กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ – ตอนที่ 222 เหมือนผู้หญิงทั่วไป

“อืม” ซ่งชูอีเปลี่ยนหัวข้ออย่างเฉยเมย “อีกไม่กี่วันข้าก็จะกลับเสียนหยาง พี่ใหญ่กับท่านแม่ทัพซือหม่าต้องแบกรับความผิดชอบมากแล้ว”

จางอี๋ถอนหายใจ “กลับไปตอนนี้ไม่น่าเสียดายหรอกหรือ? หรือว่าโรคตาคู่นี้จะรอช้าไม่ได้?”

“เปล่า” ซ่งชูอีคิดจะอธิบายแผนการของตัวเองให้จางอี๋ฟังอย่างละเอียดซึ่งล้วนเป็นผลดีต่อตัวเขาและนางเอง “การที่กุนซือเดินไปรัฐต่างๆ มันไม่มีอะไรนอกจากชื่อเสียงและโชคลาภ หวยจินก็ต้องการประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงเช่นกัน อย่างไรก็ดีเมื่อครุ่นคิดดูแล้ว หากข้าอวดความสามารถของตัวเองออกมาทันที มันจะไม่เป็นผลดีต่อทั้งฉินและตัวข้า”

“เพราะว่า “ทฤษฎีโค่นรัฐ”?” จางอี๋กล่าว

ซ่งชูอีพยักหน้า “ถูกต้อง ไม่มีกำแพงที่ผ่านไม่ได้ในโลกใบนี้ อีกอย่าง แม้ว่ารายละเอียดของ “ทฎษฎีการโค่นรัฐ” จะมีเพียงสองคนบนโลกใบนี้ที่รู้ทว่าลำพังเพียงคำไม่กี่คำนี้ก็สามารถทำให้ผู้ที่มีแรงจูงใจแอบแฝงพุ่งเป้าต่อกรกับรัฐฉินได้แล้ว หลังจากที่รัฐฉินสามารถกำจัดปาสู่ได้แล้วก็ต้องใช้เวลาพักฟื้นสักครู่เพื่อนำปาสู่เข้าสู่รัฐฉินอย่างแท้จริง หากวางข้าไว้ในตำแหน่งสูงในตอนนี้ก็จะดึงดูดการโจมตีจากรัฐอื่นๆ ซึ่งไม่มีประโยชน์ใดเลย บัดนี้ข้าออกจากตำแหน่งเองก็เพื่อป้องกันภัยพิบัติที่อาจเกิดกับข้าและรัฐฉิน และยังหลีกเลี่ยงมิให้ฝ่าบาทลำบากใจเวลาที่ตบรางวัลด้วย”

“ทฏษฎีโค่นรัฐ” ตามชื่อแล้วมันเป็นคำพูดที่ทำลายบ้านเมืองผู้อื่น การที่รัฐฉินนำกุนซือที่มีวาจาเช่นนี้มาใช้งานจะต้องถูกรัฐอื่นตำหนิว่ามีความทะเยอทะยานอันโหดเหี้ยมเป็นแน่

ไม่ว่ารัฐอื่นจะมีความคิดเช่นไร ทว่าระหว่างทุกคนก็ต่างกินกับปากอยากอยู่กับท้อง แต่ไม่สามารถให้ผู้อื่นจับได้คาหนังคาเขาเป็นอันขาด

“หวยจินเอ๋ย!” จางอี๋เอื้อมมือมาตบไหล่บางๆ ของนาง นอกจากเสียงทอดถอนหายใจยาวแล้วก็ไม่พูดว่าจะพูดอะไรดี

ซ่งชูอีหัวเราะเอ่ย “ภายภาคหน้าพี่ใหญ่จะต้องพาน้องไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองด้วยกันเชียว!”

“แน่นอนอยู่แล้ว!” จางอี๋เข้ารัฐฉิน ก็เพื่อตำแหน่งที่อยู่ใต้บุคคลเดียวและอยู่เหนือผู้คนนับหมื่น หลังจากตีรัฐสู่ได้แล้ว ความน่าเชื่อถือของเขาก็จะสามารถเทียบเท่าชัยชนะครั้งใหญ่สองครั้งที่กงซุนเหยี่ยนมีต่อรัฐเว่ยได้

ซ่งชูอีวางตำแหน่งตัวเองไว้แล้วตั้งแต่แรกแล้ว นางในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง การยืนอยู่ในตำแหน่งที่ได้รับการคาดหวังสูงจะต้องตอบคำถามมากมาย ตัวอย่างเช่นชาติกำเนิดเป็นอย่างไร? บรรพบุรุษอยู่ที่ใด? อาจารย์เป็นใคร? นางสามารถโกหกได้นับไม่ถ้วน หรือแม้แต่สร้างตัวตนปลอมให้ตัวเองได้ด้วยซ้ำ แต่ความเท็จไม่มีวันเป็นจริงได้ตลอดไป บางทีนางอาจจะสามารถเก็บงำได้ตลอดชีวิต แต่นางไม่ได้วางแผนที่จะหมดพลังงานตัวเองไปกับสิ่งเหล่านี้

“สามารถอดทนต่อความเย้ายวนของชื่อเสียงและโชคลาภได้ ในอนาคตก็พวกมันก็จะมาอยู่ในกระเป๋าเจ้าแล้ว” จางอี๋เหลือบมองกระดานหมาก “หวยจินสามารถเดินหมากทั้งที่มองไม่เห็นได้หรือไม่? ถ้าพวกเรามาเล่นหมากกันสักตาประไร?”

“ก็ลองดูสักครั้ง” ซ่งชูอีเอ่ย

การเดินหมากโดยที่มองไม่เห็นไม่เพียงแต่ต้องใช้สติปัญญาเท่านั้น แต่ยังต้องใช้ความจำที่แข็งแกร่งอีกด้วย ซ่งชูอีไม่เคยถูกฝึกฝนมาเป็นพิเศษ ดังนั้นจึงไม่กล้าโอ้อวดเกินไปโดยธรรมชาติ

“ท่านทั้งสองจะรับประทานอาหารหรือไม่?” ทหารรักษาการณ์หน้าประตูเอ่ยถาม

ซ่งชูอีเอ่ย “อีกสักประเดี๋ยว”

“ขอรับ” คนข้างนอกตอบรับ แล้วยกอาหารกลับไปอีกครั้ง

ทั้งสองคนจึงเปิดฉากเดินหมากกัน ทุกครั้งที่จางอี๋เดินก็จะรายงานตำแหน่งของตัวเอง

ขณะที่เพิ่งเริ่มเล่น ซ่งชูอีตอบสนองได้อย่างรวดเร็วมาก ทว่าต่อมาตัวหมากบนกระดานยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากต่อสู้หลายครั้งความเร็วของนางก็ค่อยๆ ลดลงเพราะสิ่งที่ต้องจำมันซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ เดิมทีนางมีความจำที่ค่อนข้างใช้ได้ หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามก็คิดกลเม็ดบางอย่างขึ้นมาได้ ภาพกระดานหมากที่สมบูรณ์ก็ปรากฏขึ้นในหัวฉับพลันซึ่งไม่ต่างจากการมองเห็นได้อย่างชัดเจนด้วยตาทั้งสองข้าง

เนื่องจากซ่งชูอีจำต้องจัดการกับความทรงจำที่ฟุ้งซ่าน จึงพ่ายแพ้ให้กับจางอี๋ในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม

“หวยจินเริ่มเดินหมากได้คล่องแล้ว ช่วงนี้หากข้ามีเวลาก็จะมาเดินหมากกับเจ้าอีก ไม่ถึงสิบตา เจ้าจะดีขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน” จางอี๋กล่าวด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม

“อืม” ซ่งชูอีถอนหายใจและเอนหลังพิงพนัก “พี่ใหญ่ กินข้าวกันก่อนเถิด”

จางอี๋มองไปนอกประตู ข้างนอกราตรีย่างกรายเข้ามาแล้ว ตะเกียงตรงทางเดินส่องสว่าง เงาของเจ้าอี่โหลวทอดตัวเลือนรางอยู่ที่พื้นหน้าประตู

“หวยจินเอ๋ย ตูเว่ยยังอยู่ข้างนอก จะฆ่าจะแกงก็รีบทำเสียจะได้สบายใจ!” จางอี๋อดที่จะกล่าวขึ้นมาอีกมิได้ เขาชื่นชมนักรบมากที่สุดในชีวิตของเขาและรู้สึกเสียใจอยู่เสมอที่ถูอู้ลี่ไม่สามารถกลับไปที่รัฐฉินได้ อย่างไรก็ดีในแง่กำลังการต่อสู้ของเจ้าอี่โหลวก็ดูเหมือนจะสูสีถูอู้ลี่เช่นกัน

สำหรับกุนซือเยี่ยงจางอี๋แล้ว ผู้นำทัพที่ทั้งกล้าหาญและมีแผนการนับว่ายอดเยี่ยมที่สุด ทว่าหากจะใช้ “แผนการ” ในทางการทหารแล้วก็ไม่สามารถใช้ทฤษฎีการทูตของตัวเองเพียงด้านเดียว! นี่คือสาเหตุที่จางอี๋ทำดีกับซือหม่าชั่วและเป็นเหตุผลสำคัญที่ไม่สามารถทนต่อกงซุนเหยี่ยนได้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง กงซุนเหยี่ยนเป็นกงซุนทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ มิได้เป็นเพียงท่านแม่ทัพเพียงเท่านั้น

จางอี๋เห็นซ่งชูอีเม้มปากไม่พูดจา จึงเสริมขึ้นประโยคหนึ่ง “ตูเว่ยม่อได้รับบาดเจ็บสาหัส อากาศยามราตรีด้านนอกเย็นจัด เกรงว่าไม่เป็นผลดีต่อบาดแผลเท่าไร”

“เห็นแก่หน้าของพี่ใหญ่ ข้าก็จะถอยให้ก้าวหนึ่ง” ซ่งชูอีเห็นแก่หน้าของจางอี๋สักครั้ง “รบกวนพี่ใหญ่เรียกเขาเข้ามาที”

“ได้” จางอี๋สวมรองเท้าแล้วเดินออกไปข้างนอก พูดขึ้นเสียงดัง “เชิญตูเว่ยเข้ามาเถิด”

รออยู่ครู่หนึ่งก็ไม่มีคนเข้ามา! จางอี๋นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “หวยจินขอให้ตูเว่ยเข้ามาเถิด”

เพิ่งจะสิ้นเสียงของเขา ก็เห็นเงาที่พื้นขยับตัว ไม่นานเด็กหนุ่มหน้าตาดีในชุดสีดำคนหนึ่งก็ก้าวเท้าเข้ามา เห็นจางอี๋ก็ประสานมือน้อยๆ

จางอี๋ประสานมือกลับ แล้วเชิญเขาเข้ามาในห้องเล็ก

“หวยจิน” เจ้าอี่โหลวเห็นเพียงเงาที่ซ่อนอยู่ในความมืด มองไม่เห็นสีหน้า

ปัง!

ซ่งชูอีตบโต๊ะกระดานเต็มแรง เสียงที่ดังอย่างกะทันหันทำให้ทั้งจางอี๋และเจ้าอี่โหลวสะดุ้งโหยง เมื่อมองขึ้นไปก็เห็นตัวหมากสีดำและสีขาวกระจัดกระจายไปทั่วตั่ง บางอันกลิ้งไปกับพื้น การกระเด้งกระดอนนั้นดูเหมือนจะเคลื่อนไหวอย่างมีชีวิตชีวายิ่งภายในห้องเงียบๆ

“พวกเจ้าคุยกันเถิด ข้าจะออกไปกินข้าวก่อน!” จางอี๋กล่าวจบ ก็รีบหมุนตัวเดินออกไปทันที

เขาไม่รู้ว่าเจ้าอี่โหลวกับซ่งชูอีมีความสัมพันธ์เช่นไร แต่พอตกที่นั่งลำบากก็เห็นคนทั้งสองแบ่งปันปัญหากัน ในหมู่ทหารว่ากันว่าพวกเขามีมิตรภาพชนิดที่สามารถอยู่และตายซึ่งกันและกันได้ ความสัมพันธ์นี้ลึกซึ้งยิ่งกว่าการร่วมสาบานเป็นพี่น้องกันเสียอีก ดังนั้นเขาจึงไม่เหมาะที่จะอยู่ที่นี่

เจ้าอี่โหลวเห็นซ่งชูอีโมโหก็กลับรู้สึกผ่อนคลายในใจ เอ่ยถามเสียงเบา “เจ้าเจ็บมือหรือไม่?”

ซ่งชูอีคำราม “เจ็บ! เจ็บปางตาย!”

“คนกระจอกอย่างเจ้า! หากเจ้าแม่งต้องตายด้วยดาบของถูอู้ลี่ ต่อให้ข้าเจ็บเจียนตายก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า!” ซ่งชูอีหันหน้ามา แม้มองไม่เห็นเขาทว่าก็ยังสามารถรับรู้ได้ว่าเขาอยู่ตรงไหน

ใบหน้าของเจ้าอี่โหลวแดงระเรื่อ เถียงคอเป็นเอ็น “หากข้าไม่ฆ่าเขาเพื่อแก้แค้น ครึ่งชีวิตที่เหลือของข้าก็ไม่อาจสบายใจได้!”

ซ่งชูอีกล่าวด้วยความโมโห “ผู้ชายเฮงซวย! เจ้าสบายใจแล้วสิ! หากเจ้าตายไป ครึ่งชีวิตที่เหลือของข้าจะสบายใจได้รึ? หากเจ้าคิดเช่นนี้ก็ไปให้พ้น! ข้าจะได้สบายเสียที!”

แม้ว่านางกำลังด่า แต่เจ้าอี่โหลวก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเพราะความห่วงใยในคำพูดนั้น

ไป๋เริ่นกระโดดโลดเต้นเข้ามาด้วยความดีใจ เมื่อเห็นว่าบรรยากาศไม่ดี ก็ชะลอตัวลงและถูกับขาของซ่งชูอี

“หัวเราะ!” เสียงคำรามของซ่งชูอีทำให้ไป๋เริ่นตกใจ “ไปซะ! พาเจ้าสัตว์ป่าขนปุยนี่ออกไปด้วย! ให้ครึ่งชีวิตที่เหลือของข้าได้สบายใจเสียที!”

เจ้าอี่โหลวมองไป๋เริ่นที่โดนลูกหลงแม้เพียงนอนนิ่งๆ ก็เดินคอตกไปข้างหน้า “หวยจิน ข้าผิดไปแล้ว ครั้งหน้า…”

“ยังจะมีครั้งหน้าอีกรึ!” ซ่งชูอีเป็นเหมือนเสือที่ถูกกระตุกหนวด

“ครั้งหน้าข้าจะไม่ทำให้เจ้าต้องเจ็บอีกแล้ว” เจ้าอี่โหลวเอ่ยเสียงเบา

เงียนงันครู่ใหญ่

ซ่งชูอีไอแห้งทีหนึ่ง จัดกระชับเสื้อผ้า เดินไปยังห้องโถง “พูดยังกับข้าเป็นเหมือนผู้หญิงทั่วไปอย่างนั้นแหละ”

Related

Comment

Options

not work with dark mode
Reset