กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ – ตอนที่ 310 หนึ่งคนชั่วชีวิต

ซ่งชูอีเห็นว่าเขายังคงสวมชุดเกราะสีดำจึงเอ่ยถาม “เจ้าไม่ได้นอนทั้งคืน?”

เจ้าอี่โหลวตอบไม่ตรงคำถาม “กลับไปพักผ่อนเถิด”

ถ่านไฟในหอคอยร้อนเล็กน้อย ซ่งชูอีเหงื่อออกเต็มตัวขณะที่กินบะหมี่ จากนั้นก็เดินตามเขากลับไปที่ห้องนอน หยิบเสื้อผ้าสะอาดแล้วไปอาบน้ำ

หนิงยาได้ยินเสียงแล้วก็รีบลุกจากเตียงไปปรนนิบัติ

“เหตุใดท่านเพิ่งกลับมาเจ้าคะ ท่านแม่ทัพไปรอท่านที่หน้าประตูวังแต่ก็ไม่เห็นท่านออกมา” หนิงยาพับแขนเสื้อขึ้นเพื่อตักน้ำรดที่หลังของซ่งชูอี

หน้าประตูวังไม่อนุญาตให้ใครหยุดอยู่นาน มิฉะนั้นเจ้าอี่โหลวก็คงไม่ต้องเทียวไปเทียวมา

ซ่งชูอีหรี่ตาลงท่ามกลางหมอกควันร้อนกรุ่น ได้ยินคำพูดของหนิงยาก็ถามว่า “ตอนเย็นเขากินอะไร?”

หยิงยากล่าว “กินหนังปิ่ง (แป้งชนิดหนึ่ง) ไปนิดหน่อยเจ้าค่ะ วันนี้ท่านเจินส่งของดีมาให้ มีน้ำแกงงูและเนื้อกวางจากเฝิงเจ๋อ ทำเสร็จไว้หมดแล้ว ส่งมาหลังอาหารค่ำ ท่านแม่ทัพกล่าวว่าให้เหลือให้ท่านเจ้าค่ะ ฤดูเช่นนี้ไม่บูดง่าย แต่เกรงว่ารสชาติไม่เหมือนกับตอนที่เพิ่งปรุงเสร็จใหม่ๆ”

ซ่งชูอีเอ่ย “เด็กสาวตัวน้อยรู้ความไม่น้อยเลย”

หนิงยาอมยิ้ม “ติดตามท่าน จะไม่รู้ความได้อย่างไรเจ้าคะ?”

“ประจบประแจงเก่งนัก” แม้ว่านางอดทนต่อความยากลำบากได้เมื่อสมควรอดทน แต่นางก็สามารถเพลิดเพลินได้อย่างเต็มที่ยามที่ควรเพลิดเพลิน นางมีนิสัยสบายๆ เสมอมา สำหรับอาหารและเสื้อผ้านั้นความสะดวกสบายเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก ไม่ได้จงใจมุ่งเน้นไปที่ความหรูหรา

หนิงยาอธิบาย “ทว่าบ่าวมิได้เสแสร้งเลยเจ้าค่ะ ในจวนของท่านมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายนั้นลำบากกว่ามาก เนื้อก็มิได้กิน จินเกอถึงได้มาแย่งเนื้อไป๋เริ่นในจวนกินทุกสามถึงห้าวัน”

ซ่งชูอีหัวเราะเสียงดัง “เจ้านินทาว่าร้ายลับหลังเช่นนี้ ระวังข้าจะกลับไปฟ้องเขา”

หนิงยากล่าวอย่างมีเหตุผลเพียงพอ “บ่าวไม่กลัวเจ้าค่ะ หากท่านจะบอกท่านมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย บ่าวก็จะขอค่าเนื้อจากเขา เป็นจำนวนไม่น้อยเชียว”

หัวเราะหลุดขำออกมา “เยี่ยม สมกับที่เป็นคนสกุลซ่งของข้า ต้องทำเช่นนี้”

หนิงยาได้ใช้สกุลซ่งก็เท่ากับเป็นเจ้านายในจวนแล้วครึ่งหนึ่ง นางก็แทนตัวเองว่า “บ่าว” เพียงต่อหน้าซ่งชูอีเท่านั้น จางอี๋เห็นนางเป็นน้องสาว มักจะเย้านางเล่นเสมอ ดังนั้นนางจึงค่อยๆ สูญเสียความขี้ขลาดของความเป็นทาสไป

หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว ซ่งชูอีก็กลับไปยังห้องนอน เจ้าอี่โหลวก็เพิ่งออกมาจากห้องอาบน้ำที่ลานด้านนอกเช่นกัน เห็นนางปีนขึ้นไปบนเตียงทั้งที่ยังไม่เช็ดผมให้แห้งก็ดึงนางลงมา “ข้าสั่งให้คนอุ่นอาหารวางไว้บนโต๊ะแล้ว หากเจ้าหิวก็ไปกินเสีย”

รู้สึกว่าเจ้าอี่โหลวอารมณ์ไม่ดี ซ่งชูอีจึงยิ้มเย้ยพร้อมกับเอ่ยว่า “ข้าก็หิวนิดหน่อยจริงๆ เจ้าก็ไม่ได้กินอะไรมาทั้งคืน พวกเราไปกินด้วยกันดีรึไม่?”

เจ้าอี่โหลวขมวดคิ้ว “ดีเลวอย่างไรก็เป็นถึงอ๋องแล้ว! เหตุใดถึงได้งกเพียงนี้ กักตัวคนอื่นไว้คุยเรื่องการเมืองแม้แต่ข้าวสักคำก็ไม่ให้กิน!”

ซ่งชูอีพยักหน้าหงึกหงัก “ให้กินแล้ว ทว่าไม่ให้กินอิ่ม”

ครั้นได้ยินว่านางยังหิว เจ้าอี่โหลวก็ออกไปจากห้องกับนาง

ภายใต้แสงสว่างสดใส ซ่งชูอีกวาดสายตาก็เห็นหม้อใส่อาหารลายสัตว์เทาเที่ย[1]ในตำนานวางอยู่บนโต๊ะ เทาเที่ยที่แกะสลักนั้นน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง ดวงตาทั้งสองดวงฝังหยกดำ ด้านข้างมีหูที่เป็นถ้วยหยกขาวไร้หูจับคู่หนึ่ง มีขนาดประมาณถ้วยขนาดเล็ก สีขาวราวกับหิมะ ลวดลายที่สลับซับซ้อนถูกแกะสลักอยู่บนนั้น นอกจากนี้ยังมีกาหยกขาวใบหนึ่ง ลำตัวอ้วนคอยาวเหมือนห่าน ลายเส้นมีความงดงามมาก เข้าชุดกับจอกหยกขาวดุจดอกบัวฝีมือประณีตสองสามใบ

ซ่งชูอีนั่งลง สอดมือไว้ในแขนเสื้อแล้วชื่นชมอยู่ครู่หนึ่งก่อนส่งเสียงจุ๊ๆ “ข้าเป็นคนที่จุกจิกจริงๆ! ดูความน่าเกรงขามของคนอื่นเขาสิ สัตว์ในตำนาน บุปผางาม ช่างให้เสน่ห์ที่แตกต่างออกไปจริงๆ”

เจ้าอี่โหลวเปิดหม้ออาหาร คีบเนื้อให้นาง

ซ่งชูอีมองดูเขาในเสื้อคลุมแขนกว้างสีขาวงาช้างภายใต้แสงไฟสว่างจ้า ผมหมึกไหลยาว ใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาทั้งคู่หรี่ลงเล็กน้อยเนื่องจากถูกรมด้วยไอร้อน มือทั้งสองเรียวยาว มือหนึ่งถือฝาหยกขาวไว้ คีบเนื้อกวางนุ่มวางไว้บนจานหยก อีกมือหนึ่งถือมีดเล่มน้อยๆ ที่ฝังด้วยหยกดำหั่นเนื้อเป็นชิ้นเล็กพอดีคำ ท่าทางเช่นนี้สูงศักดิ์สุดจะพรรณา

เจ้าอี่โหลวเป็นเหมือนหยกงามที่ปกคลุมไปด้วยฝุ่นและโคลน หลังจากถูกน้ำชำระล้างจนสะอาดแล้ว ก็ยิ่งแพรวพราวทำให้ยากที่จะละสายตา

“กินข้าว” เจ้าอี่โหลวยื่นจานให้นาง

“เจ้าก็กินด้วยสิ” ซ่งชูอีคีบเนื้อชิ้นหนึ่ง ส่งเข้าปากเขา

เข้าก้มหน้ารับเข้าปาก

หลังจากแบ่งปันมื้ออร่อยแล้ว ทั้งสองคนล้างหน้าล้างตาแล้วขึ้นไปบนเตียง เจ้าอี่โหลวหาผ้าขนหนูสะอาดเพื่อให้นางเช็ดผม

ซ่งชูอีหนุนอยู่บนตักของเขา เรอทีหนึ่ง “อี่โหลว เวลาข้างานยุ่งก็ลืมวันลืมคืนแล้ว ต่อไปไม่ต้องรอข้า อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ หากที่รักของข้าไม่สบายแล้วไม่ดีแน่!”

“ข้ากินข้าวเย็นมากเกินไป นอนไม่หลับ” เจ้าอี่โหลวเอ่ยเฉยเมย

เขาวิ่งไปวิ่งมาสิบกว่ารอบในคืนเดียว ต้องเตร็ดเตร่อยู่บนถนนเป็นเวลานานทุกครั้ง จนกระทั่งรุ่งสางเห็นผู้อารักขาลับพาซ่งชูอีออกจากวัง คิดว่าไม่มีอันตรายใดแล้วจึงขี่ม้าล่วงหน้ากลับมารอที่จวนก่อน

ซ่งชูอีปล่อยให้เขาปากแข็งไป “ครั้งหน้าก็ไม่ต้องกินข้าวเย็นเยอะขนาดนั้น!”

เจ้าอี่โหลวขยี้ผมของนางอย่างแรง กัดฟันเอ่ย “เงินเบี้ยหวัดทั้งหมดของข้าอยู่ในจวนเจ้าแล้ว กินอิ่มทุกมื้อก็ใช้ไม่หมด เจ้าควบคุมไม่ไหวดอก!”

“จิ๊ โรคเช่นนี้ยังมาป่วยร่วมกันอีก!” ซ่งชูอีงุนงง คนหนึ่งไม่ยอมให้นางกินอิ่ม อีกคนก็เถียงกับนางบอกว่าตนกินมากเกินไป

ข้างนอกเป็นเวลารุ่งสางแล้ว หลังจากทั้งสองจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็กอดกันหลับไป

นอนจนถึงบ่าย

หิมะด้านนอกสว่างเจิดจ้า ซ่งชูอีกังวลว่าวันนี้ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างยังไม่จัดการจึงลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาแล้ว

หลังจากกินอะไรนิดหน่อยก็เรียกหมี่จีเข้ามา คุยกับนางเรื่องเข้าวัง

“เมื่อคืนข้าไปถามฝ่าบาทแล้ว ฝ่าบาทตรัสเป็นการส่วนตัวว่าเขาต้องการให้เจ้าเข้าวัง” ซ่งชูอีมองดูหมี่จีที่นั่งอยู่บนที่นั่งในชุดผู้ชาย ยิ่งมองยิ่งคุ้นตาขึ้นทุกที

หมี่จีได้ยินแล้วก็เหลือบตาขึ้นมอง เอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ท่านไม่ต้องการเชี่ยแล้ว?”

การสบตากันเช่นนี้ทำให้จู่ๆ ซ่งชูอีก็นึกขึ้นมาได้ว่าคิ้วตาของหมี่จีค่อนข้างคล้ายกับนาง เพียงแต่หน้าตาสวยกว่ามาก “ชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียแล้วตัดสินใจด้วยตัวเอง หากเจ้าไม่เต็มใจที่จะเข้าวังจริงๆ ข้าจะช่วยเจ้าหาทางปฏิเสธ ทว่าไม่แน่ว่าจะสำเร็จ”

หมี่จีเงียบไปชั่วขณะ เอ่ยว่า “เชี่ยเต็มใจที่จะเข้าวังเจ้าค่ะ”

ซ่งชูอีจ้องดวงตาที่แน่วแน่คู่นั้น ยิ้มเอ่ย “ด้วยเหตุผลใด ว่ามาให้ฟังได้หรือไม่?”

หมี่จีหัวเราะเย้ยหยัน “นายท่านถามได้แปลกเหลือเกิน มีหญิงคนใดบ้างที่ไม่ปรารถนาที่จะปีนขึ้นสู่อำนาจ?”

“ทว่าข้าไม่เชื่อในคำพูดของเจ้า” ซ่งชูอีเอี้ยวตัวพิงที่พักแขน ยิ้มกรุ้มกริ่มพร้อมกับมองนาง “เจ้าก็อยู่ในจวนมานานแล้ว ข้าเป็นกุนซือจะละเลยคนข้างกายได้อย่างไร? เจ้ามีนิสัยอย่างไรแม้ว่าข้าไม่สามารถพูดได้อย่างชัดเจนก็พอจะรู้อยู่บ้าง”

หมี่จีตื่นตระหนกทว่าก็กลับมาเป็นปกติในทันที ครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงเอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “ในโลกใบนี้ผู้ชายช่างโชคดีเหลือเกิน เชี่ยไม่เคยร้องขอผู้ที่เห็นอกเห็นใจและมีคุณธรรม หากชาตินี้โชคไม่ดีต้องกลายเป็นของเล่นใต้ร่างคนอื่นก็จะยอมรับมัน ทว่าในที่สุดสวรรค์ก็มิได้ใจร้ายกับเชี่ย ทำให้เชี่ยได้มาพบกับท่าน”

นางไม่กลัวที่จะมองตาซ่งชูอีโดยตรง มีความเข้มแข็งระหว่างคิ้วตาที่บอบบางนั้น “เดิมทีเชี่ยตั้งใจว่าหากชาตินี้ไม่อาจพบคู่ครองก็จะอยู่ตัวคนเดียวตลอดไป ความปรารถนานี้เป็นเรื่องยากที่จะบรรลุ หากจะต้องหาผู้ชายที่พึ่งพาได้สักคน เชี่ยก็ต้องการเลือกผู้ชายที่สูงศักดิ์และมีอำนาจมากที่สุดในโลก เมื่อเดิมพันชนะก็จะอยู่เหนือผู้คน หากแพ้อย่างมากสุดก็ตาย”

ซ่งชูอีนั่งตัวตรงช้าๆ มองหมี่จีครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็หัวเราะออกมา “คมคายนัก!”

“ชั่วชีวิตนี้หมี่จีจะไม่กล้าลืมบุญคุณของท่านเลย” หมี่จีค้อมตัวคำนับ ตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายกับบ่าวนี้

[1] เทาเที่ย สัตว์ในตำนานจีนจากป่าท้อสิบลี้ มังกรผู้ดุดัน ชอบดื่มเลือดและกินเนื้อมนุษย์

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ
Status: Ongoing
นิยายแปลรักย้อนยุคสุดเข้มข้นแนวกลยุทธ์สงคราม! อีกหนึ่งผลงานจากผู้เขียน ‘นิติเวชหญิงแห่งต้าถัง’ ‘ซ่งชูอี’ อาจมิใช่สาวงาม หากเป็นกุนซือหญิงผู้กุมชะตาชีวิตคนทั้งเมือง นางเสาะหาสันติสุขท่ามกลางการแก่งแย่งชิงดีของเจ็ดมหานครรัฐ ด้วยสติปัญญาอันชาญฉลาด นางสามารถเอาตัวรอดได้ทุกครั้ง ทว่าก็ยังพลั้งพลาดมอบความไว้เนื้อเชื่อใจให้คนที่มิคู่ควร และสิ้นลมอย่างน่าอนาถในวันที่นครถูกโจมตี! แต่เหมือนสวรรค์มีตาให้โอกาสนางได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตอีกครั้งในวัยสิบห้า ลิขิตให้นางได้พบกับเจ้าอี่โหลว องค์ชายหนุ่มตกอับกลางป่า ก่อนจะพลัดพรากให้จากกัน ท่ามกลางไฟสงครามที่แสนสับสนวุ่นวายและการต่อสู้พลิกชะตาที่เคยล้มเหลว ทั้งนางและเขา…ก็กลับได้มาพบกันอีกครั้ง!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset