ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนพิเศษ (2) ตอนที่ 49 ตอนจบ (ปลาย)

ตั้งแต่เล็กจนโต เมิ่งชิงไม่เคยป่วยหนักขนาดนี้มาก่อน เหล่าเมิ่งซื่อเป็นห่วงมาก คิดอยากจะเฝ้าอยู่ข้างกายเขาทั้งคืนโดยไม่พักผ่อน แต่จนปัญญาที่อายุมากแล้ว ใจสู้แต่กำลังไม่ไหว จึงกลับไปพักผ่อนที่ห้องของตนเอง ภายใต้การโน้มน้าวของทุกคน  
 
 
ครอบครัวของเมิ่งต้าจินและครอบครัวของเมิ่งเอ้ออิ๋น รวมกับถึงคนในครอบครัวเมิ่งซานถงทั้งสามคนต่างผลัดกันมาช่วยดูแล  
 
 
หลังจากนั้นสามวัน อาการของเมิ่งชิงก็ดีขึ้น คนก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้น จึงไปหาเมิ่งจงจวี่ในห้อง “ท่านปู่ หลานรู้ความผิดของตนเองแล้ว ทำผิดต่อความทุ่มเทในการอบรมสั่งสอนข้ามาตลอดหลายปีนี้ของท่านพี่โยวเอ๋อร์ ข้าจะไปขอขมาต่อนาง”  
 
 
นี่คือสิ่งที่สมควรทำ เมิ่งจงจวี่ไม่ได้ห้ามปรามเขา เอ่ยเพียงแค่ว่า “นิสัยของโยว์เอ๋อร์นั้นคุยง่ายกว่าเล็กน้อย เซวียนเอ๋อร์ไม่ได้พูดง่ายขนาดนั้น เจ้าต้องคิดให้ดีว่าจะต้องทำเช่นไร ถึงจะทำให้พวกเขาอารมณ์เย็นลงได้”  
 
 
เมิ่งชิงผงกศีรษะ “หลานทราบแล้วขอรับ”  
 
 
เมิ่งเสียนได้ยินว่าเขาจะไปขอขมาเมิ่งเชี่ยนโยว จึงแสดงท่าทางออกมาว่าจะตามไปด้วยทันที “มีข้าอยู่ อี้เซวียนจะได้ไม่ทำให้เจ้าลำบากใจมากเกินไป”  
 
 
เมิ่งชิงส่ายศีรษะปฏิเสธ “พี่ใหญ่ เป็นข้าที่ไม่รู้ว่าอันใดควรมิควร ตัดขาดความสัมพันธ์กับท่านพี่โยวเอ๋อร์ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนั้น ทำให้นางตกเป็นขี้ปากชาวบ้านในเมืองหลวง ในวันนี้ข้ารู้ตัวว่าผิดแล้ว ก็ต้องยอมรับผลลัพธ์จากความผิดพลาดนี้ด้วยตนเอง ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ถึงแม้ว่าท่านพี่เขยจะจัดการจนข้าลงจากเตียงไม่ได้ชั่วชีวิต ข้าก็ไม่มีวาจาแค้นเคืองใดๆ”  
 
 
เมิ่งเสียนหมดหนทาง ตบบ่าเขา  
 
 
เมิ่งชิงหยิบตั๋วเงินหลายใบยัดใส่หน้าอก หลังจากนั้นก็ขี่ม้ามาถึงหน้าร้านขายหนังสือ ลงจากม้า และเดินเข้าไป  
 
 
“จั่งกุ้ย ข้าต้องการให้คนคัดลอกจดหมายหนึ่งร้อยฉบับ ภายในหนึ่งชั่วยามต้องคัดลอกเสร็จ ไม่ทราบว่าท่านสามารถจัดการได้หรือไม่”  
 
 
ภายในเมืองหลวงแห่งนี้ คนที่จะขี้ม้าตัวใหญ่นั้นพบได้ไม่น้อย สวมเสื้อผ้าหรูหราก็พบได้ไม่น้อยเช่นกัน แต่ทั้งขี่ม้าตัวใหญ่ และสวมเสื้อผ้าหรูหรานั้น นอกจากเป็นตระกูลขุนนาง ก็เป็นตระกูลเมิ่งที่อยู่นอกเมืองแล้ว บวกกับพลังอำนาจที่อยู่บนร่างของเมิ่งชิงที่ได้จากค่ายทหาร จั่งกุ้ยจะกล้าชักช้าได้เช่นไร จึงยิ้มและรับคำว่า “นายท่าน คนที่จะช่วยคนคัดลอกตัวอักษรนั้นล้วนเป็นเหล่าศิษย์ที่มาจากครอบครัวต่ำต้อย ยามนี้พวกเขาล้วนไม่ได้อยู่ที่นี่ ถ้าหากว่าท่านรีบร้อนใช้งาน ข้าสามารถส่งคนไปเรียกพวกเขามาได้ เพียงแต่ว่าค่าใช้จ่ายในการคัดลอกจะสูงขึ้นเล็กน้อยนะขอรับ”  
 
 
เมิ่งชิงหยิบตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงออกมาวางบนโต๊ะ  
 
 
จั่งกุ้ยเห็นแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างเบิกบานใจ ท่าทีก็อบอุ่นขึ้นมาก “นายท่าน ท่านกรุณารอสักประเดี๋ยว ข้าจะส่งคนไปเรียกศิษย์เหล่านั้นมาเดี๋ยวนี้ขอรับ”  
 
 
การคัดลอกตัวอักษรของศิษย์เหล่านี้ในยามปกติ คัดลอกหนังสือหนึ่งเล่มก็ยังได้ไม่ถึงหนึ่งตำลึง นี่เป็นเรื่องดีที่หาได้ยาก จั่งกุ้ยเอ่ยจบแล้ว จึงรีบออกคำสั่งกับเสี่ยวเอ้อร์ เสี่ยวเอ้อร์ก็รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว  
 
 
ใช้เวลารอไม่นาน เหล่าศิษย์ที่สวมเครื่องแต่งกายเรียบๆ สิบกว่าคนก็วิ่งตามเสี่ยวเอ้อร์เข้ามาด้วยท่าทางเหนื่อยหอบ  
 
 
จั่งกุ้ยส่งเสียงทักทายพวกเขา “พวกเจ้ารีบไปเตรียมพู่กันและน้ำหมึกให้เรียบร้อย”  
 
 
ศิษย์ทั้งหลายยังไม่ทันจะได้ซับเหงื่อบนหน้าผาก ก็พากันเดินเข้าไปในร้านหนังสือ นั่งประจำที่ที่ตนเองคัดลอกหนังสือในยามปกติ  
 
 
เสี่ยวเอ้อร์จัดเตรียมกระดาษและวางลงด้านหน้าพวกเขาคนละใบ  
 
 
เมิ่งชิงกวาดตามองพวกเขาครู่หนึ่ง “ข้าพูด พวกเจ้าคัด เมื่อคัดเสร็จแล้ว พวกเจ้าทุกคนก็คัดซ้ำอีกคนละสิบรอบ”  
 
 
เรื่องนี้ไม่มีปัญหา ศิษย์ทุกคนล้วนหยิบพู่กันขึ้นมา และเริ่มคัดตัวอักษรตามที่เมิ่งชิงกล่าว แต่ยิ่งคัดก็ยิ่งใจสั่น ยิ่งคัดก็ยิ่งมือสั่น เพราะข้อความด้านบนนี้ไม่เพียงแต่เอ่ยถึงพระชายาซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉี แต่ยังเอ่ยถึงจอหงวนฝ่ายบู๊ รองแม่ทัพเมิ่งชิงของผู้นำกองทัพในปีนี้ด้วย   
 
 
บนใบหน้าของเหล่าศิษย์ทั้งหลายล้วนมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาในพริบตา คิดอยากจะโยนพู่กันในมือทิ้ง ไม่คัดแล้ว ไม่ต้องพูดว่าหนึ่งตำลึง แม้ว่าจะให้สิบตำลึง พวกเขาก็ไม่คัดแล้ว เมื่อประกาศเรื่องใหญ่เช่นนี้ออกมา ก็ไม่แน่ว่าพวกเขาล้วนจะไม่ได้เห็นดวงตะวันในวันพรุ่งนี้อีกแล้ว  
 
 
จั่งกุ้ยก็เหงื่อไหลโทรมกายเช่นกัน นึกถึงคำเล่าลือภายในเมืองหลวงก่อนหน้านี้เหล่านั้นแล้ว ก็มองไปที่พลังอำนาจรอบกายเมิ่งชิงอีกครั้ง แอบคิดเงียบๆ ว่าร้านหนังสือของตนเองรักษาเอาไว้ไม่อยู่แล้ว อ้าปากคิดจะตัดบทวาจาของเมิ่งชิงอยู่หลายครั้ง แต่ในตอนที่สายตาของเขามองมา เขากลับตกใจจนพูดไม่ออกสักคำเดียว  
 
 
เมิ่งชิงเอ่ยจบแล้ว แผ่นหลังของทุกคนภายในร้านหนังสือก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ เสียแล้ว แต่ละร่างกายสั่นเทิ้ม เมิ่งชิงรู้ถึงสิ่งที่พวกเขาคิด จึงเอ่ยเสียงทุ้มต่ำว่า “พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องกลัว ข้าคือเมิ่งชิง นี่คือหนังสือขอขมาของข้า ข้าจะเพิ่มให้พวกเจ้าคนละสองตำลึง หลังจากพวกเจ้าคัดลอกเสร็จแล้ว ก็นำไปติดในสถานที่ต่างๆ ในเมืองหลวง ให้คนทั้งเมืองหลวงล้วนทราบว่า เป็นข้า เมิ่งชิงที่เข้าใจพระชายาซื่อจื่อผิดไป ทำให้นางอับอายต่อหน้าฝูงชน ข้าจะกล่าวขอขมากับนางต่อหน้าคนในเมืองหลวงทั้งหมด”  
 
 
ที่แท้เขาก็คือแม่ทัพเมิ่ง ไม่ใช่ศัตรูของพระชายาซื่อจื่อ ศิษย์ทุกคนถึงได้โล่งใจ เหงื่อเย็นที่ซึมทั่วร่างก็หายไป และรีบคัดลอกอย่างรวดเร็วอีกครั้ง  
 
 
จั่งกุ้ยก็โล่งอกเช่นกัน ในเมื่อแม่ทัพเมิ่งจะติดหนังสือขอขมานี้ไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว ก็คงจะไม่แอบลอบฆ่าพวกเขาปิดปากอีก  
 
 
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม ศิษย์แต่ละคนก็ทยอยคัดลอกเสร็จ หลังจากเมิ่งชิงตรวจดูแต่ละแผ่นแล้ว ก็ระบุสถานที่ให้พวกเขานำไปติด  
 
 
เมื่อศิษย์คนสุดท้ายวิ่งออกไป เมิ่งชิงก็หยิบตั๋วเงินออกมาอีกสองร้อยตำลึง วางไว้หน้าจั่งกุ้ย และหมุนกายเดินออกไปจากร้านหนังสือ  
 
 
อากาศดีมาก แสงอาทิตย์สว่างจ้า อารมณ์ของเมิ่งชิงในยามนี้ก็เหมือนกับสภาพอากาศ ถึงแม้เขาจะรู้ว่าสิ่งที่รอคอยเขาอยู่ก็คือการถูกชกต่อยยกหนึ่ง ไม่สิ บางทีอาจจะหนักหนายิ่งกว่านั้น แต่ในใจเขาก็ยังรู้สึกยินดี  
 
 
ในคราแรกที่ได้ยินว่าเท้าของบิดาตนเองถูกนางตัดเส้นเอ็น เขาเคยแค้นเคือง เคยโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจริงๆ ถ้าหากไม่ใช่นาง บางทีตอนนี้เขาก็ยังเป็นเด็กที่มีบิดาคอยรัก และมีมารดาคอยทะนุถนอม แต่เมื่อได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับหลี่ชุ่ยฮวามาหลายวัน เขาก็เข้าใจขึ้นมากะทันหันว่า ท่านพ่อจะต้องทำเรื่องอันใดที่ไม่สามารถให้อภัยให้ได้อย่างแน่นอน มิเช่นนั้นคงไม่ถูกท่านพี่โยวเอ๋อร์ตัดเส้นเอ็นที่ขาหรอก และถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ท่านพี่โยวเอ๋อร์ก็ยังให้อภัยเขา ให้พวกเขาสองพ่อลูกได้มีชีวิตที่เพียบพร้อม ทุ่มเทแรงกายแรงใจอบรมสั่งสอนเขาจนโต แม้ว่าท่านพ่อจะตายอย่างน่าอนาถในตอนท้าย แต่เขาก็จากไปทั้งรอยยิ้ม  
 
 
ในใจคิดเช่นนี้ มือก็จูงม้าเดินเอื่อยเฉื่อย เขาต้องรอ ต้องรอให้ทุกคนในเมืองหลวงเห็นหนังสือขอขมาของเขา และไปรวมตัวกันหน้าประตูจวนอ๋องฉีเสียก่อน เขาจะให้ทุกคนเมืองหลวงเป็นพยานว่า เขา เมิ่งชิง ผิดไปแล้วจริงๆ  
 
 
ประกาศถูกติดเรียบร้อยทุกมุมของเมืองหลวงในเวลารวดเร็ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้รับข่าวนี้เช่นนี้ จึงโกรธจนหน้าเปลี่ยนสี “โจวอัน สั่งการลงไป รีบหาเมิ่งชิงให้พบเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใด ก็ลากตัวเขามาให้ข้าที่จวน”  
 
 
โจวอันรับคำสั่ง และออกไปถ่ายทอดคำสั่งทันที  
 
 
ระยะห่างก่อนจะถึงจวนอ๋องฉียังเหลืออีกสองช่วยถนน เมิ่งชิงเห็นคนพากันวิ่งไปยังทิศทางจวนอ๋องฉี วิ่งไปพลาง เอ่ยทักทายคนรู้จักไปพลาง “รีบไปดูเร็วเข้า รองแม่ทัพเมิ่งจะกล่าวขอโทษพระชายาซื่อจื่อต่อหน้าคนทั้งเมืองแล้ว”  
 
 
ถึงเวลาแล้ว มุมปากเมิ่งชิงเผยรอยยิ้มออกมา คิดจะพลิกตัวขึ้นหลังม้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีเงาร่างสองเงาลอยมาอยู่ข้างกายเขา ซ้ายหนึ่งขวาหนึ่งหนีบเขาเอาไว้ “นายน้อยชิง พระชายาซื่อจื่อมีรับสั่งให้ท่านไปพบนางเดี๋ยวนี้ขอรับ”  
 
 
เมิ่งชิงยังไม่ทันจะมีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ก็ถูกทั้งสองคนจับเอาไว้ มุ่งหน้าผ่านถนนสองสายและปีนกำแพงทางด้านหลังจวนอ๋องฉีเข้าไปจนถึงด้านหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว  

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เมื่อนักฆ่าในยุคปัจจุบันอย่าง เมิ่งเชียนโยว ต้องทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของสาวน้อยชนบทผู้เอาแต่ใจ ประสบการณ์ครั้งใหม่จึงได้เริ่มต้นขึ้น! นางจะเอาชีวิตรอดได้อย่างไรในครอบครัวที่อัตคัดเช่นนี้ หนทางเดียวที่พอจะทำได้ก็คือการหาทางเลี้ยงชีพเพื่อพลิกฟื้นครอบครัวชาวนาให้ขึ้นมารุ่งเรืองมั่งคั่ง แต่ด้วยความสามารถของนางแล้วนั่นมันก็ไม่ใช่ปัญหาหนักอะไรนัก ปัญหาก็คือ… นางมีคู่หมั้นแล้ว และคู่หมั้นของนางก็เป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกหน้าตามอมแมมเนี่ยน่ะหรือ!? … “น้องหญิง เด็กผู้ชายคนนั้นก็คือสามีในอนาคตของเจ้า” เมิ่งเสียนพี่ชายคนโตชี้ไปที่เด็กผู้ชายเสื้อผ้าสกปรกมอมแมมไม่ไกลออกไป เชี่ยนโยวได้ฟังแล้วพลันรู้สึกเหมือนโดนสายฟ้าฟาด “น้องหญิง สามีในอนาคตของเจ้าถูกคนทำร้าย!” เมิ่งฉีพี่ชายคนรองทะยานเข้ามาจากประตูใหญ่อย่างร้อนรน ร้องตะโกนบอกเมิ่งเชี่ยนโยว เส้นประสาทที่หน้าผากเมิ่งเชี่ยนโยวพลันเกร็งกระตุก “ท่านพี่ สามีในอนาคตของพี่…” คำพูดของเมิ่งเจี๋ยน้องชายคนเล็กยังไม่ทันจบก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวตัดบทขึ้น “ไปบอกท่านพ่อกับท่านแม่ สามีในอนาคตของข้า พวกเราจะเลี้ยงดูเอง!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset