กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 90 สองท่านอ๋องรวมตัวกัน (2)

ซูหลียืนสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น ในฐานะเจ้าบ้าน เดิมทีให้นางพาเขาไปพักผ่อนในเรือนถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผล มีบ่าวรับใช้คอยนำทาง นางคุ้นเคยกับที่นี่หรือไม่นั้นล้วนไม่เป็นไร ทว่า… สิ่งที่นางเกลียดที่สุดก็คือท่าทีในยามนี้ของเขา ราวกับนางติดค้างอะไรเขามากมาย แต่ในความเป็นจริงกลับเป็นเขาที่ติดค้างนาง ชาตินี้ก็ไม่อาจชดใช้ได้หมด ยิ่งไปกว่านั้น สถานการณ์ตอนนี้ผันเปลี่ยน อย่าว่าแต่นางไม่ได้เป็นผู้นัดหมายตงฟางเจ๋อเลย ถึงแม้ใช่ เขาก็ไม่มีสิทธิ์มาก้าวก่ายนาง หรือต่อว่านางแม้แต่น้อย!
“จิ้งอันอ๋อง เชิญทางนี้พ่ะย่ะค่ะ…” ซูฮู่ยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก นี่เป็นการเชิญรอบที่สามแล้ว แต่ท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ท่านนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะขยับเท้าเลยสักนิด
บรรยากาศพลันกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที นอกจากซูหลีและตงฟางเจ๋อ คนอื่นไม่มีใครกล้าเปล่งเสียงสักแอะ
ตงฟางเจ๋อคล้ายรู้สึกว่าสถานการณ์เช่นนี้น่าสนใจ อดไม่ได้ที่จะมองนางแล้วยิ้ม เขาเดินไปนั่งบนเก้าอี้นุ่มที่อยู่อีกด้านหนึ่งด้วยท่าทางเกียจคร้าน และนั่งมองมาทางนี้ราวกับกำลังดูละครฉากหนึ่ง คล้ายสนอกสนใจยิ่งนักว่าพวกเขาสองคนที่กำลังยืนประจันหน้ากันอยู่ สุดท้ายผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะ
ซูหลีลอบรู้สึกหงุดหงิด ไม่อยากเปิดโอกาสให้เขานั่งดูละครน้ำดี จึงยิ้มบางกล่าวว่า “พ่อบ้าน จิ้งอันอ๋องและเจิ้นหนิงอ๋องพี่น้องพบหน้า บางทีอาจมีวาจาอยากเอ่ย พวกเราต่างถอยออกไปก่อนเถิด เจ้าคอยดูแลรับใช้อยู่ข้างๆ เพียงผู้เดียวก็พอ อีกประเดี๋ยวหากท่านอ๋องอยากกลับเรือนค่อยให้คนนำทางไป ท่านอ๋องทั้งสองเชิญสนทนากันตามสบาย ซูหลีไม่รบกวนแล้วเพคะ!” เอ่ยจบ ก็ไม่สนใจว่าสีหน้าของตงฟางเจ๋อและตงฟางจั๋วจะเป็นเช่นไร นางย่อกายถวายบังคม ซูชิ่นและหลีเหยาเองก็ตามออกไปอย่างแนบเนียน ทิ้งตงฟางจั๋วที่เพลิงโทสะลุกท่วมไว้กับตงฟางเจ๋อที่นั่งทำหน้าสบายอารมณ์อยู่อีกด้าน
มองดูเรือนร่างที่จากไปอย่างรวดเร็ว มุมปากของตงฟางเจ๋อกระตุกเบาๆ ส่วนตงฟางจั๋วนั้นเพลิงโทสะสุมอกไร้ที่ระบาย เพียงรู้สึกว่าตนเองช่างไร้อำนาจ เขาเองก็ไม่รู้เพราะเหตุใดตนเองจึงยอมนางถึงเพียงนี้?
“พี่สาวซู คงไม่เกิดเรื่องใดขึ้นกระมัง?” หลังออกจากสวนกลางน้ำมา หลีเหยาถามอย่างกังวลใจ
ซูหลีกล่าวอย่างมั่นใจ “มีเจิ้นหนิงอ๋องอยู่ ไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นแน่” ขอเพียงตงฟางเจ๋อต้องการพักที่นี่ต่อไป เขาไม่มีทางยอมให้เกิดเรื่องใดขึ้นแน่
หลีเหยายังคงไม่วางใจนัก หันกลับไปมองอีกสองสามหน ยามนี้ตงฟางจั๋วยังคงยืนอยู่ที่เดิม คิ้วเข้มขมวดแน่น จ้องมองแผ่นหลังของซูหลี สายตาเขาราวกับมีไฟพ่นออกมา หลีเหยาขมวดคิ้วเบาๆ ก่อนจะหันกลับมาถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก “พี่สาวซู ท่านเหมือนจะไม่ค่อยชอบจิ้งอันอ๋องนัก?”
ซูหลีเอ่ย “เหยาเอ๋อร์คิดว่าเขามีที่ใดควรค่าให้ชอบพอหรือ?”
หลีเหยาสายตาตกตะลึง หลุบตายิ้มบางเอ่ยว่า “เหยาเอ๋อร์จะรู้ได้เช่นไร พี่สาวช่างถามอะไรประหลาดนัก”
แท้จริงแล้วซูหลีเพียงถามไปอย่างนั้นไม่ได้คิดมาก กลับนึกไม่ถึงว่าหลีเหยาจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ จู่ๆ นางก็นึกถึงเรื่องที่เสด็จพ่อหมายหมั้นจะยกหลีเหยาให้ตบแต่งกับตงฟางจั๋วขึ้นมาได้ นางเงยหน้ามองหลีเหยา พบว่าอีกฝ่ายสีหน้าลอกแลก นึกย้อนอีกทีหลังจากที่เกิดใหม่ นางพบหลีเหยาครั้งแรกบนเรือของตงฟางจั๋ว ท่าทีของนางบ่งบอกว่าไม่ได้ปฏิบัติต่อเขาแค่พอเป็นพิธีเท่านั้น หรือว่าสาวน้อยนางนี้…มีใจให้ตงฟางจั๋ว?
ซูหลีตกใจ หยุดฝีเท้ามองนาง “เหยาเอ๋อร์ เจ้า…”
จู่ๆ นางก็ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดี ยามนี้นางเพียงรู้สึกว่า น้องสาวที่ตนรักและหวงแหนที่สุดจะชอบพอบุรุษเช่นตงฟางจั๋วไม่ได้เป็นอันขาด!
หลีเหยาเห็นนางขมวดคิ้วคล้ายต้องการเอ่ยวาจา ราวกับตระหนักได้ว่านางต้องการพูดสิ่งใด สายตาพลันแปรเปลี่ยน หัวเราะเสียงใส “พี่สาวซูไม่ต้องกังวล เหยาเอ๋อร์ไร้วาสนาเป็นพระชายา แต่เห็นพี่สาวมีวาสนาเช่นนี้ ย่อมต้องดีใจ ข้าเพียงสงสัย พี่สาวดูไม่ชอบพอจิ้งอันอ๋อง กับเจิ้นหนิงอ๋องก็เย็นชาสุดแสน เช่นนั้นในพิธีคัดเลือกพระสวามี พี่สาวจะเลือกผู้ใดกัน?”
ซูหลีลอบถอนหายใจเบาๆ ส่ายหน้าหัวเราะเสียงแผ่ว “ตอนนี้ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน”
หากเป็นไปได้ นางไม่อยากเลือกใครทั้งนั้น ยังเหลือเวลาอีกสองเดือนกว่า ค่อยๆ คิดหาแผนรับมือไปก็ได้
เรือนของซูหลีอยู่ในสวนทิศใต้ แยกตัวออกมาโดดเดี่ยว ด้านหน้ามีดอกบัว ด้านหลังมีป่าไผ่ เปิดหน้าต่างทั้งสองฝั่ง มองเห็นได้ทั้งทิศใต้และทิศเหนือ เย็นสดชื่นยิ่งนัก ห่างจากที่พักของตงฟางเจ๋อและตงฟางจั๋วเพียงทางเดินมีหลังคากั้นไว้เท่านั้น ล้วนเป็นตำแหน่งที่ดีที่สุด ซูชิ่นแสดงท่าทีคัดค้านต่อเรื่องนี้ แต่พ่อบ้านซูฮู่บอกว่าเป็นคำสั่งของท่านอัครเสนาบดี เพราะฐานะท่านหญิงของซูหลี ซูชิ่นจึงทำได้เพียงเข้าพักที่เรือนในสวนทิศตะวันตกพร้อมกับหลีเหยาอย่างไม่พอใจ
แต่ละคนกลับเรือนไปพักผ่อนตามอัธยาศัย ผ่านไปไม่นานก็ถึงเวลามื้อเย็น เดิมทีซูหลีไม่อยากออกไปที่สวนด้านหน้าอีก แต่ซูฮู่มาเชิญหลายครั้ง บอกว่าทุกคนกำลังรอนางเริ่มมื้ออาหาร หลังจากลังเลอยู่นาน ก็รู้สึกว่าไม่ควรทำให้พายุก่อตัว จึงพาโม่เซียงเดินออกไปพร้อมกัน
ในโถงบุปผาเปิดกว้างสามทิศที่สร้างจากไม้ ตงฟางเจ๋อและตงฟางจั๋วต่างก็รออยู่ตรงนั้นแล้ว ซูชิ่นและหลีเหยาเองก็มาถึงนานแล้วเช่นกัน มีเพียงซูหลีเพียงผู้เดียวที่มาช้า ฉะนั้นเมื่อนางปรากฏตัว สายตาทุกคู่จึงจับจ้องมาที่นาง
ทั้งที่มีคนทั้งสิ้นเพียงห้าคน แต่ข้างโต๊ะอาหารกลับมีเก้าอี้วางอยู่หกตัว สองท่านอ๋องฐานะสูงส่งจึงนั่งหัวโต๊ะ ซูชิ่นและหลีเหยาไม่มียศศักดิ์ใด จึงต้องนั่งในตำแหน่งรองลงมา เก้าอี้อีกสองตัวที่เหลือ ตัวหนึ่งอยู่ข้างตงฟางเจ๋อ ตัวหนึ่งอยู่ใกล้ตงฟางจั๋ว ทั้งสองต่างจับจ้องมาที่นาง ราวกับกำลังบอกว่า ดูสิเจ้าจะนั่งที่ใด?!
ซูหลีขมวดคิ้ว นางเอ่ยตามมารยาทก่อน “ขออภัยที่ซูหลีให้ทุกท่านรอนาน!” เอ่ยจบก็เดินไปหยุดอยู่ตรงกลางระหว่างซูชิ่นและหลีเหยา แล้วกำชับบ่าวรับใช้ “ช่วยยกเก้าอี้มาให้ข้าที”
สองบุรุษบนที่นั่งประธานกระดกคิ้ว ต่างก็เหล่มองอีกฝ่ายด้วยสายตาเรียบเฉย ใบหน้าของตงฟางจั๋วยังคงหงิกงอดูไม่ได้ เห็นชัดว่ายังไม่ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนบ่าย ครั้นเห็นซูหลีนั่งลง เขาก็เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ข้านึกว่าอาหารมื้อนี้ต้องยกไปกินในเรือนของเจ้าเสียแล้ว!”
ซูหลีรู้ว่านี่คือขีดจำกัดความอดทนของตงฟางจั๋วแล้ว นางเองก็ไม่ใช่คนไม่รู้ความเสียทีเดียว จึงลุกขึ้นเอ่ยขอโทษ “จิ้งอันอ๋องอย่าทรงกริ้วไปเลยเพคะ ซูหลีไม่ได้ตั้งใจมาช้า จนใจที่ร่างกายของหม่อมฉัน…” นางก้มหน้าถอนหายใจเบาๆ ตงฟางจั๋วขมวดคิ้วทันที มองดูดวงหน้าที่ซีดขาวตลอดทั้งปีของนาง เพลิงโทสะในใจพลันดับหายไปในพริบตา สิ่งที่เขามาแทนที่กลับเป็นความห่วงใยที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่อาจควบคุม
“พักผ่อนหนึ่งวันแล้ว ยังไม่ดีขึ้นบ้างหรือ? ให้หมอมาดูอาการหน่อยหรือไม่?” ตงฟางเจ๋อเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
ซูหลีกล่าว “ไม่ต้องเพคะ เมื่อครู่รู้สึกไม่สบายตัวมากจริงๆ แต่ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว ขอบพระทัยเจิ้นหนิงอ๋องที่ทรงเป็นห่วงเพคะ!”
“ซูซูไม่จำเป็นต้องเกรงใจข้าถึงเพียงนี้” ตงฟางเจ๋อยกถ้วยชาขึ้น ก่อนจะยิ้มบางๆ ให้นาง รอยยิ้มนั้นสง่างามไร้ที่เปรียบ ซ้ำยังแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยน และเสน่ห์ชวนหลงใหลอย่างบอกไม่ถูก
ซูชิ่นสายตาเคลิบเคลิ้มเหม่อลอย หากชีวิตนี้ได้ครอบครองรอยยิ้มเช่นนั้นของเจิ้นหนิงอ๋อง ให้นางทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น!
หัวใจของซูหลีเต้นรัวอย่างไม่อาจควบคุม อยู่ต่อหน้าตงฟางจั๋ว ตงฟางเจ๋อผู้นี้กลับจงใจส่งรอยยิ้มเช่นนี้ให้นาง หรือกลัวว่าอาหารมื้อนี้จะสงบสุขเกินไป? นางอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เบื้องหน้ามีสายตาแฝงไอสังหารทิ่มแทงมา นางแสร้งทำเป็นไม่รับรู้ หลุบตานั่งลง แล้วเรียกพ่อบ้านให้นำอาหารขึ้นโต๊ะ
อาหารยังไม่ทันขึ้นโต๊ะ ตงฟางจั๋วก็ดื่มสุราไปหลายถ้วยแล้ว สีหน้าของเขางอง้ำขึ้นเรื่อยๆ หลีเหยาอดห้ามปรามไม่ได้ “ดื่มสุรายามท้องว่างเป็นผลเสียต่อร่างกาย จิ้งอันอ๋องรออาหารอีกสักหน่อยเถิดเพคะ”
ตงฟางจั๋วไม่แยแสนาง ยังคงสั่งให้คนรินสุรา เดิมซูหลีไม่อยากสนใจเขา แต่ก็กลัวว่าหากเขาดื่มมากไปจะก่อเรื่องวุ่นวาย จึงทำได้เพียงลุกขึ้นเดินมาข้างเขา หยิบกาสุราในมือบ่าวรับใช้ข้างกายเขาไปวางไว้อีกด้าน พลางเอ่ยเกลี้ยกล่อมเสียงเบา “เหยาเอ๋อร์กล่าวถูกต้องแล้วเพคะ ดื่มสุรายามท้องว่างไม่ดีต่อร่างกาย จิ้งอันอ๋อง…”
……………………………………………………….

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น! หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง! พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี! แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้ ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้ แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา ‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น! เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset