คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย – ตอนที่ 119 ตึกหลิงหลง

สำหรับผู้บำเพ็ญเซียนที่นี่ซึ่งชื่นชอบการซุบซิบนินทาคนอื่น จินเฟยเหยารู้สึกนึกไม่ถึงอยู่บ้าง ผู้บำเพ็ญเซียนมิใช่ไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นหรือ ทุกวันยุ่งอยู่กับการฝึกบำเพ็ญขนาดเวลากินข้าวก็ยังไม่มี จะยุ่งเรื่องของคนอื่นและเอ้อระเหยลอยชายแบบนี้ได้อย่างไร

“ผู้อาวุโส ท่านเห็นว่าเกาะเสี่ยวสือดีหรือไม่?” ในยามนี้เอง ผู้บำเพ็ญเซียนของตึกซ่างเซียนจิ้มเกาะเล็กแห่งหนึ่งออกมา เอ่ยแนะนำแก่นาง

พอจินเฟยเหยาเห็น นี่เป็นเกาะเล็กขนาดสิบหกสิบเจ็ดหมู่ รูปร่างค่อนข้างกลม บนเกาะมีพุ่มไม้ขึ้นบางตา กลางเกาะมีสระขนาดสองหมู่กว่า ด้อยกว่าเกาะเซียนถ่งเมื่อครู่นิดหน่อย ทว่าเพิ่มสระเล็กๆ แห่งหนึ่ง ต่อไปสร้างศาลาเล็กๆ บนนั้น ปลูกดอกบัว สามารถโยนเนี่ยนซีไปไว้ที่นั่นได้ตลอดปี

“ก็ได้ เอาเกาะเสี่ยวสือนี่แหละ” จินเฟยเหยาพยักหน้าต้องการเกาะนี้

ภาพมายาแผนที่เกาะหายไป ผู้บำเพ็ญเซียนของตึกซ่างเซียนนำจินเฟยเหยากลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง เริ่มดำเนินการให้นาง นำม้วนภาพออกมาอีกครั้ง เปิดออกแล้วบันทึกชื่อเกาะและชื่อจินเฟยเหยาลงไป ครั้งนี้ไม่มีสิ่งใดออกมาจากแสงสีเงิน เพียงแค่บันทึกลงไป

ได้ยินผู้บำเพ็ญเซียนของตึกซ่างเซียนบอกว่า “ผู้อาวุโส ตอนนี้เกาะนี้เป็นของท่านแล้ว ห้าสิบปีต่อมาหากหาตัวท่านพบ พวกเราจะแจ้งล่วงหน้าให้ท่านจ่ายค่าเช่าต่อ ถ้าท่านไม่ได้อยู่ในเมืองวั่นเซียนสุ่ย พวกเราจะรอท่านเพียงหนึ่งปี หากเกินเวลาจะนำเกาะคืน สิ่งของบนเกาะของท่าน นอกจากเก็บรักษาพืชวิญญาณที่ปลูกไม่ได้ สมบัติอื่นๆ ล้วนเก็บไว้ให้ท่านเป็นเวลาสิบปี ถ้าสิบปีต่อมายังไม่ปรากฏตัว สิ่งของเหล่านี้ก็จะตกเป็นของตึกซ่างเซียนทั้งหมด”

“พวกเจ้าใส่ใจเกินไปแล้วกระมัง ถึงกับช่วยเก็บรักษาไว้ให้สิบปี” คิดไม่ถึงว่าตึกซ่างเซียนจะทำหน้าที่อย่างใส่ใจเช่นนี้ รู้ว่าผู้บำเพ็ญเซียนออกไปข้างนอกนาน อาจจะไม่กลับมาหลายปี นอกจากเก็บรักษาสิ่งของแล้ว ยังมีผลทางเวลายาวนานถึงสิบปี

ผู้บำเพ็ญเซียนของตึกซ่างเซียนคนนี้ยิ้มแย้ม “ค่าเก็บรักษาปีละหนึ่งแสนศิลาวิญญาณชั้นล่าง”

ความรู้สึกดีๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นของจินเฟยเหยาหายไปทันที มีสิ่งของมากมายเพียงใดที่มีมูลค่ามากถึงปานนี้ มีสิ่งของดีๆ ผู้ใดจะไม่ขนไปบ้าง เกรงว่าสิ่งของที่ตึกลั่วเซียนเก็บรักษา สุดท้ายคงไม่มีใครมาเอาไป

ตอนนี้เกาะเสี่ยวสือถือเป็นเขตแดนของตนเองแล้ว สมควรจ่ายศิลาวิญญาณ จินเฟยเหยาค้นหาในกระเป๋าเก็บของพลางเอ่ยถามว่า “ข้าต้องจ่ายศิลาวิญญาณให้เจ้าเท่าไร?”

“หนึ่งล้านศิลาวิญญาณชั้นล่าง” หลังผู้บำเพ็ญเซียนตึกซ่างเซียนเอ่ยคำพูดนี้ออกมา ก็เห็นสีหน้าอยากจะกินคนของจินเฟยเหยา จึงอดกลั้นแล้วเอ่ยว่า “ถึงจะแพงไปหน่อย ทว่าโชคดีที่เป็นเกาะโดดเดี่ยว ไม่มีคนอื่นรบกวน ถ้าผู้อาวุโสยินดีอยู่กับคนอื่น ถ้ำเซียนที่เหมือนเกาะหลังเต่าค่อนข้างราคาถูก ค่าเช่าแห่งหนึ่งเป็นเวลาห้าสิบปีเพียงหนึ่งแสนศิลาวิญญาณชั้นล่าง คนที่อาศัยอยู่ในตอนนี้ไม่ถือว่ามาก มีเพียงเจ็ดสิบสามคนเท่านั้น”

จินเฟยเหยารู้สึกว่าคนเมืองวั่นเซียนสุ่ย หนึ่งแสนศิลาวิญญาณชั้นล่างในสายตาของพวกเขาคือเม็ดทรายใช่หรือไม่ ทุกอย่างจึงแพงเกินไป อีกทั้งเกาะเดียวอาศัยอยู่เจ็ดสิบสามคน ยังต้องมีพวกห้องฝึกบำเพ็ญ ห้องเลี้ยงสัตว์และอื่นๆ อีก แออัดกว่าสำนักเฉวียนเซียนอีก แม้แต่เกาะซ่างเซียนที่ใหญ่ที่สุดก็ยังมีขนาดไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนของเมืองลั่วเซียน เกาะหลังเต่าอะไรนั่นไม่ต้องเอ่ยถึง คงอาศัยอยู่เหมือนรังมด

กระเป๋าเก็บของธรรมดาใบหนึ่งบรรจุศิลาวิญญาณชั้นล่างได้เพียงหนึ่งแสนก้อน ปกตินางพกศิลาวิญญาณเพียงหนึ่งถุง จึงหยิบถุงนี้ออกมาก่อน แล้วเอ่ยกับผู้บำเพ็ญเซียนของตึกซ่างเซียนว่า “เจ้ารอหน่อย กระเป๋าเก็บของใบนี้บรรจุได้เพียงหนึ่งแสนก้อน ข้าจะใส่อีกเก้าถุงให้เจ้า”

อีกฝ่ายกลับยิ้มแย้ม ไม่ได้รับถุงใบนี้มา ทว่าหยิบถุงปักลวดลายงดงามใบหนึ่งจากในตู้แล้วเอ่ย “ผู้อาวุโส ท่านสามารถบรรจุศิลาวิญญาณในถุงเฉียนคุนชนิดนี้ ปริมาตรด้านในรองรับได้ร้อยเท่าของกระเป๋าเก็บของ หนึ่งล้านศิลาวิญญาณจะได้ไม่ใช้พื้นที่มากเกินไป อีกทั้งยังสามารถจัดระเบียบสิ่งของในถุงเองได้ กระเป๋าเงินเล็กๆ ในมือของท่านก็สามารถใส่ไว้ด้านในได้”

“กระเป๋าเงินเล็กๆ…” จินเฟยเหยามองกระเป๋าเก็บของในมืออย่างหมดวาจา นี่เป็นสิ่งของที่ทุกคนในโลกหนานซานใช้สอย อยู่ที่นี่ถูกเรียกว่ากระเป๋าเงินเล็กๆ

นางรับถุงเฉียนคุนมา ใช้การรับรู้กวาดดูด้านใน พื้นที่ด้านในกว้างขวางอย่างยิ่ง สามารถใส่เต่าเกราะเหล็กในตอนนั้นเข้าไปได้โดยไม่มีปัญหา ทอดถอนใจสงสารโลกระดับดินเบาๆ จินเฟยเหยาเดินไปด้านหลังพั่งจื่อ เริ่มเคลื่อนย้ายศิลาวิญญาณในอ่างมายาจิ่งเทียนออกมาใส่ในถุงเฉียนคุน

ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนของตึกซ่างเซียนอดคาดเดาไม่ได้ ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนี้นำศิลาวิญญาณออกมาจากมุมใด จ่ายค่าเช่าเกาะหนึ่งล้านได้กลับใช้สิ่งเก็บของระดับต่ำปานนี้ คาดเดาไปมา เขาไม่มีความคิดว่ายายนี่มาจากโลกระดับดิน เนื่องจากเส้นทางที่โลกระดับดินมาโลกระดับวิญญาณ หากมิใช่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ก็ไม่มีทางผ่านมาได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งยายนี่เพิ่งมีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐานช่วงต้น

จินเฟยเหยาไม่รู้ว่าหลอนไปหรือไม่ รู้สึกเหมือนศิลาวิญญาณในอ่างมายาจิ่งเทียนจะลดลงไปนิดหน่อย แต่คำนวณดู ศิลาวิญญาณที่ตนเองใช้ไปหลายครั้งไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ไม่รู้ว่ายังต้องใช้ศิลาวิญญาณมากเพียงใดในเมืองวั่นเซียนสุ่ยที่โหดร้ายแห่งนี้

บรรจุศิลาวิญญาณหนึ่งล้านก้อนเสร็จอย่างยากลำบาก นางก็มอบถุงเฉียนคุนให้ผู้บำเพ็ญเซียนของตึกซ่างเซียน

พวกเขาหยิบถุงเฉียนคุน ใช้การรับรู้กวาดดู ถุงเฉียนคุนก็บอกปริมาณออกมา สะดวกอย่างที่สุดจริงๆ เห็นฉากนี้ จินเฟยเหยาก็เลียริมฝีปากอย่างไม่พอใจ ใช้วิธีเช่นนี้นับศิลาวิญญาณไม่ยุ่งยากเลยสักนิด เกาะดีๆ พวกเขายอมรับแค่ศิลาวิญญาณชั้นกลางขึ้นไป คือไม่อยากรับศิลาวิญญาณชั้นล่างจึงหาข้ออ้างเท่านั้น

“ไปได้แล้วสินะ?” เห็นพวกเขาเก็บถุงเฉียนคุน จินเฟยเหยาจึงเอ่ยถาม ถ้าไปได้ ตนเองจะไปแล้ว บนเกาะยังไม่มีบ้าน ท่าทางคืนนี้จะอาศัยอยู่ไม่ได้

“ผู้อาวุโสโปรดหยุดก่อน ไปดูที่ชั้นสามสักนิดเถอะ” ผู้บำเพ็ญเซียนของตึกลั่วเซียนเรียกนางไว้

“ชั้นสาม?” จินเฟยเหยามองเขาอย่างระแวดระวัง ไม่ใช่สถานที่หลอกเอาศิลาวิญญาณอะไรอีกหรอกนะ ผู้บำเพ็ญเซียนของตึกซ่างเซียนจงใจทำท่าทางลึกลับ เพียงเอ่ยว่า “สิ่งของในชั้นสาม ผู้อาวุโสต้องชอบแน่ อย่างไรเสียแค่แวะไป ผู้อาวุโสก็ขึ้นไปดูหน่อยเป็นอย่างไร?”

คิดๆ ดูตนเองไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งของในโลกวิญญาณเลย เปิดหูเปิดตาหน่อยก็เป็นเรื่องดี จินเฟยเหยาจึงตอบรับ เห็นนางตกลง ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้ก็ยิ้มแย้มอย่างเบิกบานยิ่งขึ้น เดินนำจินเฟยเหยาขึ้นชั้นสาม

ชั้นสามเป็นชั้นที่ราบเรียบ ไม่มีสถานที่ว่างมองดูเกาะด้านล่างอีก พื้นเป็นพื้นไม้เรียบลื่น โต๊ะเล็กแต่ละตัวบ้างยาวบ้างเดี่ยวๆ จัดวางอยู่ในห้องอย่างเป็นระเบียบ ด้านบนวางสินค้าตกแต่งบ้านยาวหนึ่งฉื่อไว้เต็มไปหมด มีหออันงดงามที่มีสิบกว่าห้อง และมีเรือนเดี่ยวเล็กๆ ยังมีศาลาหลังน้อยและมีตึกแยกเดี่ยว

เห็นของตกแต่งนานาชนิดเหล่านี้ แผ่ปราณวิญญาณจางๆ ออกมา สามารถดูออกว่าทั้งหมดเป็นของวิเศษ จินเฟยเหยาไม่เข้าใจอย่างยิ่ง หรือคิดจะให้ข้าซื้อสิ่งของที่น่าเล่นแต่ไม่มีประโยชน์เหล่านี้ ทว่านางไม่กล้าเอ่ยปากสุ่มสี่สุ่มห้า เพียงเอ่ยอย่างชืดชา “รูปแบบยังพอไหว เพียงแต่เกรดสินค้าด้อยไปหน่อย”

ผู้บำเพ็ญเซียนของตึกซ่างเซียนรีบเอ่ยว่า “ผู้อาวุโส ตึกหลิงหลงเหล่านี้เป็นเกรดสิ่งวิเศษที่สามารถใช้ได้จริง ท่านเพียงหยิบมาอยู่อาศัยเท่านั้น ตึกหลิงหลงเกรดของวิเศษพวกนั้นไม่มีประโยชน์ใช้สอยจริง ราคาก็แพงไม่คุ้มค่า ท่านดูตึกหลิงหลงหลังนี้ มีห้องใหญ่น้อยสิบกว่าห้อง อาศัยอยู่สิบกว่าคนก็ไม่มีปัญหา แต่ดูเหมือนคนของผู้อาวุโสจะมีไม่มาก สามารถดูตึกหลิงหลงชิ้นเดี่ยวๆ ได้”

เขาถือโอกาสหยิบบ้านแปดเหลี่ยมบนโต๊ะขึ้นมา “ผู้อาวุโสท่านดูสิ นี่เป็นห้องหลอมยา สามารถวางไว้ข้างสระของเกาะเสี่ยวสือได้ มีน้ำมีดอกไม้ ตอนหลอมยานานๆ สามารถมองน้ำในทะเลสาบฆ่าเวลาได้” วางบ้านแปดเหลี่ยมชิ้นนี้ เขาก็หยิบบ้านเล็กๆ ที่สลักเป็นรูปหัวสัตว์น่ารักขึ้นมาอีก “นี่เป็นห้องสัตว์ภูติ ด้านในมีทั้งหมดสามห้อง รับประกันว่าจะทำให้สัตว์ภูติอยู่อย่างสุขสบาย”

จินเฟยเหยามองของตกแต่งบนโต๊ะที่เขากำลังแนะนำเงียบๆ ในใจแกว่งขึ้นๆ ลงๆ ราวกับคลื่นทะเล โลกระดับวิญญาณหลอมสร้างบ้านได้แล้ว ต่อให้เป็นคนโง่เขลายามนี้ก็ดูออกว่าตึกหลิงหลงเหล่านี้คือสถานที่ซึ่งสามารถอยู่อาศัยได้ ผู้บำเพ็ญเซียนที่นี่ตอนออกจากบ้านสามารถขนบ้านไปด้วยได้แล้ว เช่นนั้นข้อเรียกร้องของตนเองที่ให้บนเกาะไม่เคยมีคนอยู่อาศัยก็ปัญญาอ่อนอย่างยิ่ง ผู้อื่นไม่เช่าแล้วขนบ้านไปก็กลายเป็นเกาะที่ไม่เคยมีคนอาศัยอยู่แล้ว

โลกระดับดินเทียบโลกระดับวิญญาณไม่ได้จริงๆ ถ้าโลกระดับดินมีเทคโนโลยีเช่นนี้จะเป็นเพียงของล้ำค่าที่หมุนเวียนอยู่ในผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่และขั้นหลอมรวมเท่านั้น ไหนเลยจะเหมือนในยามนี้ วางในร้านให้ซื้อขายได้ตามสบาย

ทันใดนั้น นางก็นึกถึงคำพูดของชายชราที่ขายอ่างมายาจิ่งเทียนในตอนนั้นขึ้นได้ สิ่งของเช่นพื้นที่มิติซึ่งโลกหนานซานเห็นเป็นของล้ำค่าคือสิ่งที่วางขายในร้านภายในโลกระดับเทพ ก่อนหน้านี้นางไม่เชื่อแม้แต่น้อย แต่พอเห็นตึกหลิงหลงพวกนี้นางก็เชื่อแล้ว พื้นที่มิติในโลกระดับเทพต้องมีอยู่ทั่วไปแน่ ชายชรายังเคยบอกว่า โลกระดับวิญญาณมีการลักลอบนำพื้นที่มิติมาประมูล ถ้าตนเองมีโอกาสค่อยเปลี่ยนอันใหม่

สะกดความตกตะลึงในใจเอาไว้ จินเฟยเหยามองตึกหลิงหลงเหล่านั้นด้วยสีหน้าราบเรียบ เลือกรูปแบบที่ชอบ

“เอาศาลาเล็กๆ ยื่นออกไปบนผิวน้ำให้ข้า ยังมีตึกหลิงหลงสองชั้นที่มีหลายห้องหลังนี้ อย่างอื่นไม่ต้อง” นางเดินสองรอบ ในที่สุดก็เลือกตึกหลิงหลงสองชิ้น

วางศาลาเล็กๆ ไว้ข้างสระให้เนี่ยนซีเล่นตามที่นางคิด ส่วนตึกหลิงหลงสองชั้น มีห้องหลอมยาและห้องฝึกบำเพ็ญพร้อมสรรพ ยังมีห้องมากมายให้อยู่อาศัย ไม่ขาดห้องครัว ห้องอาบน้ำ และห้องรับแขก อย่างไรเสียก็ไม่ได้ใช้แล้วทิ้ง ต่อไปจะไปที่ใดก็สามารถนำออกมาใช้ได้ สะดวกกว่าสร้างแล้วใช้ครั้งเดียวทิ้งมากนัก

เห็นในที่สุดนางก็เลือกเสร็จ ผู้บำเพ็ญเซียนของตึกซ่างเซียนก็บอกราคาอีกครั้ง ทั้งหมดสามแสนหกหมื่นศิลาวิญญาณชั้นล่าง นางไม่คุ้นเคยกับสิ่งนี้ อีกทั้งดูแล้วก็ล้ำค่า ไม่รู้สึกว่าจ่ายศิลาวิญญาณแพงเลยสักนิด ตอนออกจากประตู ผู้บำเพ็ญเซียนของตึกซ่างเซียนยังนำแผนที่อันประณีตออกมาฉบับหนึ่ง เอ่ยล่อลวงว่า “ผู้อาวุโส ท่านเพิ่งมาถึง พกแผนที่ไว้หน่อยดีกว่า แผนที่ฉบับนี้เพียงหนึ่งพันศิลาวิญญาณชั้นล่างเท่านั้น จดบันทึกไว้อย่างละเอียดยิ่ง ผู้อาวุโสต้องการสักฉบับหรือไม่?”

“ไม่ต้อง ข้าซื้อบนถนนแล้ว” จินเฟยเหยารีบเอ่ยปฏิเสธทันที แผนที่ของเสี่ยวหมางแค่สองร้อยศิลาวิญญาณ ต่างกันแปดร้อยศิลาวิญญาณ คนโง่งมจึงซื้อ

เดินออกจากตึกซ่างเซียน นางกะว่าจะเดินบนเกาะซ่างเซียนอีกรอบ ตนเองขาดข้อมูลและมีความรอบรู้จำกัด ต้องเดินบนเกาะแห่งนี้ให้มากๆ หน่อย แต่ยามนี้ฟ้ามืดแล้ว ผู้บำเพ็ญเซียนไม่จำเป็นต้องแยกกลางวันกลางคืน แต่คนธรรมดาทำไม่ได้ ให้เสี่ยวหมางกลับไปก่อนดีกว่า

จินเฟยเหยาหาเส้นทางที่นำไปสู่ท่าเรือได้พบ ก็รีบรุดไปทางด้านนั้น เตรียมจ่ายค่าเรือแล้วไล่เสี่ยวหมางกลับบ้านก่อน

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตายเวลาเช้าตรู่ บนเส้นทางอันยาวไกลของยอดเขาลั่วซี มีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่สูงเจ็ดฉื่อ[1]เดินไปยังวังอวิ๋นเย่ที่สร้างอยู่กลางยอดเขาด้วยฝีเท้าเบาและรวดเร็ว นางอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เกล้าผมเป็นมวยสาวน้อยคู่หนึ่ง บนมวยแต่ละอันมีแถบผ้าสีเขียวพันประดับ บนร่างสวมชุดศิษย์สายนอกสีเทาทั้งตัว บนเข่ามีรอยปะชุนแห่งหนึ่ง หน้าตางดงามน่ารัก รูปร่างพอเหมาะพอดี ทว่ากลับแบกถังไม้ที่สูงกว่านางสองเท่า ก้าวเดินบนบันไดศิลาดุจเหินบิน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset