วันต่อมาเริ่มต้นเร่งออกเดินทางต่อ
เฉินเสียนนั่งอยู่ในรถม้าที่โคลงเคลงโยกไปโยกมา เธอใช้แขนเสื้อโบกสะบัดพัดให้เกิดลม
เธอนั้นยังดี ไม่ร้อนจนเป็นทุกข์มากมาย องครักษ์ด้านนอกกับนางสนมถูกพระอาทิตย์สาดส่อง เป็นทุกข์มากกว่าเธออยู่บ้าง
ด้านนอกพระอาทิตย์ร้อนแผดเผา สาดส่องสะท้อนดวงตา อากาศถูกแผดเผาจนบิดเบี้ยว ถนนหลวงเขียวสองข้างยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ธัญพืชในทุ่งนาเหี่ยวแห้งโรยรา
บางครั้งผ่านแล้วยังได้ยินเสียงเหล่าอาณาประชาราษฎร์ทำงานในพื้นดินพูดคุยกัน อีกด้านปาดเหงื่อราวกับฝนอีกด้านทอดถอนหายใจออกมากล่าวขึ้นว่า“อากาศนี้ร้อนอย่างต่อเนื่องมาหลายวันแล้ว หากยังร้อนต่อไปอีก ธัญพืชจะตายหมดแล้ว!”
“ใช่ ตอนนี้เพิ่งจะเริ่มคิมหันตฤดู ก็ร้อนเช่นนี้แล้ว ด้านหลังจากนี้จะทนความร้อนแผดเผานี้ได้อย่างไรกันเล่า”
เมืองหลวงต้าฉู่ค่อนไปทางเหนือ เมื่อก่อนเฉินเสียนอย่างน้อยตอนที่พระอาทิตย์แสงอ่อนลงถึงได้ออกเดิน เป็นผลให้รู้สึกว่าคิมหันตฤดูไม่ได้ร้อนมากมาย
ตอนนี้ห่างจากเมืองหลวงไกลมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว อีกทั้งเป็นเส้นทางที่เดินทางไปทางใต้ บรรยากาศระหว่างการเดินทางเลยยิ่งรู้สึกว่าร้อนแผดเผามากขึ้น
เหมาะเจาะกับเวลาที่เฉินเสียนกำลังเคลิ้มหลับ ทันใดนั้นมีองครักษ์จู่โจมเข้ามาเตือนให้ระวังการโจมตีจากฝ่ายตรงข้าม แล้วนำรถม้าจอดอยู่ด้านข้าง กองกำลังก็หยุดเช่นกัน
เฉินเสียนไม่รู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น จึงสะบัดม่านผืนเล็กขึ้นแล้วมองออกสู่ทางด้านนอก
เห็นองครักษ์ถึงแม้จะขี่ม้าอยู่แต่ไร้การเคลื่อนไหว แต่ทว่าคิดในใจตัวเองว่าต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น มองเส้นทางที่ผ่านมาด้านหลังเป็นสายตาเดียวกัน
เฉินเสียนใจจดใจจ่อถึงได้ยินเสียงกีบม้าดังมาแต่ไกล
ระดับความรวดเร็วเป็นที่แน่นอน กองกำลังของตัวเองไม่อาจมีผู้ที่มาในระดับความเร็วเช่นนั้นได้หรอก ดังนั้นจึงต้องหลีกทางให้กับพวกเขา
แต่องครักษ์ไม่รู้ว่าผู้ที่มานั้นดีหรือชั่ว หากว่าเป็นผู้ร้ายก่อทำความชั่ว พวกเขาต้องปกป้องดูแลเฉินเสียนผู้ที่เป็นองค์หญิงนี้ เป็นเหตุให้ไม่สามารถหละหลวมใจความสำคัญนี้ได้เลย
เสียงกีบม้านั่นจากไกลดังใกล้เข้ามา ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ กระชั้นถี่วุ่นวายจนทำให้ใจของคนนั้นเกร็งตึงเปรี๊ยะไปด้วย
เฉินเสียนมองทะลุหน้าต่างเล็ก มองไปทางด้านหลังอย่างสุดความสามารถ
เธอหรี่ตามองแล้วเห็นแสงอาทิตย์สีทองสาดส่องสะท้อนทางหลวงนั้นทั้งขาวทั้งเจิดจรัส ถนนหลวงเส้นนั้น ปรากฏจุดสีดำสองจุด กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ด้านหลังแฉลบผ่านด้วยความเหน็ดเหนื่อยเดินทางลำบาก
สองด้านมีข้าวเขียวขจีเลื้อยเป็นคลื่น ตามด้วยลมร้อนพัดกระจายเป็นชั้นลายสีเขียวอร่ามสลัวๆ ทำให้เฉินเสียนมีภาพลวงตาอยู่เป็นเวลานาน
เฉินเสียนเตือนสติองครักษ์ว่า“พวกเขาน่าจะเดินทางค่อนข้างรีบ พวกเราเขยิบชิดมาด้านข้างอีกหน่อยแล้วเปิดทางให้พวกเขา”
เฉินเสียนกำลังจะเบนสายตากลับมาแล้วปล่อยม่านลง เวลานี้องครักษ์ตื่นตัวขึ้นมาทันทีทันใด แล้วกล่าวขึ้นว่า“องค์หญิง พวกเขาคล้ายกับว่าจะพุ่งใส่พวกเราพ่ะย่ะค่ะ”
ตามด้วยองครักษ์ทุกนายต่างรวบรวมสติ มือกอบกุมด้ามดาบพกบริเวณเอวกันอย่างเงียบๆ
เฉินเสียนชะงักงัน
ฝั่งตรงข้ามนั้นมีเพียงสองคน และฝั่งของเธอมีผู้คนเป็นกลุ่มก้อน หากมีเจตนาร้ายจริงก็ไม่มีทางมาตอนช่วงกลางวันฟ้าสางเช่นนี้หรอก
เฉินเสียนก็ไม่ได้มีการยับยั้ง เพียงแค่อยู่ในรถม้าเงียบๆ
เธอคิดในใจ หากทั้งสองคนนั้นเป็นผู้ที่เก่งกาจมาก ก็ไม่ได้สนใจว่าเป็นกลางวันฟ้าสางใช่หรือไม่
เธอนึกถึงซูเจ๋อขึ้นมาทันที
เมื่อสมัยนั้นเขาไม่ใช่ว่าขึ้นภูเขาไปเพียงลำพังหรือ จัดการสังหารโจรชั่วไม่หลงเหลือไว้เลย?
เสียงกีบม้าดังใกล้เข้ามา เฉินเสียนราวกับว่าดมกลิ่นสัมผัสได้ถึงความเหน็ดเหนื่อยของกีบม้านั้น
อย่างไรก็ตามทุกอย่างปลอดภัยไร้ความกังวล ไม่มีผู้ร้ายกระทำความชั่วอย่างที่ทุกคนเตรียมป้องกันไว้ และก็ไม่มีผู้ที่ใช้การสู้รบแก้ปัญหาแต่อย่างใด
เฉินเสียนได้ยินน้ำเสียงที่พูดคุยด้านนอก ตื่นเต้นตกตะลึงทั้งตัว
กลางฝ่ามือของเธอมีเหงื่อออก ใจเต้นระรัวอย่างรุนแรง ร่างกายราวกับว่าจะไม่สามารถระงับอาการสั่นเทานี้ได้เลย
น้ำเสียงนั้นดุจดั่งสายลมเย็นสบาย พัดผ่านหูของเธอ เป็นเสียงที่เคยได้ยินในฝัน เธอได้ยินน้ำเสียงนั้น
เหมือนกันเสียจริง
ซูเจ๋อ?
เฉินเสียนไม่ค่อยเชื่อ กลัวว่าตัวเองจะหูฝาด ซูเจ๋ออยู่ที่เมืองหลวงที่แสนไกล จะมาปรากฏตัวอยู่ที่ที่แสนไกลห่างจากเมืองหลวงหลายร้อยลี้นี้ได้อย่างไร
เธอนั่งทึ่งมึนงง ไม่ได้มองออกไปด้านนอกโดยทันทีเลย
จนถึงตอนที่เธอได้ยินพูดถึงอะไร“ทูตเย่เหลียง ”“พระราชโองการมาที่นี่”คำพูดเหล่านี้ เธอก็ดีดตัวออกมาจากในรถม้าทันที โดยไม่ระมัดระวังเหยียบโดนกระโปรง เกือบจะล้มหัวคะมำลงมา ซวนเซอยู่ไม่กี่ก้าวถึงประคองร่างกายให้นิ่งได้
เฉินเสียนหลุบตาขึ้นแล้วมองไป เห็นชายหนุ่มผู้ที่อยู่บนหลังม้าสวมชุดสีดำ ผมม้วนอยู่ทางด้านหลัง เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการเดินทาง เขาจับเชือกบังเหียนด้วยมือข้างเดียว มีท่าทางเรียบเฉย
หัวหน้าองครักษ์ตรวจดูพระราชโองการ คุกเข่าลงต่อหน้ากีบม้าของเขาทันที มือทั้งสองข้างถวายพระราชโองการด้วยความเคารพ องครักษ์คนอื่นๆรวมถึงชิงซิ่งก็คุกเข่าลงบนถนนหลวง
ซูเจ๋อรับพระราชโองการกลับคืนอย่างไม่รีบร้อน หลุบตาขึ้นช้าๆ มองห่างกันระยะหนึ่งกับที่เหล่าองครักษ์คุกเข่าอยู่นั้น ใช่เขามองดูเฉินเสียนที่กระโดดลงจากรถม้าอย่างรีบร้อนหน้าม้านไม่กล้าสบตานั่น
เฉินเสียนรู้สึกว่าแสงอาทิตย์สาดส่องทิ่มแทงแยงตาเป็นอย่างมาก เธอพยายามหรี่ตา ถึงได้มองเห็นใบหน้ากับเค้าโครงของเขาอย่างชัดเจน
ความแคบยาวของดวงตาคู่นั้นราวกับภาพวาดพู่กันจีน ชุดสีดำดิ่งลง แขนเสื้อกวัดแกว่งแผ่กระจายนั้น
ในนาข้าวที่อยู่ด้านข้างเป็นคลื่นไหลพาดผ่านเขียวขจี ด้านหลังของเขาสิบลี้มีเขาหลายลูกเชื่อมต่อกันงดงามตระการตา
เธอรู้สึกเลือนรางสลัวไม่เป็นความจริง นั่นเหมือนกับภาพวาดเลย มีเพียงเธอคนเดียวที่จมดิ่งอยู่ในภาพวาดนั้น
รอจนเธอได้สติคืนกลับมา ก็จนจะทนไม่ไหววิ่งไปดูเพื่อยืนยันให้แน่ชัดสักหน่อย สรุปว่าเขาเป็นบุคคลในภาพวาดจินตนาการ หรือว่าเป็นซูเจ๋อมาปรากฏตัวต่อหน้าเธอจริงๆ
แต่มือที่อยู่ในแขนเสื้อเธอนั้นเกร็งแน่น เตือนสติตัวเอง เธอต้องอดกลั้นไว้
ไม่รอให้เธอส่งเสียงออกมา ไม่รอให้องครักษ์ที่คุกเข่าอยู่ลุกขึ้นเช่นกัน ซูเจ๋อหันไปทางเธอดึงกระตุกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ราวกับกำลังปลอบใจเธอ แต่ช่วงเวลาถัดมา เขาได้ผ่อนคลายมือที่กุมบังเหียนม้า เปลือกตาที่เหนื่อยล้าหลับลง ทันใดนั้นคนทั้งคนตกลงมาจากหลังม้าอย่างไม่ทันเตรียมป้องกันตัวเลยแม้แต่น้อย
“ใต้เท้าซู!”
เฮ่อโยวที่อยู่ข้างกายเขาเห็นเฉินเสียนแล้วมีความปิติเป็นอย่างมาก การเดินทางอย่างเหน็ดเหนื่อยหายลดลงครึ่งหนึ่งโดยฉับพลัน แต่อยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายยังต้องเก็บอาการไว้บ้าง
เห็นซูเจ๋อล้มลงแล้ว เฮ่อโยวระบายความโกรธออกมาอย่างชัดเจน กล่าวขึ้นว่า“ต้องการลากข้าทำให้รวดเร็วกว่าที่ควรจะเป็น เร่งการเดินทางหลายวันติดต่อกัน ผู้ที่ร่ำเรียนก็คือผู้ที่ร่ำเรียน ผิวขาวนุ่มนวลบอบบาง ความทุกข์ยากแค่นี้ยังรับไม่ได้ ยังต้องการที่จะอวดฝีมืออีก ตอนนี้เป็นยังไง สมน้ำหน้าที่ล้มลงไป”
ถึงแม้เฮ่อโยวก็ผิวขาวนุ่มนวลบอบบาง แต่สำหรับเขารู้สึกว่าตัวเองดีกว่าผู้ที่ร่ำเรียนหนังสืออย่างซูเจ๋อ เพราะฉะนั้นเขายึดหยัดอดทนจนถึงตอนนี้ยังไม่ล้มลงเลย
ซูเจ๋อล้มลงก่อนเขา ทำให้ใจเขานั้นดูถูกซูเจ๋อ
ในสายตาของทุกคน ซูเจ๋อเป็นผู้ร่ำเรียนที่ไม่สามารถทนความลำบากของชีวิตได้สักครึ่งเลยจริงๆ
อากาศร้อนเช่นนี้ อีกทั้งเดินทางอย่างรีบเร่งในระยะทางที่ยาวไกล ประคับประคองมาได้จนถึงตอนนี้นับว่าเกินขีดจำกัดแล้ว
หัวหน้าองครักษ์ไม่มีเวลารีรอที่จะใส่ใจมารยาทประเพณีแล้ว รีบเข้าไปประคองซูเจ๋อขึ้น
เห็นบนศีรษะของซูเจ๋อมีเหงื่อออกแบบพร่อง อีกทั้งไม่มีสถานที่ร่มเย็นให้เขาได้พักด้วย กล่าวออกมาอย่างอดไม่ได้ว่า“ใต้เท้าซูอาจจะเหนื่อยมากจนเกินไป บวกกับอากาศที่ร้อนมาก มีอาการไข้แดดเล็กน้อย”
ไม่ว่าจะทำอย่างไรล้วนแล้วแต่ลำบาก สร้างความยุ่งยากอยู่บ้างเล็กน้อย
หากว่าให้ซูเจ๋ออยู่ใต้แสงอาทิตย์สาดส่องแผดเผาอย่างนี้ต่อไป เกรงว่าอาการจะยิ่งหนักมากขึ้นอีก
เฉินเสียนบีบกดใจให้สงบ แล้วกล่าวขึ้นว่า“นำเขาไปวางในรถม้าของข้าเถิด”
องครักษ์ไม่รู้สึกว่ามีอะไร ทุกคนล้วนเป็นชาย ออกเดินทางมาด้านนอกไม่ได้พิถีพิถันประเพณีอะไรมากมายเช่นนั้น
แต่ทว่าชิงซิ่งกล่าวว่า“องค์หญิง ใต้เท้าซูเป็นขุนนาง เข้าไปในรถม้าโดยพลการ เกรงว่าไม่เหมาะสมนะเพคะ”
เฉินเสียนมองนางด้วยสายตาเรียบเฉย กล่าวขึ้นว่า“ช่วยเหลือชีวิตผู้คนต้องรีบเร่ง มีสิ่งใดไม่เหมาะสมหรือ? หรือว่าต้องการให้ใต้เท้าซูที่ยังเดินทางไปไม่ถึงเย่เหลียงก็ล้มป่วยหนักแล้ว ใต้เท้าซูแบกหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบของราชสำนักและยังไม่เสร็จสมบูรณ์เลย ถึงวาระนั้นองค์หญิงเช่นข้าชดเชยไม่ได้ เจ้าชดเชยได้หรือไม่? ”
ชิงซิ่งกล่าวว่า“บ่าวมิกล้าเพคะ”