ข้าคือหงส์พันปี – ตอนที่ 460 แม้มันจะดูดุร้าย แต่ก็ดูไร้เดียงสา

พระสนมฉีโมโหจนตัวสั่น และตะโกนว่า “เขาเป็นแค่เด็กตัวเล็ก ๆ ที่ไม่รู้ประสาอะไร จะรู้ได้อย่างไรอะไรคือการฆาตกรรมโดยเจตนา เจ้ามันคนชั่วมาใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น!”

“เด็กไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ประสา ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทำอะไรตามอำเภอใจได้ซะหมด” เฉินเสียนกล่าว “อีกอย่าง ก็มีผู้ใหญ่คอยสั่งสอนไม่ใช่หรือ?”

“เจ้าหมายความว่า ข้าเป็นคนสั่งให้เขาทำ?” พระสนมฉีกัดฟัน

เฉินเสียนกล่าวอย่างใจเย็นและมีสติ “ต่อให้พระสนมไม่ได้เป็นคนสั่ง แต่ก็ละเลยในการอบรมสั่งสอน อีกทั้งพระสนมเองที่ต้องการให้พวกเขาเล่นกันเองตามลำพัง และไม่ต้องการให้มีคนคอยเฝ้าดูแล องค์ชายห้าหกล้มไม่ได้เป็นความผิดของเจ้าน่องน้อย แต่กลับเป็นความประมาทในหน้าที่ของพระสนมเอง”

“ลูกชายของข้าหกล้ม เจ้ายังมีหน้ามาโทษข้า?” พระสนมฉีโมโหจนแทบจะระเบิด

เฉินเสียนกล่าว “ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ พระสนมต้องการอะไรข้าก็ยินยอมทำตามไม่ใช่หรือ หากข้าเป็นพระสนม ข้าควรจะรีบนำองค์ชายห้ากลับไปพบหมอหลวงโดยเร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นหากว่าองค์ชายห้าเสียเลือดไปมากจะยิ่งลำบากไปกันใหญ่ พระสนมเป็นแม่แบบนี้ กลับทอดทิ้งลูกชายไม่สนใจดูแลเพราะความโกรธของตัวเอง”

จากนั้นพระสนมฉีจึงนึกถึงองค์ชายห้า และหันกลับไปมององค์ชายห้า เห็นใบหน้าที่ซีดขาวอย่างตกใจ ทั้งโมโหทั้งวิตกกังวล แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ ในที่สุดก็สะบัดแขนเสื้อลง และให้นางกำนัลพาตัวองค์ชายห้ากลับไปพบหมอหลวง

ก่อนที่จะกลับออกไป พระสนมฉีหันกลับมาทำสีหน้าเชือดเฉือนใส่เฉินเสียน กัดฟันกรอดและกล่าวว่า “เจ้าคอยดูเถอะ!”

หลังจากนั้นพระสนมฉีก็พาองค์ชายห้าและนางกำนัลทั้งหลายก็รีบกลับออกไป เฉินเสียนยืนอยู่ใต้ชายคามองพวกเขาเดินขึ้นสะพานไม้ด้วยท่าทางสงบ

แม่นมซุยกล่าว “ดูท่าทางของพระสนมฉีแล้ว คงจะไม่ยอมเอาเสียง่าย ๆ นะเพคะ”

เฉินเสียนหันหลังเดินกลับไปที่ห้องตำรา เห็นเจ้าน่องน้อยยังคงนั่งอยู่ที่พื้นบนพรมในห้องตำรา อวี้เยี่ยนคุกเข่านั่งลงข้าง ๆ ใช้ผ้าขนหนูอุ่น ๆ เช็ดรอยคราบหมึกบนแขนของเขา

บนใบหน้ามีร่องรอยนิ้วมือแดงเต็มไปหมด อวี้เยี่ยนก็ถูกพระสนมฉีตบเข้าที่ใบหน้า ใบหน้าของนางยังมีรอยบวมแดงให้เห็น

พระสนมฉีลงฝ่ามือได้แรงทีเดียวเชียว

เฉินเสียนสัมผัสใบหน้าของอวี้เยี่ยน และกล่าวว่า “เจ็บไหม?”

อวี้เยี่ยนส่ายหัวพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา “บ่าวไม่เจ็บเพคะ”

นางไม่ได้สนใจอาการเจ็บของตัวเอง กลับตาแดงน้ำตาคลอรู้สึกเจ็บปวดแทนเจ้าน่องน้อย และนางก็บ่นว่า “บ่าวคิดว่าพวกเขาสมควรได้รับมัน ต่อให้องค์ชายห้าจะไม่รู้ประสายังไง ก็ไม่ควรผลักเจ้าน่องน้อยลงไปในทะเลสาบ เมื่อครู่อันตรายขนาดไหน คราวหน้าหากพวกเขายังกล้ากลับมาอีก จะต้องเอากลับให้สาสม!”

เฉินเสียนมองไปที่มือที่เปื้อนหมึกของเจ้าน่องน้อย และหันไปมองจานฝนหมึกที่อยู่ข้าง ๆ เรื่ององค์ชายห้านั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ นางแค่มองก็เข้าใจได้ในทันที

เฉินเสียนกล่าว “เสี่ยวเฮอ พาอวี้เยี่ยนไปทำแผลหน่อยสิ”

อวี้เยี่ยนกล่าว “องค์หญิง บ่าวไม่เป็นอะไรเพคะ รอให้บ่าวเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เจ้าน่องน้อยเสร็จค่อยไปก็ยังไม่สายเพคะ”

เฉินเสียนกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล “ไปเถอะ ทางนี้ยังมีข้าและแม่นมซุยอยู่”

เฉินเสียนก้าวเท้าเดินไปที่เจ้าน่องน้อยและนั่งลง และบอกกับแม่นมซุย “เอ้อร์เหนียงช่วยไปหยิบยาขี้ผึ้งในห้องของข้ามาให้หน่อยสิ”

แม่นมซุยรีบไปหยิบยาขี้ผึ้งมาให้อย่างรวดเร็ว เฉินเสียนค่อย ๆ บรรจงทาลงบนใบหน้าของเจ้าน่องน้อย หลังจากที่ทายาขี้ผึ้งให้เจ้าน่องน้อยเสร็จ เฉินเสียนก็สั่งให้แม่นมซุยนำยาขี้ผึ้งไปให้อวี้เยี่ยนใช้

แม่ลูกทั้งสองคนที่อยู่ในห้องตำราต่างก็ไม่พูดอะไรออกมา

ภายหลังเฉินเสียนถาม “เจ้าล่ะ เจ็บไหม?”

เจ้าน่องน้อยตอบเสียงอู้อี้ “ไม่เจ็บ”

เฉินเสียนยิ้ม “ถูกหยิกขนาดนี้ ยังจะบอกว่าไม่เจ็บ” นางเอื้อมมือไปกอดเจ้าน่องน้อยไว้ นัยน์ตาเย็นชา “แต่ใบหน้าของเจ้า ขนาดแม่ยังไม่กล้าจะหยิกลงไปแรง ๆ เลย แต่วันนี้กลับให้องค์ชายห้าทำกับเจ้าได้ขนาดนี้”

เจ้าน่องน้อยกล่าว “เขาเจ็บกว่าลูก”

“เขาสมควรแล้ว”

ช่วงเวลานี้ที่เจ้าน่องน้อยได้อยู่ใกล้ชิดกับเฉินเสียน ไม่ได้เรียนรู้อย่างอื่น นอกเสียจากการทำอะไรอย่างมีจุดหมายและด้วยความตั้งใจ เมื่อรู้สึกโกรธก็จะเหมือนเฉินเสียน ที่โกรธจนแทบไม่กะพริบตา

เฉินเสียนและเจ้าน่องน้อย พากันเก็บกวาดหนังสือที่ตกลงบนพื้นขึ้น สองคนแม่ลูกหยิบตำราหนังสือที่ถูกฉีกขาดบนพื้น จัดระเบียบทีละหน้าอย่างเรียบร้อย และจระเข้ที่หมอบอยู่ตรงมุมก็คลานออกมาอย่างเงียบ ๆ สะบัดหางของมันไปทั่วบริเวณ

เจ้าน่องน้อยหันไปมองมัน และกวักมือใส่มัน “มานี่”

จระเข้ราวกับฟังรู้เรื่อง มันค่อย ๆ คืบคลานเข้าไปหา

เจ้าน่องน้อยยื่นมือออกไปลูบคลำไปที่แผ่นหลังของมันเบา ๆ

เฉินเสียนเหลือบมอง ถึงแม้จระเข้จะมีหน้าตาที่ดุร้าย แต่เมื่อมันอยู่ข้างเจ้าน่องน้อยกลับรู้สึกว่ามันช่างเชื่องเสียเหลือเกิน จระเข้ตัวนี้เมื่ออยู่กับเด็ก แม้มันจะดูดุร้าย แต่ก็ดูไร้เดียงสา ดูแล้วมันช่างกลมกลืนและน่ามองมาก

เฉินเสียนถาม “องค์ชายห้าเห็นมันไหม?”

“เห็นแล้ว”

เฉินเสียนหัวเราะ และกล่าว “ถึงว่าทำไมถึงตกใจกลัวขนาดนั้น แล้วถ้าเขาเอาไปพูดข้างนอกจะทำอย่างไร?”

เจ้าน่องน้อยพูดด้วยเสียงเงียบ “เขาไม่กล้า”

เฉินเสียนเลิกคิ้วมอง “ทำไมถึงไม่กล้า?”

เจ้าน่องน้อยกอดจระเข้และกล่าวว่า “ลูกโกหกเขา จะให้จระเข้เข้าไปในผ้าห่มของเขา”

เฉินเสียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อนางได้ยินสิ่งที่เจ้าน่องน้อยพูด และความเศร้าโศกก่อนหน้านี้ก็หายไป นางมองไปที่เจ้าน่องน้อยที่กำลังกอดจระเข้ ในตัวของเด็กคนนี้มีจิตวิญญาณที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติบางอย่าง เขาเกิดมาเหมือนกับสิ่งมีชีวิตอื่นทั่วไป

เพียงแต่ว่าเมื่อเขาเริ่มเติบโตขึ้น จิตวิญญาณนั้นจะถูกครอบคลุมโดยสภาพแวดล้อมของโลก เพราะโลกนี้ช่างซับซ้อนมาก

เฉินเสียนหวังว่าเขาจะรักษาจิตวิญญาณและความสงบภายในนี้ต่อไปในอนาคต เขาสามารถไร้เดียงสาและเมตตาใจดี แต่เขาจะต้องไปเห็นผิดเป็นชอบ

จระเข้ตัวนี้ที่ได้สัมผัสใกล้ชิดกับเจ้าน่องน้อย ก็คือตัวที่เฉินเสียนไปตกมาได้ก่อนหน้านี้ เจ้าน่องน้อยตั้งชื่อให้มันว่า “ไหลไหล” เพียงแค่เจ้าน่องน้อยเรียกมัน มันก็จะคลานออกมาจากซอกมุม

นางกำนัลในพระตำหนักไท่เหอไม่มีใครรู้ว่าภายในห้องตำรามีจระเข้อยู่

เดิมทีหลังจากที่นำออกไปแกล้งให้องค์ชายห้าตกใจ ก็ว่าจะปล่อยมันลงทะเลสาบเหมือนเดิม แต่มันถูกดาบองครักษ์ฟันลงไปหลายแผล ถึงแม้จะไม่ได้ทำให้มันบาดเจ็บสาหัส แต่หลังของมันก็มีบาดแผลเล็กน้อย

หากปล่อยมันกลับไปในทะเลสาบทั้งอย่างนั้น อาจจะทำให้บาดแผลยิ่งแย่ไปกันใหญ่

และเพื่อทำตามคำเรียกร้องของเจ้าน่องน้อย เฉินเสียนจึงทำแผลให้จระเข้ จระเข้นั้นรู้สึกหงุดหงิดมากในตอนแรก เชือกที่มัดรัดปากมันไว้ไม่สามารถคลายได้เลย แต่สุดท้ายมันก็รู้สึกคุ้นเคยกับเจ้าน่องน้อย เพราะเจ้าน่องน้อยให้อาหารพวกมันอยู่เป็นเวลานาน มันคงอาจจะรับรู้ได้ถึงความดูแลเอาใจใส่ของเจ้าน่องน้อยที่มีต่อมัน จึงค่อย ๆ อ่อนโยนขึ้น

เฉินเสียนเห็นว่าอาการบาดเจ็บที่หลังของมันนั้นหายเป็นปกติแล้ว และไม่กล้าที่จะเอ่ยปากบอกกับเจ้าน่องน้อย “บางที คืนนี้เจ้าต้องปล่อยมันกลับไป”

นี่คือสัตว์เลี้ยงตัวแรกที่เจ้าน่องน้อยรัก เพิ่งจะมีความรู้สึกที่ดี กลับต้องให้พวกเขาแยกจากกัน เฉินเสียนคิดว่า หากพูดคำนี้ออกไป ตัวเองยังรู้สึกว่าโหดร้ายเกินไป

เจ้าน่องน้อยก้มหน้าลง เขาลูบหลังจระเข้และมองดูมัน แต่ก็ตอบรับ “ครับ”

ท่าทางของเจ้าน่องน้อย ทำให้ในใจของเฉินเสียนทั้งรู้สึกอบอุ่นทั้งรัก นางขยี้ผมของเขา และกล่าวว่า “ทำไมถึงไม่ถามว่าทำไมต้องปล่อยมันไปล่ะ”

“ลูกรู้” เจ้าน่องน้อยพูดออกมาแค่ประโยคเดียว แต่การแสดงออกของเขานั้นช่างสมบูรณ์มาก

“ในทะเลสาบมีพวกของมัน แบบนี้ถึงจะดีต่อมันนะ”

“เมื่อครู่มันทำให้องค์ชายห้าตกใจกลัว หากปล่อยไว้ให้คนอื่นรู้จะยิ่งแย่ไปกันใหญ่”

“ลูกชอบมัน แต่ลูกจะไม่ทำร้ายมัน และไม่ทำให้มันได้รับอันตราย”

เมื่อเฉินเสียนได้ฟัง นางรู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก ยิ้มและกล่าว “ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะคิดปกป้องมันได้ขนาดนี้ เหมือนใครกันนะ”

ในใจของนางมีเสียงตอบกลับมา จะเหมือนใครได้อีก

เฉินเสียนไม่อาจเฉยเมยต่อเงาของคนอีกคนที่ปรากฏบนร่างกายของเจ้าน่องน้อยได้อีก เงานั้นกลับไม่เหมือนนางผู้ซึ่งเป็นมารดา แต่กลับเป็นเงาของบิดาผู้ที่ให้กำเนิดเจ้าน่องน้อย

ข้าคือหงส์พันปี

ข้าคือหงส์พันปี

องค์หญิงเฉินเสียนผู้โง่เขลา ถูกไล่ออกจากจวน ถูกทำให้เสียโฉม และยังมีทารกอยู่ในท้องของเธอ! ในวันที่สามีของเธอแต่งงานกับอนุภรรยา เธอมาแสดงความยินดี จัดการกับอนุคนใหม่อย่างรุนแรง และทำให้แขกในงานต่างตกใจ อนุคนใหม่ที่คิดว่าเธอเป็นเช่นไก่ที่อ่อนแอ? แต่ไม่คิดว่าจะสามารถต่อกรกับเธอได้?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset