เมื่อฉู่เซียวซูออกจากห้องลับ หนึ่งในลูกน้องของเขากำลังรอต้อนรับเขาอยู่ มือขวาของผู้ใต้บังคับบัญชาทับตรงหน้าอก และก้มศีรษะลงเพื่อแสดงความเคารพ
เสียงกรีดร้องที่ทุกข์ทรมาน ยังคงดังออกมาจากภายในห้อง อย่างไรก็ตาม ลูกน้องของเขาไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใดๆต่อเสียงกรีดร้องนั้น เขาดูเฉยชาราวกับว่าได้ยินใครบางคนร้องด้วยความเจ็บปวดเป็นเรื่องปกติสำหรับเขา
“เจ้ากำลังกล่าวว่า คุณหนูสี่เเห่งตระกูลหลิน ออกไปพบหญิงสาวผู้หนึ่งหรือ?”
ฉู่เซียวซู กล่าวถามผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา ในขณะที่เขาถือผ้าเช็ดหน้าที่สะอาดอีกผืน
เพื่อเช็ดมือ
เขาตัดสินใจมอบหมายให้คนของเขาติดตามการเคลื่อนไหวของหลินเสี่ยวเฟย และรายงานทุกอย่างให้เขาทราบ
ซายี่พยักหน้าและรายงานต่อ
หลังจากได้ยินรายงานของชายี่ เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ปากของฉู่เซี่ยวซูโค้งเล็กน้อยขณะที่เขาเลิกคิ้ว ดูเหมือนกำลังสนุก
เขาแปลกใจเล็กน้อย ที่หลินเสี่ยวเฟยเชิญหญิงสาวจากหงเป่ยโหลว ให้ขึ้นมานั่งในรถม้าของเธอ แม้จะใช้เวลานานกว่าจะแยกจากกัน เเต่เขาอดคิดไม่ได้ว่าคุณหนูสี่เเห่งตระกูลหลิน คงจะเปลี่ยนความชอบของเธอ หลังจากที่เธอโดนยกเลิกการหมั้นหมาย
“เจ้าได้ยินที่พวกเขาคุยกันในรถม้าหรือไม่” เขากล่าวถามซายี่ด้วยความสนใจอย่างโจ่งแจ้ง
อย่างไรก็ตาม ซายี่ส่ายหัวและกล่าวว่า “หญิงสาวพบ มีผู้ติดตามที่มีทักษะที่ยอดเยี่ยมเพราะกลัวว่าจะถูกค้นพบ ผู้ต่ำต้อยจึงไม่กล้าเข้าใกล้อย่างข้า”
ฉู่เซียวซูพยักหน้า ขณะที่เขาประสานมือไว้ด้านหลัง เขาเดินต่อไปด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า ความคิดของเขา มักจะเหนือความคาดหมายของผู้คนเสมอ เเม้ลูกน้องของเขา ก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับราชวงศ์ ซายี่ไม่กล้าที่จะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเพียงแค่เดินตามเจ้านายของเขาอย่างเงียบๆ
จากตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรเซิงทั้งหมด เจ้านายของเขา ฉู่เซียวซูเป็นคนดีอย่างแท้จริง คงจะเป็นอะไรที่ดีมากที่เขาได้ติดตามเจ้านายเช่นนี้ต่อไป แม้ขุนนางต่างๆก็แสดงความเคารพต่อเขา ตระกูลต่างๆพร้อมที่จะยกบุตรสาวให้แต่งงานกับเขา
เนื่องจากศักดิ์ศรีของท่านนายกคนก่อนซึ่งเป็นปู่ของเขาที่ล่วงลับไปแล้ว และชื่อเสียงที่เขาได้รับในช่วงสงครามเมื่อไม่กี่ปีก่อน ดยุคเซียวจึงเทียบได้กับเจ้าชายจากสี่อาณาจักร ด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาและร่างกายที่สมบูรณ์แบบ ใครๆที่พบเห็นก็สามารถคลั่งไคล้ได้เพียงแค่เห็นหน้า แม้แต่เหล่าบริวาร ก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมอง
น่าเสียดายที่พวกเขาไม่สามารถจ้องมองทุกอย่างที่ต้องการได้ เพราะกลัวว่าจะถูกปลดออกโดยฉู่เซียวซู
คฤหาสน์ตระกูลหลิน
…..เมื่อออกมาจากลานบ้าน หวู่จิงหยานพาคนใช้ของเธอไปที่ลานเล็กๆ แต่ตกแต่งอย่างหรูหราเธอเห็นคนใช้ที่หน้าลาน คำนับเธอด้วยความเคารพ เพราะ เธอเป็นแม่ของคนที่อยู่อาศัยที่นี่
เมื่อเธอเข้าไปในที่พัก หวู่จิงหยานเห็นลูกสาวของเธอที่ข้างหน้าต่าง ขณะที่ก้มศีรษะลงขณะอ่านหนังสือ มือของเธอกำลังจดอะไรบางอย่าง ลงบนกระดาษ
“มันรวดเร็วเกินไป แต่โหลวเอ๋อของข้ากำลังขยันเรียนอยู่” หวู่จิงหยานกล่าว ขณะที่เธอนั่งข้างหลินฮัวโหลว “ตอนนี้ข้ารู้สึกเหมือนไม่มีอะไรจะสอนเจ้าอีกแล้ว”
หลินฮัวโหลวหัวเราะเบาๆ วางพู่กันลงและมองดูแม่ของเธอ “ท่านเเม่ล้อข้าเล่นแล้ว หนังสือเพียงแค่นี้จะสามารถเทียบกับความฉลาดของท่านแม่ได้อย่างไร ข้าดีใจที่สุดที่ท่านเเม่จะมาสอนข้าที่นี่”
หวู่จิงหยาน ยิ้มเบาๆกับคำพูดของลูกสาวเธอ ขณะที่เธอยกมือขึ้นโอบลูกสาวด้วยความรัก
หลินฮัวโหลวเอียงศีรษะ เเละรู้สึกว่าต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ที่ท่านเเม่ของเธอมาเยี่ยมเธอถึงที่นี่ เธอจึงกล่าวถามว่า “ท่านพ่อกับท่านแม่ ทะเลาะกันอีกแล้วหรือ?”
หวู่จินหยานตกใจ เเละส่ายหัวทันที และกล่าวว่า “ทำไมโหลวเอ๋อลูกถึงคิดเช่นนั้น พ่อกับแม่ปฏิบัติต่อกันอย่างดี”
“ท่านแม่…” หลินฮัวโหลวรู้สึกขัดแย้ง เเละเธอควรบอกท่านแม่ของเธอให้พูดตรงๆ
ในคฤหาสน์ตระกูลหลิน ไม่มีใครที่ไม่รู้ว่าหลินเฟิงและหวู่จิงหยานอยู่ในสงครามเย็นกันนับตั้งแต่นางสนมเข้ามาในบ้าน
แม้ว่าทั้งสองจะไม่ยอมให้เเสดงให้ผู้ใดรู้ แต่คนรอบข้างก็สามารถสังเกตและรู้สึกว่าพวกเขาปฏิบัติต่อกันอย่างเย็นชา เเละไม่เหมือนในอดีต
ในฐานะลูกสาวของพวกเขา หลินฮัวโหลวไม่ใช่คนโง่ ที่เพิกเฉยต่อสัญญาณการแต่งงานที่ล้มเหลวของพ่อแม่ของเธอ
อย่างไรก็ตาม ในฐานะหญิงสาวจากตระกูลที่มีชื่อเสียง เธอไม่สามารถโวยวายเรื่องความสัมพันธ์ของพ่อแม่เธอได้ มิฉะนั้น ผู้อื่นจะคิดว่าเธอมีอคติมากเกินไป
หลินฮัวโหลว เป็นที่รู้จักในฐานะหญิงสาวที่สมบูรณ์แบบและอ่อนโยน เธอไม่สามารถเสี่ยง
เอาภาพลักษณ์ของเธอ ลากลงไปในโคลนเพียงเพราะพ่อแม่ของเธอ ดังนั้น เธออาจดูเหมือนกังวลเรื่องอาการของแม่ แต่ความจริงแล้ว เธอกังวลเรื่องภาพลักษณ์ตัวเองมากกว่า เธอแค่อยากจะทำทุกอย่างให้สำเร็จ และสมบูรณ์แบบ
หวู่จิงหยาน ไม่ได้เห็นว่าอารมณ์ในดวงตาของลูกสาวเธอเปลี่ยนไปกี่ครั้ง เพราะเธอก้มศีรษะลง ขณะที่เธอจ้องมองมือของเธอ ด้วยความละอาย
ความจริงที่ว่า ลูกสาวของเธอสังเกตเห็นปัญหาที่ทำให้เธอปวดหัวไม่รู้จบ ทำให้เธอรู้สึกอนาถใจมากขึ้นทุกวันนี้ นางสนมเริ่มมีความต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าพวกเขากินความกล้าของเสือดาว พวกเขายังคงเอาหัวโขกกับหวู่จินหยาน เป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างภรรยาที่ถูกกฎหมายและนางสนม
เธอรู้สึกขมขื่น หวู่จิงหยานตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง และกล่าวว่า ” โหลวเอ๋อ ลูกพี่ลูกน้องของเจ้ามีบางอย่างเปลี่ยนไป”
“ท่านแม่หมายความว่าอย่างไร” หลินฮัวโหลวเงยหน้าขึ้น เมื่อใดก็ตามที่หลินเสี่ยวเฟยถูกกล่าวถึง พวกเขามักจะกล่าวถึงเธอว่า เป็นผู้ที่ชอบก่อปัญหาที่ทำให้ผู้อื่นเกิดความเจ็บปวด
“เเม่บอกเจ้าไม่ได้ว่าตรงไหน แต่เเม่คิดว่าเธอเปลี่ยนไปมากจริงๆ”
“คนเรามักจะเปลี่ยนไป ท่านแม่”
“แต่ไม่ใช่เช่นนั้น” หวู่จิงหยานส่ายหัวและเตือนเธอ “อย่างไรก็ตาม อย่าพยายามเข้าใกล้เธอ”
หลินฮัวโหลว ถอนหายใจและไม่คัดค้านแม่ของเธอ เนื่องจากเธอยืนกรานต่อต้านความคิดที่จะเข้าใกล้ลูกพี่ลูกน้องที่โง่เขลาและไร้ค่าอยู่เเล้ว