ก่อนหน้านี้ หลินเสี่ยวเฟยรู้สึกเหน็บหนาวจากปลายผมของเธอที่ด้านหลังศีรษะ ความรู้สึกเช่นนี้ของเธอเหมือนกับกำลังถูกนักล่าที่เฝ้ามองเหยื่ออย่างเงียบๆ ขณะที่มันกำลังถูกสัตว์ร้ายจอมตะกละไล่ตามอย่างไม่รู้ตัว
ตอนนี้ เธอสัมผัสถึงอันตรายที่อยู่รอบตัวเธอ ทำให้หลินเสี่ยวเฟยรู้สึกไม่สบายใจและเงยหน้าขึ้นมอง
ดวงตาที่เย็นชาและไร้ความปรานีของเขาสบกับดวงตาฟีนิกซ์ที่สูงส่งและงดงามอย่าง ดวงตาที่เย็นชาคู่เปล่งประกายแห่งความสนุกสนาน
หลินเสี่ยวเฟยขมวดคิ้ว
ชายคนนี้ แอบมองเธอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
หลินเสี่ยวเฟยไม่ได้ละสายตาของเธอและมองดูอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว เธอรู้สึกประหลาดใจที่เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาของชายผู้นี้
เธอมีชีวิตอยู่มาสองชีวิตเเล้ว และได้พบเห็นชายที่หน้าตาดีมามากมาย เเละหยูเฟิงซูก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น อย่างไรก็ตาม ชายที่อยู่ตรงข้ามเธอเป็นชายที่ดูดีที่สุดเท่าที่เธอเคยพบเห็นมา ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจไปชั่วขณะ
ทุกคนต้องมีปฏิกิริยาเช่นหลินเสี่ยวเฟย หากพวกเขาได้เห็นบางสิ่งที่สวยงามหรือน่าพึงพอใจ อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่าหลินเสี่ยวเฟยจะโง่เขลาเหมือนที่เธอเคยเป็นในอดีต และมองเพียงเเค่รูปลักษณ์ภายนอกของคนเท่านั้น
นอกจากนี้ หลินเสี่ยวเฟยยังเคยเคยพบกับชายผู้นั้นในชีวิตก่อน เขาคือดยุคเซียวของอาณาเซิง, ที่มีนามว่าฉู่เซียวซู
ในอดีต ที่อาณาจักรเซิงเป็นอาณาจักรที่แข็งแกร่งที่สุด ในบรรดาสี่อาณาจักร ซึ่งประกอบด้วยอาณาจักรเซิง อาณาจักรฉู่ อาณาจักรต้าเหลียง และอาณาจักรเรย์ อย่างไรก็ตาม สองรุ่นที่สืบทอดบัลลังก์ทองคำมีจิตใจอ่อนแอและไม่มีความสามารถในการปกครอง ส่งผลให้ทั้งสามอาณาจักรที่เหลือมีเเนวคิดที่จะบุกโจมตีอาณาจักรเซิง
เนื่องจากมีข้าราชการที่ประมาทและทรยศจักรวรรดิเซิง ตลอดเวลาสองชั่วอายุคนที่ผ่านมา สามัญชนจึงกลัวเกิดปัญหาเเละส่งผลกระทบต่อพวกเขา และคิดว่าอาณาจักรนี้ใกล้จบสิ้นแล้ว
อย่างไรก็ตาม เป็นดยุคซินเฒ่าผู้ให้ทุนและช่วยเหลือจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน ค้นหาเยาวชนและทหารที่มีความสามารถ และทำให้ดยุคหนุ่มได้ต่อสู้เคียงข้างแม่ทัพหลิน
ดยุคหนุ่มฉู่เซียวซู มีอายุเพียงสิบสี่ปีในขณะนั้น แต่เขายังสามารถต่อสู้และรอดชีวิตจากสงครามและการนองเลือดมาได้
หลังสงครามจบลง ดยุคหนุ่มได้รับรางวัลจากผลงานที่มีเกียรติพร้อมกับเเม่ทัพหลิน เขายังได้รับตำแหน่งจากดยุคซิน ปู่ของเขาที่ล่วงลับไปแล้วในหนึ่งปีให้หลัง
หลังจากที่เขาได้รับตำเเหน่งดยุคจากปู่ของเขา ฉู่เซียวซูก็มิได้ปรากฏตัวในที่สาธารณะมากนักและไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องภายในราชสำนักและราชวงศ์ เขาหันหลังกลับเมื่อเห็นว่าจักรวรรดิในตอนนี้สงบสุขและแข็งแกร่ง
ในอดีตหลินเสี่ยวเฟยอยากรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของชายผู้นี้ ที่หายตัวไปจากสายตาของสาธารณชนหลังจากสงคราม และต้องการถามหยูเฟิงซู แต่เธอก็หยุดคิดสิ่งนั้นทันที หลินเสี่ยวเฟยแทบไม่เชื่อสายตาของเธอเมื่อเธอเห็นความกลัวที่เห็นได้ชัดในสายตาของหยูเฟิงซู และเขาได้เตือนเธออีกว่าอย่าถามเขาในเรื่องนี้อีก และเขาก็หันหลังจากไปอย่างโกรธเคือง หลังจากพูดจบ
แต่ทำไม?
หลินเสี่ยวเฟย ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรอีกเพราะหยูเฟิงจูไม่เคยกลัวใครมาก่อน เขากลัวเเค่ว่าตัวตนที่มืดมนของเขาจะถูกเปิดเผยเเละเเผนการของเขาจะถูกทำลาย อย่างไรก็ตาม ฉู่เซียวซูชายผู้นี้กลับทำให้เขากลัวจนตัวสั่น เหมือนเด็กที่ยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน
ทันใดนั้น หลินเสี่ยวเฟยก็มีความคิดบางอย่าง หากฉู่เซียวซูได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นศัตรูของหยูเฟิงจู การรักษาศัตรูของศัตรูไว้ใกล้ตัว ไม่ใช่ว่าจะทำให้แผนการของเธอง่ายขึ้นหรอกหรือ?
หลินเสี่ยวเฟยจ้องกลับไปที่ชายผู้นั้นอย่างเย็นชาก่อนที่จะพยักหน้าให้เขาเพื่อเป็นคำทักทาย และไม่รอให้อีกฝ่ายตอบโต้กลับ เธอหันหลังกลับและปิดหน้าต่างทันที
ในขณะนั้น ประตูห้องก็ถูกเปิดออก และหญิงวัยกลางคนก่อนหน้านี้เดินเข้ามาพร้อมกับหญิงสาวอีกหนึ่ง
หญิงสาวคนนั้นสวมชุดราตรีสีฟ้าอ่อน ชุดของเธอปักด้วยดอกบีโกเนียตรงกลางและขอบกระโปรง ผมของเธอปลิวไสวไปข้างหลังและใบหน้าของเธอถูกเติมเเต่งเพื่อให้ดูมีชีวิตชีวา
เมื่อเทียบกับความสูงของหลินเสี่ยวเฟย หญิงสาวผู้นั้นดูผอมกว่าและเตี้ยกว่าครึ่งฟุต ผิวของเธอดูไม่ดีนัก แม้ว่าจะขาวเเละไร้ที่ติ แต่รูปร่างของเธอกลับดูผอมราวกับเนื้อติดกระดูก ใครก็ตามที่ได้พบเห็นเธอ คงจะคิดว่าเธอคงไม่ได้กินอาหารมานาน
นอกจากนี้ เธอยังใส่เครื่องประดับเพียงเล็กน้อยเเละไม่มีไว้เพื่อประดับประดาที่คอและผมของเธอ ซึ่งทำให้ผู้คนที่พบเห็นเธออาจรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เมื่อซูถังพบหญิงสาวอันดับที่หนึ่งเมื่อสามปีที่แล้ว เธอตกใจกับความแตกต่างเป็นอย่างมากของหญิงงามในอดีต ในช่วงเทศกาล นางรับใช้ของทุกบ้านจะได้รับเงินสงเคราะห์และได้รับอนุญาตให้ออกไปด้านนอก
และในช่วงเทศกาล ซูถังและไป่ลู่ได้เคยพบเพียงผ่านๆของหญิงสาวอันดับหนึ่ง เมื่อสามปีก่อนและพวกนางก็ตกตะลึง นั่นเป็นเหตุผลที่เมื่อเธอมองดูชูชู เธอได้ยกมือขึ้นเพื่อปิดปากไม่ให้แสดงอาการออกมา
หลินเสี่ยวเฟย ที่อยู่ด้านข้างก็เเสดงปฏิกิริยาคล้ายกับซูถัง เธอรู้สึกประหลาดใจ มันดูช่างดูเเตกจากจากเมื่อก่อนที่เธอเคยเจอ วันนี้ชูชูเธอกับเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมากในรูปลักษณ์ของเธอ และในวินาทีต่อมาดวงตาของเธอก็ดูเย็นชา ขณะที่เธอพูดกับหญิงวัยกลางคนว่า
“นี่มันอะไรกัน หมายความว่าอย่างไร ไป๋ฮัวโหลวเป็นสถานที่บันเทิงที่มีชื่อเสียงใช่หรือไม่ เเต่ทำไมถึงปล่อยให้คนของท่านกลายเป็นเช่นนี้”
หญิงวัยกลางคนยิ้มอย่างขมขื่นแสดงท่าทางที่เจ็บปวด “นายท่านอย่าเข้าใจผิด ชูชูเคยเป็นความภาคภูมิใจและเป็นหน้าตาให้กับสถานที่เเห่งนี้ แต่ ณ ตอนนี้ ชูชูไม่มีแม้แต่อารมณ์ที่จะให้บริการแขก ”
“ก็ได้ เจ้าออกไปได้แล้ว” หลินเสี่ยวเฟยไม่ต้องการคุยกับหญิงวัยกลางคนอีกต่อไป ขณะที่หญิงวัยกลางคนก็โค้งคำนับและเดินออกไปในทันทีเเละอ้างว่ามีลูกค้าอีกหลายท่านที่เธอต้องดูแล
หลินเสี่ยวเฟย สังเกตชูชูที่เงียบตลอดเวลา แก้มทั้งสองข้างของเธอหย่อนลงเล็กน้อยและใต้ตาของเธอมีรอยคล้ำจากการอดนอน อย่างไรก็ตาม หลินเสี่ยวเฟยมองเห็นความว่างเปล่าในสายตาของชูชูมันดูคล้ายกับปลาที่ตายแล้ว
เธอถอนหายใจ เเละมองไปยังซูถังและกล่าวว่า “เจ้าออกไปข้างนอกและไปเจรจากับผู้จัดการของเขา เเละบอกว่าข้าต้องการซื้อตัวหญิงสาวผู้นี้และถามเขาไปว่าไป๋ฮัวโหลวต้องการเงินเท่าไหร่”
ซูถังเบิกตากว้างและกล่าวว่า “คุณหนูวางแผน ที่จะไถ่ตัวหญิงสาวผู้นี้ใช่หรือไม่”
หลินเสี่ยวเฟยขมวดคิ้วให้กับของซูถัง เมื่อเธอพูดถึงชูชู ราวกับว่าเธอเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา แต่เธอก็ไม่ได้ตำหนินาง เนื่องจากหลินเสี่ยวเฟยรู้ว่าปฏิกิริยาของซูถังเป็นเรื่องปกติสำหรับทุกคนที่จะต้องดูถูกอาชีพของชูชู
“เจ้าเพียงแค่ออกไปทำตามที่ข้าสั่ง.”
“และใช้เวลาของเจ้า เพื่อทำในสิ่งข้าบอก” หลินเสี่ยวเฟยไม่ได้กล่าวคำเหล่านี้ออกมาดังๆ ขณะที่เธอมองดูซูถังที่ดูไม่ค่อยเต็มใจที่จะออกจากห้องไป
ขณะนี้มีเพียงเเค่พวกเขาสองคนที่อยู่ข้างใน ทันใดนั้น ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบงันเหมือนกับก่อนที่สงครามกำลังจะมาเยือน
“ชูชู”