ทันใดนั้นเบื้องหน้าก็มีคนมองไปเห็นหมอกขาวโพลนที่แผ่อบอวล จึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตระหนกตกใจสุดขีด “หรือว่ามาถึงทางตันแล้ว?!”
เมฆหมอกขาวโพลนที่อยู่ตรงริมขอบอาณาเขตประหนึ่งน้ำลงที่ถอยพรวดกลับไปอย่างรวดเร็ว
เทือกเขาสลับสล้างประหนึ่งหญิงสาวกอดผีผาปิดครึ่งใบหน้าซึ่งค่อยๆ เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง
อาณาเขตของจวนเซียนแห่งนี้ขยายกว้างออกไปอย่างรวดเร็ว
หวนอวิ๋นไม่มีความคิดจะลงมือสังหารใคร เขาบอกว่าขอล่วงหน้าไปก่อน จากนั้นก็ทะยานลมไปถึงบนภูเขา ไปตามหาลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนของเสิ่นเจิ้นเจ๋อ
ซุนชิงเองก็ไม่คิดจะฆ่าใครเหมือนกัน เพียงแค่บอกให้พวกอู่ชวินสามคนพากันไปดูทางทิศใต้
ป๋ายปี้และจานชิงบอกให้เกาหลิงลงมือสังหารได้เต็มที่ ส่วนผู้ถวายงานเชื้อพระวงศ์แคว้นฝูฉวีผู้นั้นก็ถูกป๋ายปี้เรียกให้มาอยู่ข้างกาย
เกาหลิงถึงกับถอดเสื้อเกราะน้ำค้างหวานตัวนั้นไปซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อ หยิบเอาดาบยาวที่เจ้าของตายไปแล้วเล่มหนึ่งมาถือไว้ในมือ แล้ววิ่งตะบึงจากไป
ท่ามกลางหมอกขาว ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่เก็บตำราเล่มนั้นไปแล้ว เขายืนอยู่ที่เดิม แต่ร่างกลับถอยกรูดไปด้านหลังพร้อมกับหมอกขาว เป็นเหตุให้มองดูเหมือนเจียวหลงที่อำพรางตัวอยู่ในทะเลเมฆตลอดเวลา ผู้เฒ่าเอาสองมือไพล่หลัง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากอาณาเขตเล็กเกินไป กลัวว่าพวกเจ้าจะตายเร็วเกิน แล้วงิ้วดีๆ จะมีเหลือให้ดูน้อยลง”
อีกห้าวันต่อจากนี้ เขายังมีกฎอย่างใหม่ที่น่าสนใจอย่างถึงที่สุดอีกหลายข้อนำมาป่าวประกาศแก่ทุกคน
ยกตัวอย่างเช่นนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คนที่ฆ่าคนมากที่สุด จะสามารถกลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนที่สองของจวนเซียนท่ามกลางคนห้าคนสุดท้าย
ถ้าอย่างนั้นเจ้าหวนอวิ๋น ซุนชิง ผู้ฝึกตนสองคนที่ตอนนี้ยังมีจิตใจดีงามไม่ยินดีจะเปิดศึกใหญ่ จะยังฆ่าคนหรือไม่?
พอฆ่าแล้วจะฆ่าอย่างเต็มคราบ ไร้ความยำเกรงใดเลยหรือไม่?
ผู้เฒ่าหันหน้าไปมองคนหนุ่มพกดาบที่ไปขุดหลุมฝังกลบตัวเองอยู่บนเส้นอาณาเขตนานแล้ว แล้วเอ่ยว่า “ถือโอกาสนี้ดูไปด้วยว่าเด็กอย่างเจ้าจะมีวาสนาแห่งเต๋าและความโชคดีมากพอจะกลายเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของข้าหรือไม่”
ตี๋หยวนเฟิงที่สวมชุดขาวพลิ้วไหว สวมรองเท้าสานถือไม้เท้าเดินป่าสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของริมอาณาเขตแล้วก็สบถด่ามารดาหนึ่งคำ ช่วยไม่ได้ เขาก็ได้แต่แหวกดินออกมา สะบัดฝุ่นที่เปรอะเปื้อนเต็มร่างเสร็จแล้วก็ชักเท้าวิ่งเข้าไปยังขุนเขาลึกต่ออีกครั้ง
ต่อมาหวงซือพลันหยุดชะงักฝีเท้า เปลี่ยนแปลงเส้นทาง มานั่งยองอยู่ตรงจุดที่ดินถูกขุด เขาหยิบดินขึ้นมา แหงนหน้ามองไปยังเงาร่างที่จากไปซึ่งเล็กเท่าเมล็ดงาแล้วก็หัวเราะ
บางทีการสังหารสหายนักพรตเฉินผู้เฒ่าชุดดำอาจจะมีอันตรายอยู่บ้าง แต่สังหารเจ้าตี๋หยวนเฟิงที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้ากลับไม่ยากเลยจริงๆ
ห้าคนที่อยู่ตรงตีนเขา ต่างคนต่างสั่งความออกไป แล้วพากันขึ้นเขาไป นัดหมายไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะไปเจอกันบนยอดเขา จากนั้นก็ร่วมกันตามหาคนอื่นๆ อีกสี่คนที่นอกเหนือจากชายหญิงของนครเหนือเมฆ
หาให้เจอก่อน แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะฆ่าดีหรือไม่
……
ในป่าโบราณกลางภูเขาลึก เฉินผิงอันพาชายฉกรรจ์ที่ชื่อว่าจินซานหนีเอาชีวิตรอดไปด้วยกัน
บนแนวเส้นอื่น เกาหลิงออกดาบอย่างเฉียบคมดุดัน ขอแค่ถูกเขาไล่ตามทัน ปล่อยหนึ่งดาบออกไป ส่วนใหญ่มักจะมีจุดจบที่หัวหลุดออกจากตัวเสมอ
เนื่องจากต้องคอยดูกำลังเท้าของไหวเฉียน ทั้งอู่ชวินและหลิ่วกุยเป่าจึงเดินกันไม่เร็วนัก
กลับกลายเป็นคนสองกลุ่มภายใต้การนำของผู้ฝึกตนอิสระและผู้ฝึกยุทธคนนั้นที่มารวมตัวกันด้วยตัวเอง แล้วร่วมมือกันสังหารพวกคนที่หลบหนีไปเพียงลำพัง ออกแรงเต็มกำลังกันอย่างยิ่ง
หวนอวิ๋นบอกให้ชายหญิงที่อยู่เฉยๆ รอความตายคู่นั้นไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะไม่ปลอดภัย สามารถอยู่ที่เดิม แล้วก็สามารถออกไปหาสมบัติกันได้ต่อ
จากนั้นเจินเหรินผู้เฒ่าก็ไปเจอผู้ถวายงานขอบเขตประตูมังกรที่หลบซ่อนตัวอยู่ แต่ผู้เฒ่าแสร้งทำเป็นว่ามองไม่เห็น ทะยานลมขึ้นเขาต่อไปอีกครั้ง
บนลานกว้างหยกขาวของยอดเขา กระเบื้องแก้วมรกตและแผ่นอิฐเขียวปูพื้นที่แฝงโชคชะตาน้ำของซากปรักอารามเต๋า ทำให้ป๋ายปี้ที่มีชาติกำเนิดมาจากสำนักมังกรน้ำรู้สึกตื่นตะลึงอย่างถึงที่สุด
เพียงแต่ป๋ายปี้ก็ได้แต่ยิ้มขื่น ภูเขาเงินภูเขาทองลูกนี้อยู่ข้างเท้า แต่นางกลับไม่กล้าเอาไปมากเกิน ได้แต่ขุดก้อนอิฐเขียวก้อนหนึ่งขึ้นมาถือไว้ในมือ ดูดซับเอาแก่นชะตาน้ำมาเติมเต็มความว่างเปล่าของปราณวิญญาณในช่องโพรงลมปราณหลังจากผ่านศึกใหญ่มา
จากนั้นหกคนภายใต้การนำของหวนอวิ๋นก็หาตัวนักพรตซุนที่รู้จักกาลเทศะอย่างถึงที่สุดผู้นั้นเจอ
เกี่ยวกับข้อที่ว่าควรจะเว้นชีวิตคนผู้นี้หรือไม่ ความเห็นแบ่งออกเป็นสามต่อสาม จึงเกิดการคุมเชิงกัน
นักพรตซุนนั่งพังพาบอยู่กับพื้น ยอมรับชะตากรรมแล้ว
สุดท้ายเป็นผู้ฝึกยุทธเฒ่าที่เอ่ยหยอกล้อขึ้นมา บอกให้นักพรตเฒ่าหยิบเงินเทพเซียนออกมาหนึ่งเหรียญ แล้วลองโยนดูว่าได้หัวหรือก้อย หัวก็รอด ก้อยคือตาย
ทว่าขณะเดียวกันนั้นผู้ฝึกยุทธเฒ่าก็ได้แอบพูดกับอีกห้าคนที่เหลือว่า หากไอ้หมอนี่กล้าใช้ปราณวิญญาณบังคับเงินเทพเซียนออกมาจริงๆ เขาก็จะลงมือสังหารคนแล้ว
นักพรตซุนดวงดีอย่างถึงที่สุด ไม่เพียงแต่ไม่ทำตัวอวดฉลาด ยังโยนเงินเทพเซียนที่กลิ้งลงมาจากขั้นบันไดให้ออกมาเป็นด้านหัวได้ด้วย
คนทั้งหกจึงให้เขาเอาห่อสัมภาระสองใบไปส่งไว้ที่อารามเต๋าบนยอดเขา จากนั้นจะไปเดินเล่นที่ไหนก็ได้
นักพรตซุนมีสีหน้าทึ่มทื่อ ถึงขั้นลืมดีใจไปด้วยซ้ำ
ป๋ายปี้ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ผู้เฒ่าชุดดำที่ได้สมบัติไปมากที่สุดคนนั้น หากห้าวันผ่านไปแล้วยังอยู่ในอันดับแรก ต่อให้ต้องขุดดินลึกลงไปสามฉื่อ พวกเราก็ต้องลากตัวเขาออกมา แล้วร่วมแรงกันสังหารก่อนให้จงได้!”
ครั้งนี้แม้แต่หวนอวิ๋นและซุนชิงต่างก็ไม่มีความเห็นต่าง
หลังจากคนทั้งหกจากไปแล้ว นักพรตซุนก็สะพายห่อสัมภาระน้อยใหญ่สองใบนั้นเดินขึ้นเขาพลางปาดน้ำตาไปด้วย
ตอนที่เดินผ่านไผ่เขียวต้นนั้น จู่ๆ กลับนึกถึงสหายนักพรตเฉินขึ้นมา
และหลังจากสหายนักพรตเฉินผู้นั้นแน่ใจแล้วว่าด้านหลังไม่มีใครตามมาก็กระโดดขึ้นไปบนกิ่งไม้สูงของต้นไม้โบราณหนาใหญ่สูงเสียดฟ้าต้นหนึ่ง ทอดสายตามองไปยังทิศไกล
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นไม่กล้าขึ้นไป ด้วยกลัวว่าอยู่ดีๆ จะถูกเวทโจมตีของใครบางคนลอบสังหารเข้า
เฉินผิงอันก้มหน้าลง พูดกับคนผู้นั้นว่า “ได้แต่ส่งเจ้าไว้ที่นี่แล้ว หากอยู่กับข้าตลอดเวลา มีแต่จะเป็นการทำร้ายเจ้า จำไว้ว่าใช้ยันต์อำพรางตัวสองแผ่นนั้นให้ดี แค่แปะไว้บนร่างก็พอ หาสถานที่ห่างไกลที่เงียบสงบสักแห่งหนึ่ง จากนั้นก็อย่าเดินเพ่นพ่าน”
ไม่รอให้ชายฉกรรจ์เอ่ยปากรั้งตัว เฉินผิงอันก็ทะยานร่างออกไป พริบตาเดียวร่างก็หายวับไป
ชายฉกรรจ์ตระหนกลนลาน คิดไม่ถึงว่าจะมียันต์ห้าแผ่นร่วงลงมาจากจุดสูง เป็นยันต์โจมตีถึงสามแผ่น และยังมีอีกสองแผ่นที่เขาไม่รู้ที่มา
ชายฉกรรจ์กำยันต์ทั้งห้าแผ่นนั้นไว้แน่น แล้วก็พลันแผดเสียงร้องไห้โฮ แต่ไม่นานก็รีบหยุดเสียงร้อง จากนั้นก็เร่งเดินทางเงียบๆ ต่ออีกครั้ง
เฉินผิงอันเจอยอดเขาแห่งหนึ่งที่การมองเห็นเปิดกว้างซึ่งอยู่ห่างออกไปไกล เขาแปะยันต์แบกศิลาไว้บนร่าง แล้วยืนนิ่งไม่ขยับ สายตากวาดมองไปรอบด้าน
การขึ้นเขามาหาสมบัติในครั้งนี้ มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นมากมาย
มีคนไม่น้อยที่เขารู้จัก นอกจากผู้ฝึกตนอิสระที่ชื่อว่าจินซานแล้ว ยังมีท่านผู้เฒ่าที่มาช่วยประเดิมร้านผ้าห่อบุญของตน
และยังมีบรรพจารย์ผู้คุมกฎของจวนไช่เฉวี่ยที่เคยดื่มชาด้วยกันในร้านน้ำชาท่าเรือดอกท้อ ผู้ฝึกตนหญิงอู่ชวิน
อันที่จริงความประทับใจที่เขามีต่อทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่เลว
แต่ต่อจากนี้ไป กลับบอกได้ยากแล้ว
เพราะก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะมีนิสัยมีพฤติกรรมอย่างไร มีตบะมีสถานะแบบไหน ไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนเลวในสายตาของคนบนโลก ไม่ว่าจะทำอะไรก็ล้วนไม่มีทางทำให้คนอื่นรู้สึกประหลาดใจ ต่อให้จะเป็นคนที่ถูกฆ่าก็อาจจะมีเพียงความเจ็บแค้น เกลียดชัง เดือดดาล สิ่งเดียวที่ไม่มีคือความประหลาดใจ
เฉินผิงอันยืนเหม่อ
ทำไมจิตใจคนถึงไม่อาจทนรับการกระทบกระเทียบทุบตีได้ถึงขนาดนี้กันนะ?
แต่จุดที่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกอึดอัดจริงๆ กลับไม่ใช่จิตใจของคนอื่น แต่เป็นของตัวเขาเอง
ในเมื่อมีความคิดเช่นนี้ ก็แสดงว่าตัวเองมีจิตใจเช่นนี้
หลังจากที่มาถึงอุตรกุรุทวีป ทุกวันนี้เฉินผิงอันก็คอยฝึกตนอยู่ตลอดเวลา ทดลองที่จะกลายไปเป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาคนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังคอยฝึกขัดเกลาจิตใจอย่างต่อเนื่อง
เฉินผิงอันพลันนึกถึงคำพูดประโยคหนึ่งในตำราลัทธิเต๋า
และภายหลังต่อมา อริยะปราชญ์สำนักการทหารที่เขียนตำรามีชื่อเสียงซึ่งสืบทอดมาอย่างแพร่หลายท่านหนึ่งก็ได้เขียนอธิบายความเข้าใจของตัวเองและยืดขยายความหมายออกไปเพิ่มเติม
สองประโยคนั้นล้วนถูกเฉินผิงอันสลักลงบนแผ่นไม้ไผ่
ของฝ่ายหลังคือประโยคที่ว่า ทุกคนบนเรือ ล้วนอาจกลายเป็นศัตรู
นี่เป็นการเตือนจักรพรรดิในโลกมนุษย์ว่า การจัดการกิจธุระบ้านเมืองต้องให้ความสำคัญกับคุณธรรม ความอันตรายที่พบเจอระหว่างขุนเขาสายน้ำไม่ใช่อุปสรรคขัดขวางที่แท้จริง
ส่วนประโยคนั้นของลัทธิเต๋า หากว่ากันแค่ความหมายบนตัวอักษร ก็ถือว่ายิ่งใหญ่กว่าเล็กน้อย
อีกทั้งเฉินผิงอันยังรู้สึกว่าสภาพการณ์ของทุกคนในเวลานี้ซึ่งรวมถึงของตัวเขาเองด้วยล้วนสอดคล้องกับคำกล่าวนี้อย่างถึงที่สุด
ซ่อนเรือไว้ในหุบเขา ซ่อนขุนเขาไว้ในหนองน้ำ คิดว่ามั่นคงปลอดภัย กลางดึกกลับมีคนเปี่ยมพละกำลังมาแบกเอาพวกมันไป ทว่าคนโง่เขลายังนอนหลับฝันไม่รู้เรื่องราว
เฉินผิงอันอดคิดไม่ได้ว่า ตอนนี้ตัวเขาอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กที่เต็มไปด้วยอันตรายแห่งนี้ หรือตอนอยู่ในใต้หล้าไพศาลที่มีกฎเกณฑ์คอยให้การปกป้อง มองดูเหมือนไม่คล้ายคลึงกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วด้านพื้นฐานกลับเหมือนกันหรือไม่?
เรือและน้ำเปลี่ยนแปลง แต่กลับไม่มีใครรู้
เฉินผิงอันเริ่มจะเข้าใจแล้วว่า ขอบเขตสะอาดบริสุทธิ์ที่ลัทธิเต๋าแสวงหานั้น หาได้ยากเพียงใด
ก็เหมือนกับการล่องเรือมายากลางอากาศ เบื้องหน้าไร้คนเบื้องหลังไม่มีใคร จะซ้ายหรือขวาก็เดียวดาย แล้วก็ไร้พันธนาการ ไร้ผลกรรมพัวพัน
เฉินผิงอันถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที
ความรู้บางอย่าง เมื่อศึกษาอย่างลึกซึ้งแล้ว หากยังไม่เข้าใจกระจ่างแจ้งก็จะทำให้คนยิ่งรู้สึกโดดเดี่ยวเป็นทบทวี มองไปทางใดก็มีแต่ความเคว้งคว้างว่างเปล่า
เฉินผิงอันเริ่มเข้าฌานทำสมาธิ สะสมพละกำลังรอคอยอยู่เงียบๆ
หากเกิดการเข่นฆ่ากันขึ้นมาจริงๆ ตัวการที่จะหาตนเจอก่อนใครย่อมต้องเป็นผู้เฒ่ายอดฝีมือด้านยันต์คนนั้นอย่างแน่นอน
ห้าวันผ่านไป
สิบแปดคนที่ต้องตายอย่างแน่นอน นอกจากชายฉกรรจ์ผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่สะดุดตาซึ่งอยู่อย่างโดดเดี่ยวคนนั้นแล้ว คนที่เหลือล้วนตายไปหมด
จากนั้นรอจนเทพหญิงชุดขาวและองค์เทพชุดเขียวอีกสององค์ปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง เมื่อม่านน้ำใหญ่ผุดลอยขึ้นมาก็มีคนตายไปอีกไม่น้อย
เพราะพระราชโองการนั้นบอกไว้อย่างชัดเจนว่า คนที่ฆ่าคนอื่นได้มากที่สุด มีหวังว่าจะได้กลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนที่สอง
ดังนั้นผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตประตูมังกรและปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในกลุ่มคนหกคนจึงพากันลงมือสังหารญาติสนิทมิตรสหายอย่างไม่ลังเล
เดิมทีก็ต้องตายอยู่แล้ว ตายช้าด้วยน้ำมือของคนอื่นก็ไม่สู้ให้พวกเขาสองคนลงมือเอง
ภาพนั้นทำให้หลิ่วกุยเป่าที่มองดูอยู่มีสีหน้าเย็นชาประดุจน้ำค้างแข็ง
บัณฑิตหนุ่มที่หลบอยู่ข้างกายอู่ชวินและเด็กสาวทอดถอนใจอย่างเศร้าอาลัย “ทำไมต้องกระทำการป่าเถื่อนเช่นนี้ด้วย”
เป็นอย่างที่ผู้ฝึกตนหนุ่มของนครเหนือเมฆคาดการณ์ไว้จริงๆ ก่อนที่กำหนดเวลาจะมาถึง ผู้ถวายงานตระกูลของตนก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างกายพวกเขาอย่างตรงเวลา เขาตีหญิงสาวให้สลบไปก่อน จากนั้นก็ร่ายเวทกักกันร่างของเขาเอาไว้ ทำให้ไม่อาจพูด ไม่อาจขยับตัว จากนั้นก็เอาวัตถุฟางชุ่นชิ้นนั้นวางไว้ในมือเขา แล้วผู้ถวายงานเฒ่าถึงได้ออกไปจากห้อง ไปซ่อนตัวอยู่ห่างไปไม่ไกล ส่วนสมบัติและโชควาสนาทั้งหมดที่ได้มาก่อนหน้านี้ก็ล้วนถูกนำไปซ่อนไว้ก่อนชั่วคราว
แต่นี่ไม่ใช่จุดที่ทำให้ใจของบุรุษหนุ่มเยียบเย็นที่สุด
เพราะในช่วงเวลาเช่นนี้ หวนอวิ๋นเจินเหรินผู้เฒ่ากลับไม่ได้ปรากฏตัวเลยตั้งแต่ต้นจนจบ
หรืออันที่จริงเขาอาจจะปรากฏตัวแล้ว แต่เจินเหรินผู้เฒ่ากลับเลือกที่จะนิ่งดูดาย
เพราะฉะนั้นผู้ฝึกตนหนุ่มของนครเหนือเมฆจึงยังอยู่เป็นอันดับที่สองของกระดาน
คนที่อยู่อันดับล่างสุด คือหวนอวิ๋นเจินเหรินผู้เฒ่าที่จะมีรายชื่ออยู่บนกระดานคราวนี้หรือไม่ก็ไม่สำคัญแล้ว
คนที่สี่คือคุณชายชุดขาวที่คลี่ยิ้มเจิดจ้า แต่บนชุดสีขาวของเขามีคราบเลือดเปรอะเปื้อน ตอนนี้เขาอยู่ในห้องหนังสือที่เรียบง่ายแห่งหนึ่ง ในห้องหนังสือมีกระบวยน้ำเต้าอันใหญ่สีออกเหลืองแขวนไว้บนผนัง
คนผู้นี้ยังไม่ลืมโบกมือไปทางม้วนภาพภูเขาสายน้ำ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ทุกท่านจงไปดี ไปตายกันเสียให้หมด”
จากนั้นเขาก็เอ่ยว่า “หวงซือ พี่น้องหวง กำลังเป็นเทพทวารบาลให้ข้าอยู่ข้างนอกใช่ไหม ลำบากแล้วๆ ขอให้เจ้ามีอายุยืนยาวเป็นร้อยปี”
คนที่สามบนกระดานคือชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมมที่ซ่อนตัวอยู่ในหลุมใหญ่กลางภูเขา เขานั่งขัดสมาธิ เหนือศีรษะมีกิ่งไม้ต้นหญ้าสุมทับปิดเอาไว้ จากนั้นก็โบกทับด้วยโคลนอีกชั้น ทว่าในม้วนภาพภูเขาสายน้ำนั้น ข้างในกลับสว่างไสวราวกับเวลากลางวัน
หวงซือชำเลืองตามองม้วนภาพแล้วชูนิ้วกลาง
ไม่เพียงเท่านี้ อยู่ดีๆ เขากลับลุกพรวดขึ้นยืน กระโดดออกมานอกหลุม ข้างนอกนั้นมีลักษณะเหมือนประตูถ้ำที่มีไอเมฆหมอกห้าสีแผ่คลุมปิดประตูเอาไว้ เนิ่นนานก็ไม่สลายหายไปไหน
ที่แท้หวงซือที่ไล่ฆ่าตี๋หยวนเฟิงมาตลอดทางจนถึงที่นี่ ตี๋หยวนเฟิงที่บาดเจ็บสาหัสไม่เพียงแต่ไม่ตาย กลับกันยังหนีเข้ามาที่นี่ รอจนตี๋หยวนเฟิงบุกเข้ามาในไอหมอกห้าสีของถ้ำแห่งนี้แล้ว กลับกลายเป็นว่าให้ตายอย่างไรหวงซือก็ฝ่าพันธนาการนี้ไม่ได้
ดังนั้นหวงซือจึงคิดจะวางแผนเล่นงานเจ้าตะพาบน้อยผู้นี้
ส่วนข้อที่ว่าตี๋หยวนเฟิงต้องคาดเดาถึงการกระทำนี้ของเขาได้นั้น ก็อยู่ในการคาดการณ์ของหวงซืออยู่แล้ว
คนที่อยู่อันดับหนึ่งยังคงเป็นผู้เฒ่าชุดดำใบหน้าแก่ชรา ดูเหมือนว่าเขาจะไปหลบอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ภาพของเขาก็ปรากฏบนม้วนภาพภูเขาสายน้ำอย่างชัดเจนเช่นกัน เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้แล้วก็ยังคงสะพายกระบี่ พาดห่อสัมภาระสองใบเอียงๆ ไว้บนร่างเหมือนเดิม ดูเหมือนว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ผู้เฒ่าชุดดำมองม้วนภาพแล้วก็คล้ายจะอับอายจนพานเป็นความโกรธ เขาพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “อะไรกันๆ ไม่จบไม่สิ้นสักทีหรือ? ใครกล้าตามหาตัวข้า ข้าผู้อาวุโสก็จะฆ่าคนคนนั้น ข้าผู้อาวุโสมีเวทกระบี่ติดกาย หากคิดจะอำมหิตขึ้นมา แม้แต่ตัวเองก็ยังฟันได้!”
ตรงซากปรักอารามเต๋าบนยอดเขา นักพรตซุนที่เตรียมพร้อมรอความตายเห็นภาพนี้เข้าก็ทอดถอนใจอย่างปลงสังเวช
หลายวันมานี้เขารออยู่บนยอดเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ได้แต่เดินไปด้านหลังภูเขามารอบหนึ่ง น่าเสียดายที่ต้องกลับมาพร้อมความผิดหวัง
ห้าวันมานี้มีคนมากมายทยอยกันเคลื่อนย้ายวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินมาไว้บนยอดเขา ดังนั้นนอกจากซากปรักอารามเต๋าแล้ว ตอนนี้จึงมีภูเขาลูกน้อยๆ ผุดขึ้นมาอีกหนึ่งลูก
ตอนนี้นักพรตซุนคร้านจะมองภูเขาสมบัติสมชื่อของจริงนั่นแล้ว
เพราะพวกมันล้วนเป็นหายนะทั้งสิ้น
——