้วยกัน จะยังพูดคุยเรื่องอะไรกันได้เล่า?
สุยจิ่งเฉิงไม่รู้เลย
ยังอยู่ห่างจากท่าเรือหัวมังกรอีกระยะทางหนึ่ง คนทั้งสามจึงเดินกันไปช้าๆ
เฉินผิงอันถามคำถามเกี่ยวกับเรื่องของเมืองหลวงแคว้นต้าจ้วน
ฉีจิ่งหลงเอ่ยว่า “ถือว่าลมฟ้าลมฝนกำลังจะมาเยือนกระมัง จีเยว่เซียนกระบี่แห่งภูเขาวานรคำราม กับผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบที่พิทักษ์ชะตาบู๊ของต้าจ้วน ตอนนี้ยังไม่ได้ประมือกัน หากเปิดศึกต่อสู้กันขึ้นมา ความเคลื่อนไหวนั้นจะต้องรุนแรงมาก ดังนั้นคราวนี้อริยะของสำนักศึกษาล้วนจะต้องออกมา และยังเชื้อเชิญยอดฝีมือหลายท่านมาร่วมกันชมศึกด้วย หลีกเลี่ยงไม่ให้การปะทะกันของคนทั้งสองสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน ส่วนข้อที่ว่าทั้งสองจะเป็นหรือตาย ไม่ต้องไปสนใจ”
เฉินผิงอันถาม “ทางฝั่งของราชวงศ์ต้าหลีแจกันสมบัติทวีป มีข่าวใหญ่อะไรหรือไม่?”
ฉีจิ่งหลงถอนหายใจ “กองทัพม้าเหล็กต้าหลีกรีฑาทัพลงใต้ต่อ เหตุการณ์ภายหลังค่อนข้างจะซับซ้อน มีคนอุดมการณ์สูงหลายคนที่แคว้นล่มสลายพากันลุกฮือ กระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญ นี่เป็นเรื่องที่ถูกต้อง ไม่ว่าใครก็ไม่อาจตำหนิได้ แต่มีชาวบ้านที่บริสุทธิ์ตายไปมากขนาดนั้น กลับเป็นเรื่องที่ผิด แม้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็มีเหตุผล และโศกนาฎกรรมเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่มันก็ช่าง…”
เฉินผิงอันเอ่ย “น่าจนใจ”
ฉีจิ่งหลงอืมรับหนึ่งที
—–