ตอนที่ 831 ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ (51)
มันดื่มเข้าไปไม่ได้แล้ว กู้เนี่ยนมีสีหน้าเจ็บปวดทุรนทุราย อวี๋กานกานป้อนโซดาจนหมดก็ป้อนน้ำดื่มต่อ ไม่ว่ากู้เนี่ยนจะเจ็บปวดแค่ไหน เธอก็ยืนยันที่จะเติมให้เต็ม หลังจากเติมแล้วเธอก็ใช้นิ้วล้วงคอกู้เนี่ยน
กู้เนี่ยนรีบอาเจียนแหวะๆ ออกมาทันที
หลังจากที่เขาอาเจียนออกหมดแล้ว อวี๋กานกานก็รีบขึ้นชั้นบนหยิบกล่องยาลงมา เข็มเงินเจาะไปที่ ตำแหน่งกวานหยวนสามนิ้วใต้สะดือของช่องท้องส่วนล่างของเขาอย่างรวดเร็ว…
หลังจากการฝังเข็มลงไป ใบหน้ากู้เนี่ยนเหยเกเล็กน้อย จากนั้นก็กลับมาเป็นปกติ
ไม่มียาที่เตรียมพร้อมสำหรับกู้เนี่ยนในกล่องยาเลย หากว่าจะออกไปหยิบยาและนำมาต้มมันนานเกินไป อวี๋กานกานจึงพากู้เนี่ยนไปส่งที่โรงพยาบาลทันที และในขณะเดียวกันก็โทรเรียกกู้เชินให้ตามมา
กู้เชินรีบไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุดด้วยสีหน้ากังวล “เสี่ยวอวี๋ น้องชายของลูกเป็นอะไร ยังดีๆ อยู่ไม่ใช่เหรอทำไมถึงเข้าโรงพยาบาลได้”
อวี๋กานกานเอ่ยตอบ “อาหารเป็นพิษค่ะ แล้วก็ค่อนข้างรุนแรงด้วยค่ะ แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวใจที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายของกู้เชินก็สงบลง และเขาก็รีบเข้าห้องผู้ป่วยเพื่อไปดูแลกู้เชิน
กู้เนี่ยนฟื้นแล้ว แม้จะไม่เป็นอะไรมาก แต่เขาก็ดูซีดเซียว ดูไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงสดใสเหมือนตอนปกติ
เขามองไปที่กู้เชินอย่างระโหยโรยแรง “พ่อ ผมขอโทษที่ต้องทำให้พ่อเป็นห่วง”
เมื่อเห็นว่าผู้เป็นลูกชายกำลังจะลุกจากเตียงคนไข้ กู้เชินก็ปรี่เข้าไปกดเขาให้นอนลงดีๆ เหมือนเดิม “ไม่ต้องขยับ นอนดีๆ แล้วลูกกินอะไรเข้าไป เห็นว่าดีๆ อยู่ ทำไมถึงอาหารเป็นพิษได้”
อวี๋กานกานก็สงสัยในข้อนี้เหมือนกัน ไม่เข้าใจว่ากู้เนี่ยนที่แข็งแรงดี ทำไมถึงเกิดอาการอาหารเป็นพิษได้
กู้เนี่ยนมาตั้งแต่ตอนเช้าตรู่ ตอนเที่ยงก็ทานข้าวที่บ้านเธอ พวกเขาต่างทานทุกอย่างเหมือนๆ กัน เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะป่วย ส่วนเธอกลับไม่เป็นอะไร
หรือว่าจะเป็นตอนเช้า
ตอนเช้ากู้เนี่ยนทานอะไรมาจากบ้าน
โชคดีที่เจอเธอ ตอนนั้นเธอปฐมพยาบาลฉุกเฉิน ไม่อย่างนั้นผลลัพธ์คงหนักหนาสาหัสกว่านี้ หากช่วยไว้ไม่ทัน อาจทำให้เสียชีวิตเนื่องจากภาวะไตวายเฉียบพลันหรือความผิดปกติของระบบไหลเวียนโลหิตส่วนปลายในระยะเวลาอันสั้นได้
กู้เนี่ยนเบะปากเอ่ยขึ้น “ผมไม่ได้กินอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าสักหน่อย ตอนเช้าผมก็ทานข้าวกับคุณพ่อ คุณพ่อก็ไม่เห็นเป็นไร ส่วนตอนกลางวันก็กินข้าวกับเขา…” เขาเหลือบมองไปที่อวี๋กานกาน “พี่ก็ไม่เห็นเป็นไรเหมือนกัน พวกเราทานเหมือนกันทุกอย่าง พวกพ่อไม่เห็นมีอาการอาหารเป็นพิษเลย ทำไมผมถึงอาหารเป็นพาได้ล่ะ”
เขางงยิ่งกว่ากู้เชินและอวี๋กานกานเสียอีก อีกอย่างเขายังเด็กกว่าสองคนนี้ด้วย ยังไงก็แข็งแรงกว่าทั้งสองอยู่แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมีอาการแค่คนเดียว
“ตอนเที่ยงก่อนทานข้าวนายออกไปไหนมา แล้วทานอะไรเข้าไปบ้าง” จู่ ๆ อวี๋กานกานก็นึกขึ้นมาได้ กู้เนี่ยนออกไปครั้งหนึ่งตอนก่อนทานข้าวกลางวัน เธอจึงรีบเตือนสติเขา ดูสิว่าเขาจะพอจำได้ไหม
ตอนเที่ยงหรือ กู้เนี่ยนก็นึกถึงกู้ซูหลิงขึ้นมาทันที ตอนที่เขาออกไปเจอกู้ซูหลิงเขาได้ทานอะไรไปบ้าง แต่เขาสองคนนั่งอยู่ในรถเพียงครู่เดียว…เดี๋ยวนะ เขาได้ดื่มน้ำที่กู้ซูหลิงยื่นให้
ก็แค่ดื่มน้ำ คงไม่ทำให้เกิดอาหารเป็นพิษหรอกมั้ง
นอกเสียจากว่า…
ไม่ เป็นไปไม่ได้!
“เปล่าครับ ไม่ได้กินอะไร”
ในขณะที่กู้เนี่ยนตอบคำถาม แววตาของเขาก็เป็นประกายวูบไหว
อวี๋กานกานสัมผัสได้ว่าเขาดูเหมือนจะมีบางอย่างปิดบังตัวเองอยู่
สงสัยที่เขาออกไปตอนเที่ยงต้องไปกินอะไรมาแน่ ๆ แล้วเป็นไปได้ว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาการอาหารเป็นพิษ ที่เขาไม่ยอมพูดก็เพราะไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่
หรือเขากำลังต้องการปกป้องใครอยู่กันแน่
หรือว่าอาหารเป็นพิษนี้จะเกี่ยวข้องกับจูอวี้ลู่สองแม่ลูกนั่น
นอกจากสองคนนี้ อวี๋กานกานก็นึกไม่ออกแล้วจริงๆ ทำไมกู้เนี่ยนถึงได้อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เหมือนกำลังปิดบังอะไรบางอย่างเอาไว้
ตอนที่ 832 ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ (52)
แม้ว่ากู้เนี่ยนจะสบายดีแล้ว แต่เขาก็ยังต้องอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อสังเกตอาการเป็นเวลาหนึ่งวัน นี่ก็ได้เวลาที่อวี๋กานกานและกู้เชินต้องกลับบ้านแล้ว
เรื่องสุขอนามัยในบ้านเธอให้แม่บ้านหูจัดการทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว แต่ยังคงมีกลิ่นตุ ๆ คละคลุ้งอยู่ในอากาศ ฟังจือหันจึงเข้าไปหลบในห้องไม่ออกมา
เมื่อเห็นว่าอวี๋กานกานกลับมาแล้ว เขาจึงเอ่ยถามอาการของกู้เนี่ยน
อวี๋กานกานพูดไปตามความจริง โดยไม่ปิดบังสักนิด แถมยังพูดถึงความสงสัยของตัวเองอีกด้วย แล้วเธอยังให้เขาช่วยตรวจสอบว่าตอนกลางวันกู้เนี่ยนออกไปทำอะไร
กู้ซูหลิงมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องอาหารเป็นพิษหรือไม่
วันต่อมา กู้เนี่ยนหายดีแล้วจึงสามารถออกโรงพยาบาลได้ อวี๋กานกานต้องไปทำงานก็เลยไปรับเขาไม่ได้ ดังนั้นจึงคิดว่าตอนเที่ยงค่อยออกไปทานข้าวที่บ้านกู้ และถือโอกาสไปเยี่ยมกู้เนี่ยนด้วย
ตอนเที่ยง คุณป้าแม่บ้านกำลังทำอาหารอยู่พอดี เมื่อได้ยินเสียงออดประตู กู้เนี่ยนคิดว่าเป็นอวี๋กานกาน แต่พอเปิดประตูเขาถึงพบว่าเป็นจูอวี้ลู่กับกู้ซูหลิงที่ยืนรออยู่ด้านนอกประตู
ไม่รู้ว่าพวกเธอไปรู้มาจากที่ไหนว่ากู้เนี่ยนอาหารเป็นพิษ จูอวี้ลู่มองกู้เนี่ยนด้วยสีหน้าเป็นห่วง จับแขนเขาหมุนหนึ่งรอบ ก่อนจะเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล “เสี่ยวเนี่ยน แม่ได้ยินมาว่าลูกเข้าโรงพยาบาลเพราะอาหารเป็นพิษ ลูกแข็งแรงจะตายทำไมถึงอาหารเป็นพิษได้ ลูกไปกินอะไรมา หมดว่ายังไงบ้าง ทำไมถึงไม่นอนโรงพยาบาลอีกสักสองวันแล้วค่อยออกมา ถ้ามีอาการข้างเคียงจะทำยังไง”
กู้เนี่ยนตอบกลับไปหนึ่งประโยค “ผมไม่เป็นอะไรครับ ผมหายดีแล้ว”
“เสี่ยวอวี๋มาแล้วเหรอ…” กู้เชินนึกว่าอวี๋กานกานมาแล้ว แต่พอเห็นหน้าจูอวี้ลู่สองแม่ลูก รอยยิ้มบนใบหน้าพลันนิ่งค้าง
“อาเชิน เสี่ยวเนี่ยนอาหารเป็นพิษได้ยังไงคะ” จูอวี้ลู่รีบก้าวเข้าไปหากู้เชินด้วยสีหน้าร้อนรนและขาวซีด
“ไปกินของแสลงมาล่ะมั้ง” กู้เชินตอบแบบขอไปที เพราะเขาไม่อยากคุยอะไรมากกับจูอวี้ลู่
กู้ซูหลิงเต็มไปด้วยความสงสัย “กินของแสลง ก็ยังดีๆ อยู่จะกินของแสลงได้ยังไงล่ะ เมื่อวานเสี่ยวเนี่ยนบอกว่าเขาอยู่กินข้าวที่บ้านอวี๋กานกาน อวี๋กานกานให้เสี่ยวเนี่ยนกินอะไร คงไม่ใช่…”
เธอเอามือปิดปากด้วยความตกใจและหวาดกลัว
แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดคำหยาบ แต่ทุกการแสดงออกและการเคลื่อนไหวที่ละเอียดอ่อนบนร่างกายของเธอกำลังบอกกับทุกคนว่า อวี๋กานกานที่จงใจทำให้กู้เนี่ยนอาหารเป็นพิษจนต้องนอนโรงพยาบาล
กู้เชินเบิกตาโตจ้องเขม็ง “พูดเหลวไหลอะไร”
กู้เนี่ยนมองเธอด้วยสายตาซับซ้อน “ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขา”
กู้ซูหลิงสบถเสียงเย็น “อาหารเป็นพิษเพราะอาหารของเธอ ทำไมถึงจะไม่เกี่ยวข้องกับเธอล่ะ”
และในขณะนั้นเอง เสียงของอวี๋กานกานก็ดังขึ้น “เอ๊ะ ทำไมประตูเปิดอ้าซ่าล่ะ รู้ว่าฉันจะมา…”
เสียงจากด้านหลังหยุดกะทันหัน อวี๋กานกานชะงักก้าวขา แล้วยืนมองจูอวี้ลู่สองแม่ลูกอยู่ตรงประตู
สองคนนี้มาได้ยังไง
ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าสองคนนี้จะมา เธอก็ไม่มาแล้ว…
เมื่อเห็นอวี๋กานกาน กู้ซูหลิงจึงปรี่เข้าไปตะคอกใส่ “อวี๋กานกาน แกทำร้ายน้องชายฉันใช่ไหม คิดว่าถ้าน้องฉันตาย แกก้จะได้ฮุบสมบัติคุณพ่อเอาไว้คนเดียว”
จูอวี้ลู่ก็ชี้หน้าด่าอวี๋กานกานด้วยความโกรธ “ทำไมเธอถึงได้เลวทรามขนาดนี้ คิดไม่ถึงว่าจะวางยาทำร้ายลูกชายฉัน!”
อวี๋กานกานหัวเราะเบาๆ “คิดว่าฉันโง่เหรอคะ จงใจวางยาเขาตอนมากินข้าวที่บ้าน แล้วฉันยังกินเหมือนกับเขาอีก”
กู้ซูหลิงพูดด้วยความโกรธ “ใครจะไปรู้ว่าแกคิดทำอะไรอยู่ แกเป็นถึงหมอ อยากให้คนอาหารเป็นพิษก็คงเป็นเรื่องง่าย แล้วพอแกทำสำเร็จก็ไม่ให้ใครรู้ บางทีแกอาจจงใจให้เป็นแบบนี้ ให้ทุกคนรู้ว่าแกอยู่บ้านก็จะได้ไม่ต้องสงสัยแก แกถึงได้ใช้วิธีตรงข้าม ถ้าถูกจับได้ก็บอกว่าอาหารเป็นพิษ”