แม้ว่าหนิงยาจะตกใจทว่าก็เทียบไม่เท่าความกังวลที่มีต่อซ่งชูอี นางเล่าเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความคล่องแคล่วอีกครั้ง
จางอี๋นิ่งไปครู่หนึ่ง ปลดป้ายบนเอวของตัวเองแล้วยื่นให้ทหารอารักขาข้างกาย “ถ่ายทอดคำสั่งของข้า ปิดประตูนครทันที ตรวจสอบผู้คนและรถที่สัญจรไปมาอย่างละเอียด”
สิ่งที่สามารถทำได้ตอนนี้ก็ทำหมดแล้ว จางอี๋ยังคงเป็นห่วงอย่างยิ่ง ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาโล่งใจยิ่งกว่าก็คืออีกฝ่ายทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อที่จะลักพาตัวซ่งชูอีเช่นนี้ แสดงว่ายังไม่มีความตั้งใจที่จะเอาชีวิตนางสักพัก
จางอี๋รอจนคนในจวนตุลาการมาถึงก็รีบไปเข้าเฝ้าองค์จวิน
ในหอคอย อิ๋งซื่อกำลังหารือเรื่องงานกับซือหม่าชั่วและชูหลี่จี๋
“ฝ่าบาท ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเถาเอ่ย
“เชิญ” อิ๋งซื่อยกถ้วยชาขึ้น ส่งสัญญาณให้ยุติการหารือชั่วคราว
จางอี๋เร่งรุดเข้ามา สะบัดแขนเสื้อคำนับ กล่าวด้วยความกระชับและรัดกุม “ฝ่าบาท กั๋วเว่ยถูกลักพาตัวพ่ะย่ะค่ะ!”
ทันใดนั้นก็เกิดความเงียบภายในห้อง
อิ๋งซื่อวางถ้วยชาที่กำลังจะจรดปากลงอีกครั้ง
จางอี๋เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ตั้งแต่ต้นจบจนโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว
อิ๋งซื่อฟังจนจบ สีหน้าของเขามืดครึ้มนานแล้ว เป็นถึงกั๋วเว่ยทว่าถูกลักพาตัวในนครหลวง เท่ากับเป็นการตบหน้าเขาอย่างแรงและเป็นการลบหลู่ต้าฉินอย่างยิ่งยวด!
“ใครกันที่บังอาจเพียงนี้!” ซือหม่าชั่วโมโห “สับเป็นหมื่นชิ้นก็ยังน้อยไป”
อิ๋งซื่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ขันทีเถา เรียกถิงเว่ย (เสนาบดีตุลาการ) เข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเถาตอบรับ
เพียงพริบตาเดียว เสียงประกาศก็ดังก้องไปทั่วพระราชวังเสียนหยาง
ถิงเว่ยจวีหรังอายุห้าสิบกว่าแล้ว เป็นชาวสำนักนิติธรรมและเป็นคนเถรตรงเสมอมา แม้ว่าวันเวลาได้ระบายความเฉียบคมออกไปจากตัวเขาและความกะตือรือร้นเมื่อครั้งที่ติดตามซางจวินได้เหือดหายไปนานแล้ว ทว่าเขากลับเป็นคนที่จริงจังเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่เคยทำงานผิดพลาดระหว่างการดำรงตำแหน่งถิงเว่ยมาหลายปี
ทันทีที่เขาได้ยินว่ากั๋วเว่ยถูกลักพาตัวก็เดือดดาลยิ่ง คิดว่าเขาผ่านการปกครองมาแล้วสองชั่วอายุคน แม้นไม่มีความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่เฉิดฉายผ่านพงศาวดารแห่งประวัติศาสตร์ แต่ก็นับว่ามีผลงานทางการเมืองที่โดดเด่น ถ้าไม่สามารถนำตัวไอ้โรคจิตที่ลักพาตัวกั๋วเว่ยเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมก็เป็นความล้มเหลวในวัยชราแล้ว!
ทันทีที่ได้รับการเรียกตัว จวีหรังก็ไม่สนใจระบบใดๆ ทั้งสิ้น พุ่งตรงไปยังหอคอยทันที ฉวยโอกาสระหว่างที่บ่าวรับใช้เข้าไปทูลรายงาน จัดระเบียบเครื่องแต่งกายของตัวเองอย่างรวดเร็ว
“ถิงเว่ยเชิญ” บ่าวรับใช้เชิญเขาเข้าไปข้างใน
จวีหรังขึ้นไปยังชั้นบนพลางสางเคราของตัวเอง จัดระเบียบลมหายใจ ครั้นมาถึงชั้นสามจึงลดมือลงและหยุดเดิน สะบัดแขนเสื้อค้อมตัวคำนับอยู่หลังม่านไม้ไผ่ “กระหม่อมมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทตามพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
“เข้ามา” อิ๋งซื่อกล่าว
บ่าวรับใช้เลิกม่านขึ้น จวีหรังเดินเข้าไปก็พบว่ามหาเสนาบดีทั้งสองและท่านแม่ทัพใหญ่ก็อยู่ด้วย
หลังจากต่างคำนับกันเล็กน้อยแล้ว อิ๋งซื่อก็เอ่ยว่า “ถิงเว่ยจงหยุดงานราชการทั้งหมด ทุ่มเทกำลังตามหากั๋วเว่ย กำหนดกฎอัยการศึกนอกเมือง ภายในสามวันนี้ ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าหรือออกยกเว้นผู้ส่งสารสำหรับราชสำนัก!”
หัวใจของจูหรังสั่นสะท้าน กล่าวอย่างเด็ดขาด “หากคดีนี้ไม่คลี่คลาย กระหม่อมก็ขอรับโทษด้วยความตาย!”
อีกเพียงปีสองปีเขาก็จะประสบความสำเร็จและเกษียณอายุราชการแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเขาก็สามารถเพิ่มจารึกที่แม้ไม่โดดเด่นแต่สมบูรณ์แบบให้กับประวัติศาสตร์ต้าฉินได้ หากคดีนี้ไม่สามารถไขได้จริงๆ ต่อให้เขารับโทษด้วยความตายก็ยากที่จะสงบความโกรธในใจ! สถานการณ์ของเขาในตอนนี้ก็เหมือนกับการพยายามปีนขึ้นไปบนยอดผาด้วยความยากเย็นแสนเข็ญ อีกนิดเดียวก็จะถึงยอดแล้ว ขอเพียงเขายื่นมือออกไปก็จะสามารถรับความช่วยเหลือได้ ทว่าทันใดนั้นเท้าก็กลับพลาดแล้วร่วงลงสู่เบื้องล่าง
เขาไม่มีทางปล่อยให้สิ่งใดมาแปดเปื้อนความสำเร็จทางการเมืองและชีวิตของเขาเป็นอันขาด!
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง เสียนหยางไม่ได้ส่องสว่างเฉพาะเชิงเทินเท่านั้น แม้แต่ตามตรอกซอยก็ถูกจุดจนสว่างไสว แสงสว่างนี้ทำให้ขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไปมืดลง
ท่ามกลางความมืด…
ซ่งชูอีเพียงรู้สึกว่าตัวเองผล็อยหลับไป เมื่อตื่นขึ้นดวงตาก็ยังคงมืดอยู่และสามารถได้กลิ่นหอมของธูปผ่อนคลายจางๆ
นางเอื้อมมือไปสัมผัสร่างกายส่วนล่าง สัมผัสที่นุ่มนวลนั้นเป็นผ้าแพรอย่างชัดเจน
มีเสียงกรอบแกรบภายในห้องและไฟสว่างขึ้น
ชั้นผ้าโปร่งกั้นกลาง ดวงไฟที่อยู่ข้างโต๊ะด้านนอกถูกจุดขึ้น ซ่งชูอีเห็นว่ามีคนหนึ่งนั่งอยู่หน้าโต๊ะ ท่าทางผ่อนคลายยิ่ง
“ใครน่ะ?” น้ำเสียงของซ่งชูอีเจือปนความแหบแห้งหลังตื่นนอน
ชายคนนั้นยกมือขึ้นเล็กน้อย สาวใช้ทั้งสองก็ก้มศีรษะ เดินเข้ามาเลิกผ้าโปร่งขึ้น
โคมไฟจานลายดอกบัวนกหลวน[1]สองดวงส่องแสงเจิดจ้า ซ่งชูอีเห็นชุดเซินอีสีเขียวอ่อนแขนกว้างเป็นอย่างแรก ผมสีเงินทิ้งตัวงดงาม มันทอแสงประกาย ทว่าเขากลับเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาอายุประมาณสามสิบ อายตนะทั้งห้าอ่อนโยนสวยงาม หนวดเคราเป็นระเบียบเรียบร้อย ผิวขาวดุจหิมะ เขาที่อยู่ในชุดสีเขียวอ่อนนั้นดูเหมือนหิมะขาวในแสงแดดแห่งฤดูใบไม้ผลิ สว่างไสวทว่าเย็นยะเยือก
“ไม่ทราบว่ากั๋วเว่ยยังจำข้าน้อยได้หรือไม่?” ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ
ซ่งชูอีเอ่ย “ตู้เหิง”
ตู้เหิงผู้นี้เป็นเจ้านายในชมรมป๋ออี้ ตอนนั้นที่นางถูกหมิ่นฉือทำร้ายในรัฐเว่ย์ก็เคยไปแลกเปลี่ยนข่าวสารในชมรมป๋ออี้กับจี้ฮ่วน ตอนนั้นก็เป็นบุคคลนี้ที่ต้อนรับพวกเขา
ตู้เหิงคิดไม่ถึงว่าซ่งชูอีจะสามารถเอ่ยชื่อเขาได้ทันที สีหน้าประหลาดใจ จากนั้นก็ยิ้มเอ่ย “พบแล้วไม่ลืม สมกับที่เป็นซ่งจื่อจริงๆ”
ในความเป็นจริง ความจำของซ่งชูอีดีกว่าคนทั่วไปเพียงเล็กน้อย จะบอกว่าพบแล้วไม่ลืมก็ไม่ถูกนัก เพียงแค่นางได้พบกับผู้คนมากมาย แต่มีผู้ชายเพียงคนเดียวในความทรงจำของนางที่สวมเสื้อผ้าสดใสและงดงามเช่นนี้ และเมื่อชีวิตของนางถูกแขวนไว้ด้วยเส้นด้าย นางก็จำได้อย่างลึกซึ้งเป็นธรรมดา
ซ่งชูอีพึมพำ “ไม่ใช่ว่าข้าเก่ง แต่ท่านตู้ประเมินบุคลิกของตัวเองต่ำไป”
“ฮ่าๆ ได้พูดกับซ่งจื่อช่างชวนให้มีความสุขเหลือเกิน” ตู้เหิงหัวเราะ รู้สึกซาบซึ้งเป็นพิเศษ “ข้าน้อยเริ่มวางแผนที่จะลักพาตัวซ่งจื่อตั้งแต่สองปีก่อนแล้ว ทว่าน่าเสียดายที่ไม่อาจลงมือได้เสียที แม้ว่าคราวนี้ข้าจะเตรียมการมานานกว่าครึ่งปีแล้วก็ตาม วันนี้ข้าน้อยก็มีความมั่นใจเพียงห้าส่วน บังเอิญได้พบกับจางจื่อพอดี เห็นว่ามีทหารอารักขารอบตัวเขาไม่มากนัก ข้าน้อยจึงเปลี่ยนแผนกะทันหัน และสวรรค์ก็ช่วยผู้ที่มีความพยายามตามคาด!”
“เมื่อหกปีก่อน ข่าวสารของข้าแซ่ซ่งมีมูลค่าหมื่นตำลึงทอง บัดนี้เพิ่มเป็นเท่าตัวแล้วหรือ? จึงทำให้ท่านตู้ลักพาตัวข้าโดยเจตนาเช่นนี้?” ซ่งชูอีหัวเราะเอ่ย
ตู้เหิงเห็นว่านางไม่ประหลาดใจก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย “ครอบครัวข้าน้อยค่อนข้างมั่งคั่ง คงไม่ทำผิดและขายชีวิตเพื่อเงินหรอก”
เขาชะงักไปครู่หนึ่งและโบกมือให้คนรอบข้างออกไป ลุกขึ้นเดินเข้าไปหาซ่งชูอี ยื่นมือสัมผัสแก้มของนางแผ่วเบา มีความแปลกใจและเบิกบานในดวงตา “คิดไม่ถึงเลยว่าซ่งจื่อที่น่าทึ่งและมีความสามารถเช่นนี้จะเป็นสตรีเพศ! ท่านว่า…หากข่าวนี้แพร่งพรายออกไปจะขายได้เท่าไรเชียว?”
“คิดจะใช้สิ่งนี้ข่มขู้ข้ารึ?” ซ่งชูอีเลิกคิ้วแล้วกล่าวอย่างมีความสุข “ท่านตู้คิดว่าชาวฉินตาบอดเช่นนั้นหรือ?”
แม้ว่าซ่งชูอีมีบุคลิกเหมือนผู้ชาย ตามปกติก็ออกจากบ้านน้อยมาก ผู้ที่พบปะบ่อยที่สุดก็หนีไม่พ้นขุนนางแห่งรัฐฉิน ใช่ว่าพวกเขาจะแยกแยะชายหญิงไม่ออก ไม่ว่าจะเป็นเพราะอิ๋งซื่อห้ามไว้อย่างลับๆ หรือเพราะเหตุผลอื่น ในเมื่อพวกเขามองออกก็แสดงว่ายอมรับในการมีตัวตนของนางไปโดยปริยายแล้ว
ในโลกนี้ ตราบใดที่คนในรัฐฉินยอมรับนาง นางจะไปกลัวทำไมว่าใต้หล้าจะล่วงรู้?
“ก็จริง” นิ้วของตู้เหิงค่อยๆ เลื่อนลงมาที่ลำคอเรียวยาวของนาง “ข้าน้อยยังมิเคยลิ้มรสสตรีเยี่ยงท่านมาก่อนเลย…”
ซ่งชูอีมองลงไปที่นิ้วของเขาและหัวเราะเยาะ ผู้ชายเยี่ยงนี้ช่างชวนให้น่าดูถูกเหลือเกิน ผู้ชายที่เอะอะก็พูดถึงแท่งที่ยาวไม่เท่าไรนั้น ทั้งไร้ยางอายและไร้ความสามารถ ไม่ว่าจะฉลาดแค่ไหนก็ยากที่จะสร้างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ได้
[1] นกหลวน เป็นนกศักดิ์สิทธิ์ในตำนานจีนโบราณ ถูกตั้งชื่อตามที่มันเติบโตในหลวนโจว (ปัจจุบันคือเขตหลวนชวนในลั่วหยาง) ในสมัยโบราณ