ชุยฉานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สิ่งที่ฉีจิ้งชุนชอบทำมากที่สุดในชีวิตนี้ก็คือเรื่องที่ต้องเหนื่อยยาก แต่กลับไม่ได้ผลประโยชน์ เกรงว่าความเคลื่อนไหวที่ข้าสร้างขึ้นในแจกันสมบัติทวีปคงรุนแรงเกินไป รุนแรงจนกระเทือนไปถึงซิ่วไฉเฒ่าที่ตัดขาดความสัมพันธ์กันไปนานแล้ว ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องมาดูให้เห็นเองกับตาว่าข้ากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ถึงจะกล้าวางใจ เขาต้องมีความรับผิดชอบต่อสรรพชีวิตในหนึ่งทวีป เขารู้สึกว่าไม่ว่าพวกเราเป็นใคร ยามที่ไขว่คว้าแสวงหาเรื่องหนึ่ง หากจำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทน ขอแค่ตั้งใจแล้วตั้งใจอีก ก็จะสามารถทำผิดได้น้อยลง ส่วนเรื่องการแก้ไขความผิดและการชดเชยสิ่งที่ทำผิดไปนั้น ก็คือภาระหน้าที่ของคนเป็นบัณฑิต บัณฑิตจะเอาแต่พูดว่าจะตอบแทนบ้านเมืองอย่างเดียวไม่ได้ ข้อนี้ก็เหมือนกับเจ้าตอนที่อยู่ทะเลสาบซูเจี่ยน ชอบแบกภาระไว้บนบ่าตัวเอง ไม่อย่างนั้นสถานการณ์ตายคราวนั้น จุดตายอยู่ที่ไหน? สังหารกู้ช่านไปโดยตรง ในอนาคตก็เป็นเซียนกระบี่ของเจ้าไป นั่นก็คือเรื่องงดงามที่ไม่เล็กเรื่องหนึ่งแล้ว”
เฉินผิงอันไม่เอ่ยคำใด
ชุยฉานยิ้มกล่าว “รู้ว่าเจ้าไม่เชื่อ ไม่เป็นไร ข้าพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า ถือเป็นเรื่องส่วนตัว ย่อมต้องมีใจที่เห็นแก่ตัว”
ชุยฉานถาม “เคยคิดหรือไม่ว่า อาเหลียงสนิทกับฉีจิ้งชุนมากขนาดนั้น ปีนั้นตอนที่อยู่เมืองหลวงต้าหลี เหตุใดถึงยังไม่ฆ่าข้า แม้แต่อดีตฮ่องเต้ต้าหลีก็ยังไม่ฆ่า เพียงแค่ทำลายป๋ายอวี้จิงจำลองแห่งนั้น แล้วยังมอบอายุขัยให้แก่อดีตฮ่องเต้อีกสามปี?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่รู้สิ”
ชุยฉานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่สู้อิงตามทฤษฎีเส้นสายของนักพรตจมูกโคบางคนดู ลองนึกถึงเรื่องแน่นอนที่เจ้าเห็นอยู่ในสายตาแล้วให้มากหน่อย แล้วลองอนุมานดู อันที่จริงนี่ไม่ใช่เรื่องยากเลย”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “กองทัพม้าเหล็กต้าหลีกรีฑาทัพลงใต้ด้วยความรวดเร็วก่อนกำหนด เร็วกว่าที่ประมาณการณ์ไว้ไปมาก เพราะอดีตฮ่องเต้ต้าหลีก็มีใจที่เห็นแก่ตัว เขาหวังว่าตอนที่ตัวเองยังมีชีวิตอยู่ จะได้เห็นชายหาดทะเลทักษิณของแจกันสมบัติทวีปร่วมกับกองทัพม้าเหล็กต้าหลีสักครั้ง”
ชุยฉานยื่นนิ้วชี้ไปยังจุดหนึ่ง “แล้วลองมองภูเขาห้อยหัวกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ดู”
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “สงครามใหญ่ที่ตัดสินว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่จะเป็นของใครในคราวนั้น ได้อาเหลียงเป็นผู้กอบกู้สถานการณ์ การอนุมานของสกุลลู่สำนักหยินหยางไม่ได้ดูที่ขั้นตอน แต่ดูแค่ผลลัพธ์เท่านั้น สุดท้ายแล้วก็เกิดข้อผิดพลาดครั้งใหญ่”
ชุยฉานขยับนิ้วเบี่ยงมาเล็กน้อย “แล้วใบถงทวีปเล่าเป็นอย่างไร”
เฉินผิงอันกล่าว “ดูเหมือนมีโชคดีที่คอยปกป้องทั้งทวีป เป็นเหตุให้แผนการของเผ่าปีศาจปรากฏให้เห็นแต่เนิ่นๆ จึงผ่านพ้นหายนะไปได้ หากสมมติว่าเผ่าปีศาจสามารถตีกำแพงเมืองได้แตกจริงๆ ใบถงทวีปก็จะไม่เหมาะให้กลายเป็นทิศทางแรกในการโจมตี อันตรายจะมุ่งหน้าเข้าหาทักษินาตยทวีปกับฝูเหยาทวีปมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายหลัง”
ชุยฉานชี้ไปที่พื้น “อาณาเขตของแจกันสมบัติทวีปพวกเราเป็นอย่างไร?”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งอึก “มีขนาดเล็กที่สุดในบรรดาเก้าทวีปของใต้หล้าไพศาลเรา”
ชุยฉานถามอีก “อาณาเขตมีเล็กใหญ่ แล้วโชคชะตาของแต่ละทวีปมีแบ่งเล็กใหญ่ด้วยไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า ไม่มี
นิ้วของชุยฉานที่ชี้ไปบนพื้นดินขยับไปทางทิศใต้อย่างต่อเนื่อง “เจ้ากำลังจะไปเยือนอุตรกุรุทวีป ถ้าอย่างนั้นระยะห่างระหว่างแจกันสมบัติทวีปกับใบถงทวีปก็ไม่ถือว่าไกลกันสักเท่าไหร่?”
เฉินผิงอันกำน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แน่น เอ่ยว่า “เมื่อเทียบกับทวีปอื่นๆ ที่เหลือก็เรียกได้ว่าใกล้มาก”
ชุยฉานยกมือขึ้น ชี้ไปที่ด้านหลัง “ก่อนหน้านี้ผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีปพากันขี่กระบี่เร่งรุดเดินทางไปให้ความช่วยเหลือยังกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างมืดฟ้ามัวดิน เจ้าเองก็เห็นกับตาใช่หรือไม่?”
เหงื่อผุดซึมที่หน้าผากของเฉินผิงอัน เขาพยักหน้ารับอย่างยากลำบาก
ชุยฉานคลี่ยิ้ม “ก่อนหน้านี้ไม่โทษที่เจ้ามองสถานการณ์ใหญ่ของใต้หล้าเหล่านี้ไม่ออก ถ้าอย่างนั้นตอนนี้หนึ่งในต้นตอของเส้นสายได้ปรากฏขึ้นแล้ว ข้าขอถามเจ้าก่อนว่า เจ้าอารามผู้เฒ่าตงไห่แห่งอารามกวานเต๋าคิดอยากจะแข่งกับมรรคาจารย์เต๋าว่าใครมีมรรถกถาสูงกว่าใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ชุยฉานถามอีก “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่า เหตุใดคนบนโลกถึงได้ชอบเรียกนักพรตเต๋าอย่างขบขันว่านักพรตจมูกโค?”
เฉินผิงอันกล่าว “เพราะมีคำเล่าลือบอกว่ามรรคาจารย์เต๋าเคยขี่วัวดำตัวหนึ่งท่องเที่ยวไปทั่วใต้หล้าแห่งต่างๆ”
ชุยฉานพูดปลงอนิจจังเสียงเบา “นี่คือหนึ่งในต้นตอของเส้น เจ้าอารามผู้เฒ่าท่านนั้น เดิมทีก็เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่ดำรงอยู่บนโลกมายาวนานที่สุด อายุของเขามากจนเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้ถึง”
เฉินผิงอันผูกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ให้เรียบร้อย ใช้สองมือนวดคลึงซีกแก้ม ฝ่ามือสองข้างเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
ที่แท้ตัวตนที่แท้จริงของเจ้าอารามกวานเต๋าอย่างนักพรตผู้เฒ่าตงไห่ก็เป็นเช่นนี้เอง
ชุยฉานยิ้มกล่าว “ไม่สู้เจ้าลองคิดถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดนั่นดู หากเด็กหนุ่มของสำนักฝูจีที่เป็นผู้ไปเจอแผนการของปีศาจใหญ่ซึ่งเป็นคนนำฝั่งของต้นตอเส้นสายที่เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดไปมอบให้แก่ใบถงทวีป คือฝีมือของนักพรตเฒ่าเล่า? แน่นอนว่าเด็กหนุ่มคนนั้นย่อมไม่ได้ตั้งใจ แต่นักพรตผู้เฒ่ากลับมีใจแล้ว”
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หลับตาลง ใช้ท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูมาสงบจิตใจ
ความคิดวุ่นวายวกวนประหนึ่งเกล็ดหิมะปลิวปราย
ต่อให้ไม่สนใจการดำรงอยู่หรือล่มสลายของใบถงทวีป แต่คนที่รู้จักเหล่านั้นเล่า จะทำอย่างไร?
“แนะนำเจ้าหนึ่งคำ อย่าได้วาดงูเติมขา เชื่อหรือไม่ก็ตามใจเจ้า คนที่เดิมทีจะไม่ตาย อาจถึงขั้นได้รับโชคดีหลังโชคร้าย แต่พอเจ้าพูด เกินครึ่งกลับจะต้องกลายเป็นว่าสมควรตายและต้องตาย ก่อนหน้านี้ก็บอกไว้แล้วว่า โชคดีที่พวกเรายังมีเวลา”
เห็นได้ชัดว่าชุยฉานไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่นัก เฉินผิงอันจะทำอย่างไร เขาไม่ถือสาแม้แต่น้อย เขาเพียงแต่เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ปีนั้นข้าเองก็เคยท่องเที่ยวไปทั่วใต้หล้า และหนึ่งในความรู้อันเป็นรากฐานของข้า นอกจากทฤษฎีคุณความชอบที่ซิ่วไฉเฒ่าไม่เห็นดีเห็นงาม ยังมีทฤษฎีอีกสองคำว่าเล็กน้อยด้วย ดังนั้นก่อนหน้าที่ข้าจะเหยียบลงบนแจกันสมบัติทวีปก็ได้เชื่อมั่นในสองเรื่องแล้ว การโจมตีกำแพงเมืองปราณกระบี่ของเผ่าปีศาจเป็นสถานการณ์ที่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน! หากเผ่าปีศาจรุกรานเข้ามาในใต้หล้าไพศาลได้ การโจมตีใบถงทวีปก็เป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว! ขอแค่ยึดใบถงทวีปไว้ได้ แจกันสมบัติทวีปเล็กๆ จะนับเป็นอะไรได้? อุตรกุรุทวีปที่ยอดฝีมือผู้ฝึกกระบี่ถูกระดมพลออกมาเกินครึ่งเล่าจะนับเป็นอะไรได้?! ธวัลทวีปที่มีแต่พวกพ่อค้าเดินกันให้เกลื่อน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง จะมีความกล้าหาญสักเท่าไหร่กันเชียว?”
ชุยฉานโบกมือเป็นวงกว้าง “อย่างน้อยพื้นที่ของสามทวีปก็จะต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกเขาในเสี้ยววินาที! หากธวัลทวีปเลือกจะประเมินสถานการณ์รอดูการเปลี่ยนแปลง เลือกจะยอมแพ้โดยที่ไม่สู้รบ ต่อให้ถอยไปหนึ่งก้าว ธวัลทวีปเลือกจะเป็นกลาง ไม่ให้ความช่วยเหลือใครทั้งนั้น เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งด้อยลง อีกฝ่ายหนึ่งแข็งแกร่งขึ้น ใครกันที่จะสูญเสียมากกว่า? เมื่อเป็นเช่นนี้ เผ่าปีศาจก็จะได้ครอบครองดินแดนที่แท้จริงและโชคชะตาของกี่ทวีป? นี่ถือว่าลงหลักปักฐานได้อย่างมั่นคงแล้วหรือไม่? นับรวมกันแล้วใต้หล้าไพศาลมีแค่กี่ทวีปเอง? จากนั้นเผ่าปีศาจก็หันไปวางแผนฮุบกลืนหลิวเสียทวีป (หลิวเสียมีสามความหมาย หนึ่งคือแสงเรืองรองบนก้อนเมฆที่สลายหายไป สองคือชื่อของเหล้าเซียนชนิดหนึ่ง สามหมายถึงสุราเลิศรส) ที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ คิดจริงๆ หรือว่าจะเป็นอย่างที่พวกอวดฉลาดบางคนคิดไว้ว่า ขอแค่เผ่าปีศาจบุกเข้ามาได้ก็จะปิดประตูตีสุนัข? กลับกลายเป็นว่าใต้หล้าไพศาลจะสามารถฉวยโอกาสนี้ยึดครองใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้ในรวดเดียว?”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนช้าๆ “ข้าเข้าใจแล้ว”
ไม่เพียงแต่เข้าใจว่าเหตุใดชุยตงซานถึงได้ถามคำถามนั้นตอนที่อยู่สำนักศึกษาซานหยา
ยังเข้าใจด้วยว่าเหตุใดปีนั้นอาเหลียงถึงไม่ได้ลงมือเข่นฆ่าราชวงศ์ต้าหลีให้สิ้นซาก
ชุยฉานแผดเสียงหัวเราะดังลั่น เขากวาดตามองไปรอบด้านพลางเอ่ยว่า “ต่างก็บอกกันว่าข้าชุยฉานมีจิตใจทะเยอทะยาน คิดจะผลักดันให้ความรู้ของตัวเองเป็นที่นิยมไปทั่วทวีป? แค่เป็นราชครูของหนึ่งแคว้นในหนึ่งทวีปก็ถือว่าจิตใจทะเยอทะยานแล้วหรือ?”
ใบหน้าของชุยฉานเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน จุ๊ปากโคลงศีรษะ “หนึ่งหมัดต่อยหนึ่งขุนเขาทลาย หนึ่งกระบี่สังหารพันหมื่นคน ร้ายกาจนักหรือ? สาแก่ใจนักหรือ? ภายใต้สถานการณ์ใหญ่ เจ้าเฉินผิงอันสามารถรอดู นับนิ้วคำนวณได้เลย ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนของใบถงทวีปแห่งนั้นไม่สนหรอกว่าเจ้าจะดีหรือเลว ถึงท้ายที่สุดแล้วจะเหลือภูเขาสักกี่ลูก จะเหลือเทพเซียนรอดชีวิตสักกี่คน! แล้วค่อยมาดูกันว่าเผ่าปีศาจที่กรูกันขึ้นฝั่งของใบถงทวีปจะเก็บเงินหรือไม่ จะมีเหตุผลหรือไม่”
มุมปากของชุยฉานกระตุกขึ้น “ทุกอย่างล้วนต้องมีกลับคืน”
ชุยฉานยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งทำเป็นมีดที่ตวัดฟันลงเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว “ตอนนั้นที่อาเหลียงอยู่เมืองหลวงต้าหลีไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กับข้าแม้แต่คำเดียว แต่ตอนนั้นข้าก็ยิ่งแน่ใจแล้วว่า อาเหลียงเชื่อว่าผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดนั่นจะต้องมาถึงอย่างแน่นอน ก็เหมือนฉีจิ้งชุนในปีนั้น เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับว่าพวกเขายอมรับคนอย่างข้าชุยฉานหรือไม่ ดังนั้นข้าจึงต้องการให้บัณฑิตทุกคนในใต้หล้าไพศาล และพวกสัตว์เดรัจฉานของใต้หล้าเปลี่ยวร้างพวกนั้นได้เบิกตาดูดีๆ ว่า ข้าชุยฉานอาศัยกำลังของคนคนเดียว ถ่ายโอนทรัพยากรของหนึ่งทวีปมาเป็นกองกำลังของหนึ่งแคว้น ใช้นครมังกรเฒ่าเป็นจุดศูนย์กลาง สร้างเส้นแนวป้องกันที่เป็นกำแพงเหล็กขึ้นริมมหาสมุทรทักษิณของแจกันสมบัติทวีปได้อย่างไร!”
พอชุยฉานสะบัดชายแขนเสื้อ ลมก็พัดกระโชกแรง ก้อนเมฆเคลื่อนแตกออกจากกัน
ยอดเขาของภูเขาลั่วพั่วพลันมีเมฆหมอกลอยหนาขมุกขมัว
ฟ้าดินมืดดำ ยื่นฝ่ามือออกไปก็มองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า ขณะเดียวกันเฉินผิงอันก็ค้นพบว่าใต้ฝ่าเท้าของตัวเองเริ่มค่อยๆ มีภาพภูเขาแม่น้ำของแต่ละพื้นที่ลอยขึ้นมา กระจัดกระจายดั่งดวงดาว ประหนึ่งแสงตะเกียงที่จุดในหมื่นครัวเรือนของหมู่ชาวบ้าน
ทักษินาตยทวีป ฝูเหยาทวีปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ใบถงทวีปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ กุรุทวีปที่แย่งคำว่าอุตรไป ธวัลทวีปที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ ทวีปเกราะทองทางตะวันตก และหลิวเสียทวีปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
สุดท้ายถึงเป็นทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่เป็นประหนึ่งดวงเดือนซึ่งถูกห้อมล้อมด้วยดวงจันทร์
ท้องฟ้ากลมแผ่นดินสี่เหลี่ยม
นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเดิมทีใต้หล้าไพศาลก็เป็นหนึ่งใน ‘เศษชิ้นส่วน’ อยู่แล้ว ใต้หล้ามืดสลัวที่มีลัทธิเต๋าเฝ้าพิทักษ์ หรือใต้เปลี่ยวร้างก็ล้วนเป็นเช่นเดียวกัน
เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป สุดท้ายก็ยังคงไม่ได้ถามคำถามนั้นออกมา เพราะว่าตัวเองมีคำตอบแล้ว
เหตุใดเจ้าชุยฉานถึงไม่ป่าวประกาศเรื่องนี้แก่ใต้หล้า
เพราะพูดไปก็ไม่มีใครฟัง ต่อให้ฟังก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเชื่อ
หากคำพูดของเขาตรงตามความจริง เผ่าปีศาจก็ย่อมมีแผนการรับมือรออยู่ก่อนแล้ว
ชุยฉานเบี่ยงประเด็นไปพูดเรื่องอื่นพร้อมยิ้มบางเบา “เคยมีคำทำนายโบราณอย่างหนึ่งที่ไม่แพร่หลายนัก เกรงว่าคนที่เชื่อก็คงเหลืออยู่ไม่มากแล้ว ตอนที่ข้าเป็นเด็กหนุ่มเคยเปิดตำราไปเจอประโยคนั้นโดยบังเอิญ ตอนที่เห็นก็ยังรู้สึกว่าตัวเองติดค้างสุราคนผู้นั้นหนึ่งจอกจริงๆ คำทำนายนั้นก็คือ ‘สำนักแห่งศาสตร์ครอบครองใต้หล้า’ ไม่ใช่สำนักแห่งศาสตร์ของนักศาสตร์อาคมสายรองของสำนักหยินหยาง แต่เป็นศาสตร์แห่งการคำนวณที่เป็นความรู้ระดับล่างสุดในบรรดาเมธีร้อยสำนัก สำนักศาสตร์ที่ถูกคนดูแคลนยิ่งกว่าสำนักการค้าที่ต่ำต้อยเสียอีก ผลประโยชน์ที่ได้จากทฤษฎีความรู้อันเป็นเป้าประสงค์ถูกหัวเราะเยาะว่าเป็นได้แค่รางลูกคิด…ของนักบัญชีอย่างสำนักการค้าเท่านั้น”
“ความรู้มากมายของพวกเราสามลัทธิและเมธีร้อยสำนัก เจ้ารู้หรือไม่ว่าบกพร่องตรงที่ใด? อยู่ที่ไม่สามารถคิดคำนวณได้ ไม่พูดถึงเส้นสาย แต่โน้มเอียงไปทางการถามใจตัวเองมากกว่า ชอบแสวงหามหามรรคาในจุดสูงที่ว่างเปล่า ไม่ยินดีวัดเส้นทางที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าให้ถูกต้องแม่นยำ เป็นเหตุให้เมื่อคนรุ่นหลังปฏิบัติตามทฤษฎีความรู้ เริ่มออกเดิน จึงเกิดปัญหา ส่วนเหล่าอริยะทั้งหลายก็ไม่เชี่ยวชาญ แล้วก็ไม่ยินดีจะอธิบายอย่างละเอียด แค่สามพันถ้อยคำที่มรรคาจารย์เต๋าทิ้งไว้ก็รู้สึกว่ามากพอแล้ว ศาสดาพุทธก็ยิ่งไม่มีการทิ้งตัวอักษรใดๆ ไว้ ความรู้อันเป็นรากฐานของปรมาจารย์มหาปราชญ์ท่านนั้นของพวกเราก็เป็นหลักคำสอนที่ลูกศิษย์เจ็ดสิบสองคนช่วยกันรวบรวมขึ้นเป็นคัมภีร์”
ชุยฉานหันมามองเฉินผิงอันที่จิตใจแกว่งไกว “เหตุใดเจ้าเฉินผิงอันถึงต้องเผชิญความยากลำบากมากขนาดนั้นในทะเลสาบซูเจี่ยน? เพราะเจ้ารู้หลักการเหตุผลน้อย? คนและเรื่องราวที่พบเจอมามีน้อย? ทฤษฎีเรื่องการเรียงลำดับขั้นตอนของซิ่วไฉเฒ่า แย่? ข้าว่าไม่แน่เสมอไปหรอก”
เฉินผิงอันไม่ยินดีจะพูดเรื่องนี้ให้มากความ
แต่กลับถามว่า “เหตุใดถึงต้องเปิดเผยความลับสวรรค์พวกนี้กับข้า?”
ชุยฉานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ก่อนที่สถานการณ์หมากในทะเลสาบซูเจี่ยนจะเริ่มต้นขึ้น ข้ามีข้อตกลงกับตัวเอง ขอแค่เจ้าชนะ ข้าก็จะพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า ถือว่าเป็นการตัดขาดกับเจ้าและฉีจิ้งชุน”
เฉินผิงอันถาม “ชนะ? เจ้ากำลังพูดเรื่องตลกอยู่หรือ?”
ชุยฉานพยักหน้ารับ “ก็คือเรื่องตลก”
ชุยฉานสะบัดชายแขนเสื้อ ภาพอาณาเขตของภูเขาแม่น้ำก็หายวับไปในชั่วพริบตา เขาพูดเสียงหยันว่า “เจ้า ฉีจิ้งชุน อาเหลียง ซิ่วไฉเฒ่า และยังมีเฉินชิงตู เฉินฉุนอันในอนาคต เรื่องที่พวกเจ้าทำไม่เรียกว่าเป็นเรื่องตลกในสายตาของคนมากมายที่ชอบเรียกตัวเองว่าคนฉลาดหรอกหรือ?”
ชุยฉานหันหน้ามามองคนหนุ่มที่สวมชุดเขียว ปักปิ่นหยก รัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ผู้นี้ มือกระบี่ จอมยุทธพเนจร บัณฑิต?
ชุยฉานยื่นนิ้วชี้ไปที่หัวสมองของตัวเอง แล้วกล่าวว่า “สถานการณ์หมากล้อมของทะเลสาบซูเจี่ยนสิ้นสุดลงแล้ว แต่ชีวิตคนไม่ใช่สถานการณ์หมากล้อมอะไรทั้งนั้น ไม่สามารถเริ่มใหม่ได้ทุกครั้ง ดีหรือเลว อันที่จริงล้วนยังอยู่ในนี้ของเจ้า ดูตามเส้นสายสภาพหัวใจของเจ้าในตอนนี้ หากยังเดินตามเส้นทางนี้ต่อไป การประสบความสำเร็จก็ไม่แน่เสมอไปว่าต้องต่ำ แต่ถูกกำหนดมาแล้วว่าเจ้าจะทำให้คนบางส่วนผิดหวัง แต่ก็จะทำให้คนบางส่วนดีใจ และทั้งสองฝ่ายที่ไม่ว่าจะผิดหวังหรือดีใจก็ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับดีเลวเช่นกัน แต่ข้ากล้าแน่ใจเลยว่า เจ้าต้องไม่ยินดีรับรู้คำตอบนั้น ไม่อยากรู้ว่าสองฝ่ายที่ว่าเป็นใครบ้าง”
เฉินผิงอันมองราชครูต้าหลีท่านนี้
เขาเหมือนกับเด็กหนุ่มชุยตงซานจริงๆ แต่กลับกลายเป็นคนสองคนโดยสิ้นเชิงแล้ว
ชุยฉานยิ้มเอ่ย “แม้แต่เจ้าเฉินผิงอันยังเหมือนอริยะผู้มีคุณธรรมแล้ว วิถีทางโลกช่างมหัศจรรย์จริงๆ บอกตามตรง ข้ากลับรู้สึกเสียใจนิดๆ กับการเลือกของตัวเองในตอนนั้นแล้ว ความรุ่งเรือง การล่มสลายของใต้หล้า เกี่ยวบ้าอะไรกับข้าด้วย?”
ดูเหมือนจะเป็นคำพูดที่เอ่ยออกมาตามความรู้สึก ในที่สุดชุยฉานจึงเอ่ยสองประโยคที่ไม่เกี่ยวกับสถานการณ์ใหญ่ออกมา
“จวนหรูหราโอ่อ่า หอสูงร้อยจั้ง ประคองแสงจันทร์หนึ่งดวงได้ไหว หมู่ชาวบ้านร้านตลาด ตักน้ำกลับบ้าน ก็พกแสงจันทร์สองดวงกลับไปไหวเช่นกัน”
“นับแต่โบราณมา นักดื่มเมาได้ยากที่สุด”
เฉินผิงอันกลับลงไปนั่งบนขั้นบันไดอีกครั้ง ปลดน้ำเต้าลงมา ยกมืออยู่หลายครั้ง ทว่ากลับไม่ได้ดื่มเหล้าสักอึก
ชุยฉานเอ่ย “ในใจของเจ้า ฉีจิ้งชุนที่เป็นบัณฑิต อาเหลียงที่เป็นมือกระบี่ ประหนึ่งดั่งดวงตะวันดวงจันทราบนนภาที่คอยชี้นำทางให้แก่เจ้า ช่วยให้เจ้าเดินทางได้ทั้งยามกลางวันและกลางคืน ตอนนี้ข้าบอกเรื่องพวกนี้กับเจ้า จุดจบของฉีจิ้งชุนเป็นอย่างไร เจ้าก็ได้รู้แล้ว การออกกระบี่ของอาเหลียง รวดเร็วสาแก่ใจหรือไม่ เจ้าเองก็รู้ดี ถ้าอย่างนั้นปัญหาก็มาแล้ว เฉินผิงอัน เจ้าคิดดีแล้วจริงๆ หรือว่าหลังจากนี้จะเดินไปอย่างไร?”
เฉินผิงอันเงียบงันไม่ตอบคำถาม
ชุยฉานจึงจากไป
เพราะคำตอบเป็นอย่างไร อันที่จริงชุยฉานไม่ได้สนใจนัก
เฉินผิงอันทิ้งตัวนอนหงาย กอดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้บนร่าง หลับตาลง
อยู่ดีๆ ก็นึกถึงประโยคที่สลักอยู่บนผนังร้านเหล้าหวงเหลียงของภูเขาห้อยหัว ตัวอักษรบิดๆ เบี้ยวๆ เหมือนไส้เดือนเลื้อย
เป็นประโยคที่อาเหลียงเขียนให้อาจารย์ฉี
ยุทธภพไม่มีอะไรดี ก็มีเพียงสุราที่นับว่ายังใช้ได้
เฉินผิงอันพลันลืมตา ลุกขึ้นยืน พูดในใจตัวเอง
เส้นแสงสีทองยาวเส้นหนึ่งพุ่งออกจากเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วมาถึงยอดเขา ถูกเฉินผิงอันกุมไว้ในฝ่ามือ ปลายกระบี่ชี้ลงเบื้องล่าง ตวัดเอาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ขึ้นมาเบาๆ สุดท้ายยื่นมือที่ถือกระบี่ไปด้านหน้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แค่มีสุราก็พอ พอมากๆ แล้ว”
เฉินผิงอันถือกระบี่ลงจากภูเขาพลางกระดกดื่มเหล้าติดๆ กัน หลังจากปล่อยตัวดื่มอย่างเต็มที่ เขาก็เมามายจริงๆ จึงเดินโซซัดโซเซ ตอนที่เดินผ่านเรือนของพวกจูเหลี่ยนก็เจอเข้ากับเฉินยวนจีที่กำลังฝึกหมัดอยู่ใต้แสงจันทร์พอดี
พอนางได้กลิ่นเหล้าคลุ้งตลบทั่วกายเขา ม่านตาดำก็หดตัวเข้าหากัน หยุดท่าหมัด สะบั้นปณิธานหมัดกะทันหันอีกครั้ง
เฉินผิงอันยิ้มเดินผ่านมา หลังจากเดินเซจากมาไกลแล้ว เขาที่อยู่บนทางเส้นเล็กในผืนป่าก็ไม่ได้หยุดเดิน แต่หันหน้ากลับไป เอ่ยว่า “เฉินยวนจี หมัดของเจ้า ไม่ได้เรื่องจริงๆ”
เฉินยวนจีหลับตาลงข้างหนึ่ง ยื่นนิ้วออกไป หมายจะพูดอะไรบางอย่าง
เสียงตึงดังขึ้น
เฉินผิงอันล้มลงหลังเสียง
เฉินยวนจีทอดถอนใจอยู่ในใจ จะแสร้งเป็นยอดฝีมือ พูดจาวางโตไปทำไมกันนะ
เห็นเพียงว่าเจ้าขุนเขาหนุ่มคนนั้นรีบก้มลงหยิบกระบี่เซียนและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ขึ้นมา ฝีเท้าก้าวได้เร็วกว่าเดิมเยอะมาก
เห็นไหม ก่อนหน้านี้แกล้งเมาชัดๆ
เฉินยวนจีหันหน้าไปมองเรือนที่พักของเทพเซียนผู้เฒ่าจูแวบหนึ่ง รู้สึกเจ็บใจแทนอีกฝ่าย ต้องมาเจอกับเจ้าขุนเขาที่ไม่รู้จักหนักเบาเช่นนี้ ช่างเหมือนคนขึ้นเรือผิดมาขึ้นเรือโจรจริงๆ
ตรงริมหน้าผา เฉินผิงอันนอนฟุบตัวอยู่บนโต๊ะหิน ใบหน้าที่ร้อนผ่าวแนบติดกับผิวโต๊ะที่เย็นน้อยๆ ทอดสายตามองไปไกลทั้งอย่างนั้น
เขากะพริบตาปริบๆ โคลงศีรษะ รู้สึกว่าตัวเองอาจจะตาฝาดไป
ที่เขตการปกครองหลงเฉวียนยังมีคนกล้าทะยานลมเดินทางไกลมาอย่างรีบร้อนเช่นนี้ด้วยหรือ?
ห่างไปไกลมาก รุ้งยาวสีขาวเส้นหนึ่งพาดผ่านอากาศมาด้วยพลังอำนาจน่าตะลึง คิดดูแล้วคงจะสร้างความตกอกตกใจให้กับผู้ฝึกตนบนภูเขามากมาย
เฉินผิงอันหลับตาลง ไม่คิดจะสนใจแล้ว
อยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วจะยังต้องกลัวอะไร
เขาจึงหมดสติไปทั้งอย่างนี้
ค่ำคืนนี้มีเด็กหนุ่มชุดขาวที่กลางหว่างคิ้วมีไฝแดงคนหนึ่งที่คล้ายถูกผีมอมเมาจิตใจ เพื่อจะได้พบหน้าอาจารย์สักครั้งถึงได้ร่ายใช้วิชาอภินิหารและสมบัติอาคมทั้งหมดที่มี เร่งรุดเดินทางกลับเหนือ แล้วก็ยิ่งต้องรีบเร่งเดินทางกลับใต้
เขาแบกอาจารย์สวมชุดเขียวที่หลับฝันหวานไปแล้วขึ้นหลังเบาๆ เดินฝีเท้าแผ่วเบาไปทางเรือนไม้ไผ่ พลางพึมพำเรียกอีกฝ่ายเบาๆ คำหนึ่งว่า “อาจารย์”
—–