บทที่ 62 – เมล็ดพันธุ์
ตอนที่ถูกฉันล่วงเกินดวงตาของเธอก็เบิกกว้างค่อนข้างมาก ฉันคิดว่าเธอน่าจะตกใจมาก แบบนี้คงแปลว่าแผนการของฉันสำเร็จสินะ!
“อื้ออ”
เธอผลักฉันออกจนเธอล้มลงไปกับพื้นเหมือนเข่าจะอ่อนแรง .. เอ๊ะ ทำไมเป็นแบบนี้ ฉันก็ใช้วิธีจูบแบบปกตินี่
ถึงจะมีชั้นพลังบางๆ กั้นไว้ แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรให้หมดแรงเลยนะ อีกอย่างการจูบแบบนี้ท่านพี่ยังเคยทำกับฉัน ฉันไม่เห็นเข่าอ่อนเลย
ถามว่าฉันกลัวอะไร กลัวว่าทำให้เธอหมดแรงแล้วแทนที่จะกลัวกลับมาโกรธเพราะเธอคิดว่าฉันโจมตีเธอน่ะสิ เพราะที่ทำคือไม่ได้ทำให้โกรธ
แต่ทำให้กลัว! อีกอย่างสถานการณ์ที่ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมน่ะนับว่าเป็นอันตรายอย่างมาก ดังนั้นในตอนนี้ฉันจึงเป็นคนที่ตกใจซะเอง
ทสึรุยกมือขึ้นป้องปากตัวเองและจ้องมาที่ฉันด้วยใบหน้าแดงก่ำ…. นั่นไงโกรธจนหน้าแดงแล้วนั่น! บ้าเอ๊ย มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ต้องอธิบายก่อนเจ้าตัวจะโกรธมากกว่านี้
เพื่อไม่ให้ระเบิดพลัง แต่จะแก้ตัวยังไงล่ะ แก้ตัวยังไงให้อีกฝ่ายไม่โกรธแต่ก็ไม่ชอบเช่นกัน เพราะฉันจะทำให้อยู่กึ่งกลางระหว่างปกติและความเกลียด
นั่นคือความขยะแขยง ไม่อยากเข้าใกล้ เพื่อที่จะลบความโกรธฉันต้องพูดอะไรสักอย่างที่ดูน่าขยะแขยงมากกว่านี้เพื่อลบความโกรธนั้นทิ้ง!
“เจ้า.. เจ้า…”
เธอพูดติดๆ ขัดๆ นี่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนั้นเลยเหรอ ฉันเองก็ไม่รู้จะทำยังไงก่อนจะนึกถึงหนังสือเล่มหนึ่งของน้องสาวในโลกเดิม
ภาพนั้นย้อนกลับมา.. มีแต่ต้องใช้อันนี้สินะ แต่อันนี้ก็เป็นดาบสองคม! ถ้าหากหน้าตาดีพูดคำนี้ ฟ้าถล่มดินทลายยังไงก็มีคนบอกชอบ
แต่ถ้าหน้าตาน่าเกลียดพูดคำนี้ออกมา มีแต่คนด่าทออย่างแน่นอนว่า พวกโรคจิตน่าขยะแขยง
แต่เมื่อพิจารณาว่าก่อนหน้านี้ฉันทำเรื่องน่าขยะแขยงไปแล้ว ยิ่งพูดคำนี้ก็เหมือนกับการทบเสริมความน่าขยะแขยงเข้าไปอีกแน่ๆ! มันอาจจะสำเร็จ..
ไม่สิ มันต้องสำเร็จถ้าฉันอ่านเกมไม่ผิดละก็นะ เอาล่ะนะ.. จะพูดแล้วนะ!
“โทษที.. พอดีปากของเธอมันน่าดึงดูดเกินไปน่ะ”
พอพูดออกไปแบบนั้นหน้าเธอแดงปรี๊ดขึ้นกว่าเก่าซะอีก เอ๋.. นี่โกรธขึ้นเหรอ? ไม่สิ ความน่าจะเป็นมีแค่ขยะแขยงกับหลงรักสิ
และในกรณีนี้ต้องขยะแขยงแน่นอนอยู่แล้วใช่ปะ แล้วทำไมเธอโกรธขึ้นกว่าเดิมซะงั้น ไม่เข้าใจเลยแฮะ
(เลทิเซียแม้จะเคยมีชีวิตมาแล้วชาติหนึ่ง เคยถูกสารภาพรักครั้งเดียว ซึ่งเจ้าตัวเข้าใจผิดว่าอีกฝ่ายจะลักพาตัวเลยหนีสุดชีวิต ไม่รู้จักความรักหรือความรู้สึกด้านบวกโดยสิ้นเชิง)
ฉันกำลังกังวลสุดขีด ในที่สุดทสึรุก็ค่อยๆ ยืนขึ้น หน้าเธอยังแดงด้วยความตกใจฉันถอยหลังหลายก้าวเตรียมตัวต่อสู้
ถ้าสู้ไม่ไหวก็คงต้องใช้พลังเวทของปีศาจแล้วล่ะ เพราะขนาดร่างกายเพียวๆ ของอีกฝ่ายยังเหนือกว่าฉันในตอนพร้อมรบเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับทำเอาฉันถึงกับงงงวย และยิ่งสับสนต่อโลกใบนี้เพิ่มอีก.. เธอพูดกับฉันว่า
“คือข้า.. ตั้งแต่เกิดมา.. ไม่เคยมีใครบอกแบบนี้มาก่อน…”
เธอก้มหน้าลงไม่ได้มองหน้าฉัน แต่ไม่รู้ทำไมฉันถึงสัมผัสถึงความรู้สึกแบบเดียวกับฉันได้จากเธอ เธอพูดต่อ
“ดังนั้น.. ขอโทษนะ..ข้ายังตอบรับคำขอของเจ้าตอนนี้ไม่ได้.. และพวกเรายังรู้จักกันไม่ดีพอเลย…. ข้าขอโทษ!”
ว่าแล้วเธอก็ก้มหัวลงขอโทษฉันอีกครั้ง แล้วก็รีบวิ่งหนีไปในทันที.. เอ๊ะ.. นี่มันยังไงเนี่ย หมายความว่าไงน่ะ เป็นงงเลย
แต่ตอนนั้นเองเหมือนเจ้าตัวจะหยุดฝีเท้าลงและพูดขึ้นอีกครั้งว่า
“เจ้าน่ะ ชิงครั้งแรกของข้าในหลายๆ อย่างแล้วนะ… ข้า..”
อึก.. ฉันกลืนน้ำลายอย่างช่วยไม่ได้.. พูดแบบนั้นหมายความว่าคิดจะมาช่วงชิงคืนงั้นเหรอ.. จริงด้วยแผนนี้ล้มเหลว!
แถมโดนแค้นซะด้วย! นี่มันซวยชัดๆ! แต่ว่า..
ฉันไม่ยอมแพ้หรอกนะ ฉันจะต้องรีบเตรียมตัวรับมือให้ได้เร็ววัน!
ว่าแล้วก็รีบกลับห้องทันที….
………
ข้าชื่อว่า โอโฮวริ ทสึรุ.. ข้าตื่นขึ้นมานั่นคือวันที่ข้าจำความได้ ข้าชื่นชอบในทวนและธนูมาก
ข้าฝึกทั้งสองมาตลอดและตลอดมา ถึงจะบอกว่าอายุข้าแค่แปดขวบ แต่นั่นก็นับจากวันที่ข้าลืมตาดูโลก เพราะข้าไม่รู้จักอายุก่อนหน้านี้ของตัวเอง
นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าอายุของข้าแค่แปดขวบ ในความจริงข้าอาจจะอายุประมาณไหนแล้วก็ไม่ทราบได้ แต่ข้าไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครเพราะกลัวโดนหาว่าเป็นตัวประหลาด
ข้าไม่รู้ว่าเผ่าอสูรตนอื่นเป็นเหมือนข้าหรือเปล่า ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีใครรู้จักตื่นมาพร้อมกับชื่อและความต้องการบางอย่างในใจ
ดังนั้นข้าถึงได้ฝึก เพื่อที่สักวันอาจจะได้เจอพ่อแม่ของตัวเอง และด้วยความคิดที่ว่าทักษะการใช้ทวนและธนูที่ข้ายึดติดมาตั้งแต่แรกอาจจะเป็นตัวช่วยในการค้นหาพ่อแม่แท้ๆ ของข้า
รวมไปถึงอดีตของข้า เพราะในหนังสือเรียนส่วนใหญ่ก็ไม่กล่าวถึงเรื่องเผ่าเท่าไหร่ กล่าวแค่ประวัติศาสตร์โดยรวม
ข้าเลยใช้เวลาอยู่กับธนูและทวน เวลาไหลผ่านไป ข้าเติบโตในกรงขังเล็กๆ นี่ แต่ด้วยความช่วยเหลือจากผู้อำนวยการ โรงเรียนแห่งนี้เป็นเหมือนบ้านของข้า
และแม้จะอยู่ในโรงเรียน มีเพื่อนมากหน้าหลายตาแต่ข้ากลับไม่ถนัดพูดคุยหรือใกล้ชิด และข้าเองก็ต่างจากคนอื่น
คนอื่นสามารถมีความสุขกับคนรอบข้าง แต่ข้าไม่มี ข้าเป็นตัวประหลาดไร้ความทรงจำที่มีดีแค่ธนูกับทวน
ข้าฝึก ทุกครั้งที่หวดทวนหรือน้าวสายธนูข้าเชื่อเสมอว่าสักวันข้าจะได้เจอพ่อแม่ และถามพวกเขาถึงเหตุผลที่ตัวเองเกิดมาบนโลกใบนี้
ข้าไม่มีเวลาเล่น ข้าไม่มีเวลาคุย นอกจากดึงสายธนู ในโลกนี้ข้ามีตัวคนเดียวไม่มีใครช่วยเหลือได้ …
คนบางคนบอกว่าข้ามีพรสวรรค์ บ้างก็ว่าอัจฉริยะ เก่งกาจ.. เปล่าเลย นั่นไม่ใช่ความจริง ข้าแค่ฝึก ฝึกแล้วก็ฝึก
ข้าฝึกไม่เคยหยุดแม้นิ้วจะเต็มไปด้วยรอยช้ำจากเอ็นธนู ฝ่ามือแตกเพราะเหวี่ยงทวน แต่ว่าข้าก็ทำต่อไปเพื่อในอนาคตที่จะต้องเจอพ่อหรือแม่ในสักวัน
พรสวรรค์เหรอ.. เปล่าเลย.. คนอื่นฝึกสิบข้าแค่ฝึกร้อยเท่านั้น คนอื่นฝึกร้อยข้าแค่ฝึกพันเท่านั้น
อัจฉริยะเหรอ? นอกจากพลังกายของข้าแล้วมีอะไรดีอีกล่ะ …
ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้มือของข้าก็หยาบกระด้าง ไม่กล้าที่จะให้ใครดูเพราะกลัวโดนถามว่า ‘เจ้าเป็นผู้หญิงจริงๆ เหรอ?’
ในชีวิตนี้ของข้า ไม่เคยได้รับความรัก ไม่เคยได้ต่อสู้ ไม่เคยมีใครเข้าใจ ตลอดแปดปีที่ลืมตาดูโลก ข้าเอาแต่เหวี่ยงทวนและดึงสายธนู
จนกระทั่งข้าไปเผลอโจมตีท่านเลทิเซียเข้า.. ทั้งๆ ที่ข้าไม่เคยต่อสู้มาก่อน แต่พอเห็นการตั้งท่าพร้อมรบ มันเหมือนกับมีอะไรในใจกระตุ้น
ข้ารู้วิธีต่อสู้ … แต่นั่นก็ทำให้ท่านเลทิเซียเกือบเจ็บตัว ข้ารู้สึกผิด แต่ข้าไม่เข้าใจวิธีขอโทษเลยเผลอพูดออกไปว่าจะทำตามคำขอทุกอย่างของเธอ
และนั่นเองเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ข้ารู้สึกถึงสิ่งที่เรียกว่ารัก..
ท่านเลทิเซียบอกว่ารักข้า ข้าคนแบบนี้.. เป็นคนที่ไม่มีอะไรดีสักอย่างแถมพึ่งจะโจมตีท่านเลทิเซียไป
แต่เธอกลับบอกข้าว่าเธอต้องการข้า … ในโลกที่แทบไม่มีใครรู้จักแม้จะตายไปตรงนั้นก็ไม่มีใครจดจำเลยด้วยซ้ำ
แต่เธอบอกว่าอยากมีครอบครัวกับข้า นั่นทำให้ข้ารู้สึกไปไม่ถูก.. จนกระทั่งถูกท่านเลทิเซียจูบ ข้ารู้ว่านั่นคือสิ่งที่จะทำกับคนที่ตัวเองรักเท่านั้น
แต่ว่าข้ายังไม่รู้จักเธอเลย.. เธอชิงจูบแรกของข้า.. เธอเป็นคนแรกที่ต้องการข้าและเธอเป็นคนแรกที่มอบการต่อสู้ให้ข้า…
แม้ข้าจะปฏิเสธไป.. แต่ว่าในใจข้าตอนนี้ท่านเลทิเซียเป็นเหมือนคนคนเดียวบนโลกใบนี้ที่ข้าสามารถเชื่อใจได้
(หนีไป… ทสึรุเธอหนีไปเธอ)
……
ในขณะเดียวกันเจ้าตัวตนเหตุที่ทำให้คนคนหนึ่งเปลี่ยนไปยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย นอกจากกหาวิธีเอาตัวรอดจากทสึรุเอาเป็นเอาตาย
และไม่ทราบด้วยว่าเมล็ดพันธุ์ได้ถูกหว่านลงไปยังพื้นแล้ว มันก็จะดูดซับสารอาหารและเติบโตไปเรื่อยๆ
หากยังมองไม่เห็น.. ไม่นานมันคงปกคลุมไปทั่วเป็นแน่ ซึ่งแน่นอนว่าคนอย่างเลทิเซียนั้น…
มีหรือจะมองเห็น และต่อให้มองเห็นก็ตาม เธอคงเข้าใจไปว่าเมล็ดพันธุ์นั่นเป็นเมล็ดพันธุ์ที่พร้อมจะฆ่าเธอ และป้องกันผิดวิธีอยู่ดี…
…..