ซูเจ๋อกล่าวว่า “กำลังวังชาพอใช้ได้ เพียงแต่แยกร้อนหรือหนาวได้ไม่ชัดเจนชั่วคราว”
เฉินเสียนลูบสัมผัสบริเวณหน้าผากของเขา เย็นบ้างเล็กน้อย แล้วกล่าวขึ้นว่า“ท่านพักผ่อนให้มากๆสักหน่อยเถิด”
เธอหยิบเอาน้ำที่เหลือเพียงน้อยนิดในถุงเก็บน้ำมา ยื่นให้กับเขา เขาดื่มไม่กี่กลืนแล้วจึงนอนลง
เฉินเสียนนั่งลงบนขอบ แต่ทว่าเขามาอิงเอาศีรษะหนุนลงอยู่บนขาของเธอ เมื่อครู่นี้เธออยากผลักเขาออกห่าง เขาเลยกล่าวขึ้นว่า“เช่นนี้ข้าถึงสบายขึ้นมาหน่อย”
ช่างเถิด เห็นแก่เขาที่ร่างกายไม่แข็งแรง อย่างนั้นก็เลยให้เขาพิงชั่วคราว
ต่อมาซูเจ๋อหลับไป ราวกับว่าอยู่ข้างกายของเฉินเสียนนั้นเขารู้สึกสงบจิตสงบใจ เพราะว่าเขาหลับลึกเป็นอย่างมาก
เฉินเสียนไม่เหนื่อยเลยแม้แต่น้อย เธอหลุบตาลงมองพิจารณาใบหน้าซูเจ๋อมาโดยตลอด นิ้วมือลูบไล้อย่างแผ่วเบาผ่านบริเวณดวงตาเขา ไปไกลถึงลูบสัมผัสเส้นผมของเขา และเขานั้นไม่มีความรู้สึกตัวเลย
เฉินเสียนค้นพบว่าเธอสามารถเล่นเส้นผมของซูเจ๋อได้ทั้งบ่ายก็ไม่เบื่อเลย
เป็นมารอย่างแน่นอน ถึงได้รู้สึกว่าพึงพอใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เวลาค่ำคืนที่นอนไม่หลับคิดถึงบุคคลหนึ่งแล้วพลิกตัวไปมา ตอนนี้อยู่ตรงหน้าเธอแล้ว นอนหลับอยู่ตรงนี้ที่ขาของเธอ
เมื่อก่อนไม่เคยเห็นเขานอนหลับเช่นนี้ ที่แท้เขาก็เหนื่อยเป็น และก็นอนหลับเป็นด้วย
ตอนเดินทางถึงบริเวณพักที่มีร่มไม้ ซูเจ๋อไม่ตื่น ร่างกายเขายังไม่ดีเลย เธอจึงไม่สามารถไล่เขาออกไปจากรถม้าได้
หากเวลาที่เฉินเสียนพักผ่อนแล้วยังอยู่บนรถม้าเดียวกันกับเขา หลีกเลี่ยงยากมากที่จะทำให้มีผู้คนสงสัย ครั้นแล้วก็วางซูเจ๋อลงแล้วเตรียมตัวออกไป
กำลังจะลุกขึ้น ซูเจ๋อก็กอบกุมมือของเธอไว้
เธอหันกลับมามองเขา เห็นเขายังปิดเปลือกตาอยู่ไม่ได้ลืมขึ้น จึงกล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า“ท่านพักผ่อนจิตใจให้สงบนะ ข้าจะออกไปผ่อนคลายสูดอากาศ”
ตอนที่เฉินเสียนลงรถ ชิงซิ่งเลยเข้าไปประจันหน้า ถือโอกาสเหลือบมองผ่านม่านของรถม้าที่มีรอยแยก เห็นซูเจ๋อนอนหลับสนิทไม่ตื่นอยู่อย่างนั้น
ชิงซิ่งกล่าวถามขึ้นว่า“ใต้เท้าซูไม่เป็นไรใช่หรือไม่เพคะ?”
เฉินเสียนกล่าวขึ้นว่า“รอถึงจุดพักม้าแล้ว หาหมอมาดูอาการเขาหน่อยนะ ตอนนี้ให้เขาพักผ่อนเถิด ”เธอนำถุงเก็บน้ำสองอันยื่นให้กับชิงซิ่ง“ไปหาแหล่งน้ำแล้วตักน้ำมาหน่อยสิ”
“เพคะ”
เวลาต่อมาชิงซิ่งเลยไปหาแหล่งน้ำบริเวณใกล้เคียงกับองครักษ์สองคน
เฉินเสียนเหลือบเห็นเฮ่อโยวนั่งอยู่บนโขดหินใต้ต้นไม้ ในมือถือใบไม้พัดให้เกิดลม จึงได้เดินไปหาแล้วนั่งลงข้างเขา
เฉินเสียนกล่าวถามเสียงเบา“เจ้ามาได้อย่างไร?”
เฮ่อโยวก็ไม่ได้ปิดบัง กล่าวขึ้นว่า“องค์จักรพรรดิให้ข้าเป็นรองท่านทูต ร่วมเดินทางกับบัณฑิต ครั้งนี้ข้าได้รับคำสั่งให้มาจับตาดูเขา”
เฮ่อโยวกล่าวอีกว่า“แล้วก็ไม่รู้ว่าเขาผู้ที่อ่อนแอเช่นนี้มีสิ่งอันใดดูดีน่าจับตามอง”
เฉินเสียนหัวเราะ แล้วกล่าวขึ้นว่า“ใช่ มองดูแล้วเขาไม่มีพิษภัยเลย”แต่หากเขาแสดงอานุภาพขึ้นมา คาดว่าสามารถสับหั่นทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุเป็นชิ้นเล็กๆได้เลยแหละ
เฮ่อโยวกล่าวว่า“เชอะ ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรถึงเวลาที่ข้าควรจะความแค้นต้องชำระบุญคุณต้องทดแทนแล้ว ครั้งก่อนเขาทำให้ข้าต้องถูกตี ครั้งนี้หากเขามีการกระทำบุ่มบ่าม ข้าก็จะเขียนจดหมายส่งกลับเมืองหลวงร้องเรียนเขา”
เฉินเสียนหรี่ตาลง ปิดปากเงียบ
พอเฮ่อโยวเปลี่ยนน้ำเสียง เลยกล่าวอีกว่า“แต่มองดูแล้วเขาละเอียดอ่อนเรียบร้อย คาดไม่ถึงเลยว่าพอทำภารกิจขึ้นมาแล้วยังยืนกรานและเอาจริงเอาจัง”
“อืม?”
“ท่านไม่รู้หรอก ตั้งแต่ออกมาจากเมืองหลวง เขาก็เดินทางอย่างเร่งรีบ ชั่วประเดี๋ยวเดียวยังไม่เคยหยุดเลย ไม่อย่างนั้นภายในช่วงสั้นๆไม่กี่วันจะตามท่านทันได้อย่างไรกันเล่า ระหว่างเดินทางเขาวิ่งจนม้าตายสามสี่ตัว”
เฉินเสียนชะงักงันเล็กน้อย
ใบไม้พริ้วไหวเล็กน้อย จุดลายพร้อยเป็นประกาย กวัดแกว่งอยู่ข้างกระโปรงเธอ
เฮ่อโยวกล่าวว่า “ถึงแม้ว่าไม่อยากจะยอมรับ แต่ว่าจุดเล็กน้อยนี้ข้าเคารพนับถืออย่างมาก คาดไม่ถึงว่าผู้ร่ำเรียนผู้หนึ่งจะยังมีจิตใจที่แน่วแน่เช่นนี้ เขาสามารถเดินทางอย่างเร่งรีบทวีคูณตลอดวันตลอดคืนได้ ทุกค่ำคืนมากสุดพักเพียงสองชั่วยาม ข้านี่ทอดทิ้งชีวิตถึงได้ฝืนใจตามเขา เดินทางได้ครึ่งทางเหนื่อยจนอีกนิดหนึ่งแทบจะอาเจียนออกมา โชคดีที่คุณชายน้อยอย่างข้าพื้นฐานร่างกายไม่ได้แย่ เลยไม่ได้ไปไกลถึงขั้นล้มลง”
“เช่นนั้นเหตุใดท่านถึงไม่ตามมาพร้อมกันกับกลุ่มทหารคุ้มกันด้านหลังล่ะ ทำเช่นนี้ก็จะได้รับความทุกข์ยากน้อยลงหน่อย”เฉินเสียนได้สติกลับมา เลยกล่าวถาม
“นั่นไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะตามท่านทัน ข้าก็อยากจะเจอท่านเร็วหน่อย”เฮ่อโยวกล่าวว่า“เขาเป็นห่วงกลัวว่าท่านจะเป็นอะไรไป ข้าก็เป็นห่วงนะ อีกทั้งองค์จักรพรรดิให้ภาระงานกับข้านั่นคือจับตามองเขาอย่างแน่วแน่ หากข้าไม่ตามเขา จะจับความผิดของเขาแล้วร้องเรียนเขาได้อย่างไรกันเล่า”
เฉินเสียนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก กล่าวว่า“ท่านนี่ซื่อสัตย์จริงใจมาก พูดอยู่ตลอดเวลาว่าต้องการร้องเรียนเขา แต่ผู้ที่ร่ำเรียนล้วนเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ต้องหลบซ่อนหางสุนัขจิ้งจอกไว้อย่างแน่นหนาเป็นแน่”
ต่อมาเธอกล่าวถามอีกว่า“ท่านรู้หรือไม่ว่าผู้ใดแนะนำให้ท่านมากับเขา?”
หากว่าไม่มีผู้ที่แนะนำ คนในราชสำนักสามารถใช้ได้ เหตุใดจงใจแต่งตั้งผู้ที่ไม่ได้อยู่ในราชสำนักมา
เฮ่อโยวคิดแล้วคิดอีก กล่าวขึ้นว่า “ไม่รู้ แต่ในวันเดียวกันขันทีของพระราชวังที่มาบอกพระราชโองการได้ยกเรื่องที่ข้ามีบุญคุณความแค้นกันกับบัณฑิตนะ ”เงียบหยุดไปสักพักหนึ่งแล้วกล่าวอีกว่า“เรื่องบุญคุณความแค้นนี้มีไม่กี่คนที่รู้เรื่อง ตอนที่ข้าถูกตีก็เป็นที่เรือนของข้า ท่านพ่อของข้ากลัวเสียหน้าไม่มีทางนำเรื่องนี้ออกไปประกาศหรอก”
เฉินเสียนกล่าวว่า“นี่เป็นเรื่องตระกูลของท่าน อย่าลืมล่ะ เวลานั้นเรือนของท่านยังมีพี่น้องต่างมารดาอยู่หนึ่งคน และก็เป็นขุนนางในราชสำนักด้วย”
“ความหมายของท่านคือเขาแนะนำข้าหรือ?”
“หากเป็นเขาจริง อาจจะเจตนารมณ์ไม่บริสุทธิ์ ต่อไปต้องระวังตัว”
เฮ่อโยวพยักหน้า แล้วกล่าวขึ้นว่า“ข้าจะระวังตัว ครั้งนี้สามารถออกมาเขตชายแดนด้วยกันกับท่าน ข้ามีความสุขเสียจริง ครั้งก่อนท่านช่วยข้า ข้ายังไม่ทันได้ขอบคุณท่านอย่างเป็นทางการเลย ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะร่วมเดินทางกับท่าน ดูแลปกป้องความปลอดภัยของท่าน ”
เฉินเสียนเห็นชิงซิ่งกับองครักษ์ทั้งสองคนกลับมา ยิ้มอย่างเอ้อระเหยไม่สะทกสะท้านกล่าวขึ้นว่า“เช่นนั้นท่านช่วยข้าจัดการเด็กน้อยนั่นให้เรียบร้อยก่อน นางมักเฝ้าติดตามข้าอย่างใกล้ชิด ข้ารู้สึกรำคาญ”
“วางใจ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้มอบให้ข้าจัดการได้เรียบร้อย”
ผลลัพธ์พอชิงซิ่งกลับมา ยังไม่ทันที่จะได้เข้าใกล้ตัวเฉินเสียน ก็ถูกเฮ่อโยวเรียกตัวไป เขาพิงลำต้นของต้นหยางแล้วพูดว่าเหนื่อย สั่งให้ชิงซิ่งไปนวดคลึงขาให้กับเขาหน่อย
ถึงอย่างไรเมื่อก่อนเฮ่อโยวก็เป็นคุณชายที่ใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติ เลยไม่สามารถที่จะดูแคลนได้
อยู่ที่นี่ตำแหน่งขุนนางล้มพังลงแล้ว หากว่าตำแหน่งรองท่านทูตล้มพังลงอีก เส้นทางนี้ไม่มีวิธีที่จะทำแล้ว
ด้วยเหตุนี้ชิงซิ่งเลยจำใจต้องทำตาม
คิดๆดูแล้วเฮ่อโยวก็เป็นผู้ที่เหน็ดเหนื่อยมาก ไม่นานก็หลับลึกลงไป เรียกอย่างไรก็ไม่ตื่น
เขาสามารถดันทุรังได้ถึงตอนนี้ ก็ไม่เลวแล้ว
ใต้ร่มไม้นี้หนาวเย็น เฉินเสียนสั่งว่าใครก็อย่าไปรบกวนเขา ให้พวกเขาผู้หนึ่งนอนในรถม้า อีกผู้หนึ่งนอนใต้ต้นไม้ นอนอิ่มแล้วถึงจะได้มีกำลังวังชาเร่งเดินทางอย่างต่อเนื่อง
พอถึงยามพลบค่ำ ลิ่มอากาศอุ่นแผ่ซ่านไปมา เทือกเขาด้านนอกต้นไม้ตั้งตระหง่านโดนพระอาทิตย์ยามอัสดงซ้อนหลอมรวม
อากาศร้อนอบอ้าวในช่วงเวลากลางวันค่อยๆลดลง
หัวหน้าองครักษ์กล่าวว่า“องค์หญิง วันนี้ยังต้องการเร่งเดินทางหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
เฉินเสียนเหลือบมองเฮ่อโยวที่นอนหลับอยู่ใต้ร่มไม้ราวกับหมูที่สิ้นใจตาย นึกถึงผู้หนึ่งที่อยู่ในรถม้านอนต่อเอาแรง อารมณ์ก็ดีเป็นอย่างมาก
เธอกล่าวถามว่า“ห่างจากจุดพักม้าลำดับต่อไปไกลเท่าไหร่หรือ?”
หัวหน้าองครักษ์กล่าวว่า“หากว่าวันนี้เพิ่มความเร็วในการเดินทางล่ะก็ สามารถไปถึงจุดพักม้าก่อนฟ้ามืดพ่ะย่ะค่ะ แต่วันนี้ล่าช้าเป็นเวลานาน อยากจะถึงจุดพักม้า เกรงว่าหลังเที่ยงคืนถึงจะสามารถไปถึงจุดหมายพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนจึงกล่าวว่า“ทุกคนเหนื่อยแล้ว วันนี้ไม่รีบเร่งเดินทาง ค่ำคืนนี้ก็พักอยู่ที่นี่กันเถิด รอพรุ่งนี้ฟ้าสาง ค่อยออกเดินทางกัน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เหล่าองครักษ์ที่เหน็ดเหนื่อยในช่วงเวลากลางวันได้ยินข่าวคราวนี้ ล้วนทอดถอนหายใจผ่อนคลายออกมา
พักผ่อนอยู่ใต้ร่มไม้ที่เย็นนี้มากกว่าครึ่งบ่าย แต่ละคนต่างเหน็ดเหนื่อย ออกแรงเร่งเดินทางต่อเนื่องสักนิดหนึ่งก็ไม่ไหวแล้วจริงๆ ขนาดเคลื่อนไหวยังไม่อยากเคลื่อนไหวเลย
พอถึงตอนหัวค่ำ ในร่มไม้ได้เผาไฟสุมกลางแจ้งขึ้น