คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย – ตอนที่ 122 ยกน้ำชาสิ

เพื่อให้ได้ศิลาน้ำแข็ง จินเฟยเหยาจึงออกไปสอบถามเรื่องของตระกูลพานทันที จะสอบถามเรื่องราวง่ายดายยิ่ง เพียงใช้ศิลาวิญญาณซื้อตัวบ่าวรับใช้ในตระกูลพานก็พอ อย่างไรเสียต่อให้เป็นผู้มีพลังวิญญาณเทียมก็สามารถฝึกบำเพ็ญได้ ทว่าในตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนคนธรรมดาที่ไม่มีแม้แต่พลังวิญญาณเทียมยังเป็นคนส่วนมาก

จินเฟยเหยาใช้เวทควบคุมฝืนสะกดพลังการบำเพ็ญเพียรของตนเองให้เป็นขั้นฝึกปราณช่วงต้น จากนั้นก็เตร่อยู่รอบเกาะลี่หยวนซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของตระกูลพาน แอบค้นหาคนตระกูลพานที่ปากมาก รักเงินทอง และละโมบ ที่ลดพลังการบำเพ็ญเพียรเพราะมีสาเหตุ คนธรรมดาจะยอมเข้าใกล้ผู้บำเพ็ญเพียรขั้นฝึกปราณช่วงต้นมากกว่าผู้บำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐาน

ใช้เวลาหลายวัน จินเฟยเหยาจึงสอบถามได้ความ กลับไปเล่าเรื่องที่สอบถามมาได้ ภาพเสมือนรู้สึกเศร้าเสียใจไปชั่วขณะ

จินเฟยเหยาไม่ได้รบกวนเขา ไม่ว่าใครได้ยินข่าวว่าบุตรชายของตนเองถูกช่วงชิงตำแหน่งหัวหน้าตระกูล ทั้งยังอยู่ขั้นหลอมรวมช่วงปลายไม่ได้บรรลุขั้นกำเนิดใหม่ สุดท้ายก็เสียชีวิตไป คงอารมณ์ไม่ดี ทว่านางงอนิ้วคำนวณ บุตรชายของเจ้าหมอนี่ก็อยู่มาหลายร้อยปี ถ้าตนเองมีบุตรชายที่แก่ชราขนาดนั้น เกรงว่าคงรู้สึกด้านชาไปนานแล้ว

เห็นภาพเสมือนเงียบงันไม่เอ่ยวาจา ภาพเสมือนก็จางๆ จินเฟยเหยาเป็นห่วงว่าก่อนที่นางจะได้ศิลาน้ำแข็งมาไว้ในมือการรับรู้ของเขาจะสลายหายไปจนเกลี้ยง ขณะจะเอ่ยปลอบโยนเขาสักหลายประโยคให้เขาอย่าได้เสียใจมากเกินไป รักษาการรับรู้ไว้แล้วมอบศิลาน้ำแข็งออกมาก็เห็นภาพเหมือนพลันมีกำลังใจขึ้น

“เหลนชายของข้าน่าจะยังมีชีวิตอยู่ เจ้าช่วยข้าหาหน่อย มอบมุกเก็บการรับรู้ของข้าให้พวกเขา เจ้าไม่ต้องใช้สายตาสงสัยมองข้า ศิลาน้ำแข็งไม่ได้อยู่ในตัวข้า อาศัยร่างกายประสมประสานนี้ของข้า ไม่อาจพกพาสิ่งของบนตัว” ภาพเสมือนเชิดหน้าเอ่ยวาจา

จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างไม่เชื่อถือ “ทายาทของท่านโยนกระทั่งตำแหน่งหัวหน้าตระกูลทิ้ง ศิลาน้ำแข็งล้ำค่าปานนั้น จะเก็บรักษาไว้ได้อย่างไร ไม่ถูกคนฆ่าล้างก็ถือว่าดีแล้ว”

“เจ้าจะรู้อะไร ข้าต้องซ่อนไว้แน่นอน ผู้ใดจะโง่งมมอบสิ่งของล้ำค่าให้คนที่อ่อนแอ นั่นจงใจหาเรื่องใส่ตัวแล้ว” ภาพเสมือนยิ้มเย็นชาโดยไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ

จินเฟยเหยาหรี่ตายิ้มแย้ม “หลังจากเจ้ามอบศิลาน้ำแข็งให้ข้าจะจงใจปล่อยข่าวว่าข้าได้ศิลาน้ำแข็งออกไปหรือไม่? ถึงตอนนั้นย่อมมีคนมากมายมาหาถึงที่เอง”

“เจ้าระวังตัวเกินไป ข้าไม่ได้ว่างขนาดนั้น จะทำเรื่องไม่ซื่อตรงแบบนี้ไปทำไม หรือว่าเจ้าไม่รู้ว่าสิ่งสำคัญที่สุดของผู้บำเพ็ญเซียนคือรักษาวาจา สังหารคนไม่เป็นไร โกหกก็ไม่เป็นไร แต่เรื่องที่เจ้าเคยลั่นวาจา เรื่องที่รับปากผู้อื่นก็ต้องทำให้ได้ ไม่เช่นนั้นตอนบรรลุขั้นหลอมรวมจะมีจิตมาร” ภาพเสมือนเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง

เห็นท่าทางจริงจังของเขา จินเฟยเหยาอดยินดีในใจไม่ได้ นี่คือกำลังเล่าประสบการณ์ขั้นหลอมรวม นี่คือประสบการณ์ที่เสียศิลาวิญญาณไปยังไม่ได้ฟัง ต้องรีบจดจำไว้

แอบจดจำไว้ในใจพลางครุ่นคิด ตนเองเคยมีเรื่องอะไรที่รับปากผู้ใดไว้แล้วกลับทำไม่ได้หรือไม่ คิดไปคิดมา นางพบว่าที่แท้ตนเองเป็นคนดีคนหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะไม่เคยผิดวาจากับคนอื่นเลย

จินเฟยเหยาไม่อยากจะเชื่อ เพียงแต่นึกไม่ออกจริงๆ ว่าตนเองเคยผิดวาจากับคนอื่นหรือไม่ ตรงกันข้ามพอครุ่นคิดดูอย่างละเอียดนางไม่พบเลยสักนิด

“ก็ได้ ข้าจะไปหาทายาทของท่านเดี๋ยวนี้ คืนมุกเก็บการรับรู้ของท่านให้พวกเขา” จินเฟยเหยาปัดๆ มือลุกจากพื้น ผู้อื่นพูดถึงขนาดนี้แล้ว สับสนไปก็ไม่มีประโยชน์ ช่วยวิญญาณต้องช่วยจนถึงที่สุดให้บรรลุความปรารถนาของผู้บำเพ็ญเซียนที่สิ้นชีวิตไปแล้ว

การรับรู้ของภาพเสมือนยินดียิ่ง กลับเข้าไปมุกเก็บการรับรู้อย่างตื่นเต้น ส่วนจินเฟยเหยาใส่มุกเก็บการรับรู้ไว้ในถุงเฉียนคุน จากนั้นไปหาทายาทของภาพเสมือน

จินเฟยเหยาสอบถามสถานที่อยู่สายตระกูลของหัวหน้าตระกูลคนก่อนไว้แต่แรกแล้ว อยู่ข้างเกาะหลักตระกูลพาน สถานที่ไม่ใหญ่กว่าเกาะชาวประมงที่คนธรรมดาอาศัยอยู่เท่าใด เนื่องจากคนตระกูลพานมีจำนวนมาก มีญาติที่ตกต่ำอยู่ทั่วไป อย่างไรก็ถือเป็นคนร่วมบรรพชนเดียวกัน ไม่อาจปล่อยให้พวกเขาตกทุกข์ได้ยากข้างนอก ดังนั้นจึงอาศัยอยู่รอบๆ

เพื่อไม่ให้สะดุดตา จินเฟยเหยายังซ่อนพลังการบำเพ็ญเพียร ใช้ฐานะขั้นฝึกปราณช่วงต้นมาถึงเกาะเล็กๆ ที่พานอี้ ทายาทของภาพเสมือนอาศัยอยู่

เกาะเล็กๆ ขนาดไม่ถึงสิบหมู่ มีบ้านล้าสมัยแถวหนึ่ง มีโถงหน้าและสวนหลังบ้าน มองออกว่าบ้านหลังนี้เมื่อก่อนถือเป็นเรือนประเภทอื่น เพียงแต่ลมพัดฝนสาดเป็นเวลายาวนาน ตอนนี้จึงดูเก่ามาก

บนพื้นที่ว่างหน้าบ้านมีสาวน้อยขั้นฝึกปราณช่วงกลางคนหนึ่ง ท่าทางบอบบางงดงาม กำลังเก็บวัสดุที่ตากแดดจากบนร่างสัตว์ปิศาจ เห็นจินเฟยเหยามาถึงเกาะ ก็ยืนขึ้นเอ่ยถามอย่างสงสัย “สหายเซียนท่านนี้ ขอถามว่าท่านมาหาผู้ใด?”

“สวัสดีสหายเซียน พานอี้อาศัยอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่?” จินเฟยเหยาเอ่ยถาม

สาวน้อยพยักหน้าตอบรับ “ใช่ พานอี้คือท่านปู่ของข้า ไม่ทราบว่าท่านเซียนมีธุระอันใด?”

จินเฟยเหยาเหลียวซ้ายแลขวา เดินเข้ามาหาสาวน้อยหลายก้าว ลดเสียงลงเอ่ยว่า “ข้ามีเรื่องสำคัญมาหาท่านปู่ของเจ้า เจ้าไปแจ้งหน่อย เรื่องนี้สำคัญใหญ่หลวง เกี่ยวพันถึงอนาคตของพวกเจ้า”

“เรื่องสำคัญใหญ่หลวง?” สาวน้อยมองจินเฟยเหยาอย่างสงสัย มิใช่ว่านางสงสัยคนง่าย ที่สำคัญคือพลังการบำเพ็ญเพียรของจินเฟยเหยาต่ำเกินไป จะมีเรื่องสำคัญใหญ่หลวงอะไรจนต้องมาหาท่านปู่

เห็นสาวน้อยมองพินิจตนเองไม่หยุด จินเฟยเหยารู้ว่านางกำลังสงสัยตนเอง เห็นพลังการบำเพ็ญเพียรต่ำเกินไป น่าจะควบคุมไว้ที่ขั้นฝึกปราณช่วงปลายจะดีกว่า นางครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “เจ้าบอกท่านปู่ว่า พานหยวนเป็นคนให้ข้ามา เขาก็จะเข้าใจ”

“เช่นนั้นเจ้ารอสักครู่ ข้าจะไปบอกท่านปู่สักคำ” สาวน้อยมองจินเฟยเหยาแวบหนึ่ง จากนั้นหมุนกายกลับเข้าบ้าน จินเฟยเหยายืนอยู่บนเกาะมองพินิจรอบด้าน มองออกว่าชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวนี้ไม่ค่อยดีนัก อีกทั้งมีสมาชิกในครอบครัวบางตา ตนเองยืนอยู่บนเกาะ ไม่เห็นมีอาหญิงอุ้มเด็กน้อยมาชมดูความครึกครื้นเลย

“อยู่ที่ใด? คนอยู่ที่ใด?” น้ำเสียงแก่หง่อมดังมา ชายชราอายุประมาณเจ็ดสิบแปดสิบคนหนึ่งเดินอย่างรีบร้อนออกมาจากในบ้าน ท่าทางคนผู้นี้คือพานอี้ เห็นชัดว่ามีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐานช่วงกลาง หน้าตากลับแก่ชราจนกลายเป็นเช่นนี้ ทำให้คนรู้สึกไม่คุ้นเคยจริงๆ

เห็นคนที่ยืนอยู่ตรงประตูมีพลังการบำเพ็ญเพียรเพียงขั้นฝึกปราณช่วงต้น พานอี้ก็ผิดหวังอย่างรุนแรง บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วของตนเองมิใช่คนขั้นฝึกปราณจะติดต่อได้ ทว่าเขายังเอ่ยถามอย่างมีมารยาท “สหายเซียนน้อยท่านนี้มาหาข้าสินะ ไม่ทราบมีธุระอันใด”

“พูดในบ้านเถอะ อยู่ข้างนอกถูกคนพบเห็น หากเรื่องแพร่ไปที่เกาะตรงข้าม พวกเจ้าจะไม่มีโอกาสพลิกฟื้น” จินเฟยเหยาเอ่ยวาจา ตนเองก็เดินนำเข้าไปในบ้านโดยไม่ต้องให้ผู้อื่นเชื้อเชิญ สองปู่หลานมองหน้ากันแวบหนึ่งก็เดินตามเข้าไป

จินเฟยเหยาหาที่นั่งลงในบ้าน ส่วนพานอี้และหลานสาวของเขาก็ยืนอยู่ด้านข้างมองนางอย่างตะลึงงัน

“เฮ้อ ยืนทำไม หยิบไปดูเถอะ จริงสิ มีแขกมาถึง ยกชามาให้ข้าถ้วยหนึ่ง” จินเฟยเหยาส่ายศีรษะมองคนทั้งสองตะลึงงัน ล้วงมุกเก็บการรับรู้ออกมาจากในอกแล้วโยนให้พานอี้

พานอี้มองมุกเก็บการรับรู้ในมือ ก็เข้าใจทันที เขาประคองมุกเก็บการรับรู้ด้วยมีออันสั่นสะท้าน เอ่ยอย่างกังวล “อี้อัน รีบยกน้ำชาให้แขก จากนั้นเรียกพี่ชายของเจ้ากลับมา เร็วเข้า”

พานอี้อันไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพียงแต่ไม่เคยเห็นท่านปู่ตื่นเต้นขนาดนี้มาหลายปีแล้ว จึงหมุนกายวิ่งออกไป แม้แต่น้ำชาก็ลืมยกมาให้จินเฟยเหยา

พานอี้ลูบคลำมุกเก็บการรับรู้ในมืออย่างตื่นเต้น เอ่ยถามจินเฟยเหยา “สหายเซียนท่านนี้ ท่านหามุกเก็บการรับรู้ของบรรพชนผู้ล่วงลับไปแล้วของตระกูลข้าพบได้อย่างไร?”

จินเฟยเหยาตอบตามสบาย “เก็บได้ในทางน้ำสายหนึ่ง แต่ทางที่ดีเจ้าอย่าถามเขาว่าตายอย่างไร เพราะเขาไม่ค่อยอยากให้คนอื่นรู้ แต่ข้าพูดเช่นนี้ เจ้าต้องอยากถามแน่ ทว่าเพื่อความปลอดภัยของพวกเจ้า เขาไม่พูดแน่”

“เช่นนี้เอง…” พานอี้ลูบมุกเก็บการรับรู้ เอ่ยราวกับกำลังครุ่นคิดอะไร คาดว่าคงเป็นมารร้ายตนใดกระทำ เนื่องจากพลังการบำเพ็ญเพียรสูงส่งเกินไป ดังนั้นจึงกลัวว่าผู้เยาว์จะไปแก้แค้น

พอสอบถามสิ่งอื่นๆ จินเฟยเหยาก็ไม่รู้ คนทั้งสองจึงนั่งอยู่ในบ้านรอพานอี้อันกลับมาแบบนี้ พานอี้ยิ่งรอคอยยิ่งหมดความอดทน อดลุกขึ้นยืนเดินไปมาภายในบ้านไม่ได้ บางครั้งยังมองออกไปข้างนอก เห็นได้ชัดว่าร้อนใจอย่างยิ่ง

ส่วนน้ำชาที่จินเฟยเหยาต้องการ จนถึงตอนนี้ยังไม่มีคนยกมาให้ ในขณะนี้เอง พานอี้ที่กำลังมองไปข้างนอกพลันมีสีหน้ายินดี เอ่ยกับคนทั้งสองที่เพิ่งเข้าประตูมาอย่างไม่พอใจ “พวกเจ้าสองคนมัวทำอะไรอยู่ ชักช้าขนาดนี้”

“ท่านปู่ เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ข้ากำลังมีธุระอยู่ที่คฤหาสน์หลัก พานฮุ่นจื่อหาเรื่องข้าอีกแล้ว ครั้งนี้ถูกหักศิลาวิญญาณอีก” บุรุษที่เข้ามาอายุยี่สิบกว่าปี มีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นฝึกปราณช่วงปลาย สวมชุดบัณฑิตสะอาดเรียบร้อย ให้ความรู้สึกอ่อนโยนน่าสนิทสนม

“ให้เขาหักไป ต่อไปไม่ต้องใช้ชีวิตแบบต้องมองดูสีหน้าพวกเขาอีกแล้ว” พอพานอี้ได้ยินชื่อพานฮุ่นจื่อก็มีโทสะอย่างยิ่ง ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาพูดเรื่องนี้ เขาหยิบมุกเก็บการรับรู้ในมือขึ้น เอ่ยอย่างตื่นเต้น “จั๋วหวา นี่คือมุกเก็บการรับรู้ของพานหยวนบรรพชนผู้ล่วงลับของเจ้า สหายเซียนท่านนี้นำมาส่งให้พวกเราโดยเฉพาะ”

“บรรพชนผู้ล่วงลับพานหยวน!” พานจั๋วหวาตกตะลึง นามนี้ ท่านปู่พูดถึงอยู่บ่อยๆ แล้วมีสีหน้าเศร้าเสียใจ

พานหยวนที่มีศักดิ์ฐานะเป็นหัวหน้าตระกูลพาน หกร้อยปีก่อนเดินทางแรมไกล ตะเกียงจิตวิญญาณที่วางอยู่ในตระกูลดับลง จากนั้นบรรพชนของตนเองก็รับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลด้วยพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นหลอมรวม คิดไม่ถึงว่าชั่วระยะเวลาไม่ถึงร้อยปีก็ถูกบรรพชนของพานฮุ่นจื่อแย่งชิงตำแหน่งหัวหน้าตระกูลไป เนื่องจากการต่อสู้ของทั้งสองคน บรรพชนถูกทำร้ายการรับรู้ ทั้งตระกูลถูกขับออกมาอยู่เกาะเล็กๆ แห่งนี้

สิ่งของที่ได้ในแต่ละปีก็น้อยกว่าสายตระกูลอื่น ทำให้พลังการบำเพ็ญเพียรของท่านปู่หยุดอยู่แค่ขั้นสร้างฐานช่วงปลายมาตลอด อีกทั้งบรรดาผู้เยาว์ที่มีพลังวิญญาณเช่นตนเอง ก็ได้แต่ทำงานจิปาถะในตึกหลัก

ตอนนี้ได้มุกเก็บการรับรู้ของบรรพชนผู้ล่วงลับ แสดงว่าด้านในต้องมีการฝากฝัง สมบัติที่บรรพชนผู้ล่วงลับซ่อนไว้ เหล่านั้นต้องทำให้ผู้เยาว์สายตระกูลตนเองรุ่งโรจน์ได้แน่

“ขอบคุณสหายเซียนท่านนี้ พวกเราจะตอบแทนอย่างหนักแน่” พานจั๋วหวาไม่ลืมเอ่ยขอบคุณจินเฟยเหยาที่นั่งด้านข้างซึ่งมาส่งมุกเก็บการรับรู้

จินเฟยเหยายิ้มพลางโบกไม้โบกมือ “ไม่ต้องหรอก บรรพชนผู้ล่วงลับของพวกเจ้ารับปากจะตอบแทนข้าแล้ว พวกเจ้าไปดูมุกเก็บการรับรู้ก่อน เขาจะฝากฝังเรื่องราวกับพวกเจ้า ข้าจะรออยู่ที่นี่ ไม่ต้องสนใจข้า แค่ยกน้ำชามาก็พอ”

พานอี้อันหน้าแดง เพิ่งนึกขึ้นได้ ตนเองรีบร้อนเกินไป ลืมยกชามาให้สนิท จึงรีบไปรินน้ำชาที่ห้องครัว นางคิดจะฟังคำพูดของบรรพชนผู้ล่วงลับ ดังนั้นจึงรีบยกน้ำชามา แล้ววิ่งเข้าสวนหลังบ้านกับท่านปู่

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตายเวลาเช้าตรู่ บนเส้นทางอันยาวไกลของยอดเขาลั่วซี มีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่สูงเจ็ดฉื่อ[1]เดินไปยังวังอวิ๋นเย่ที่สร้างอยู่กลางยอดเขาด้วยฝีเท้าเบาและรวดเร็ว นางอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เกล้าผมเป็นมวยสาวน้อยคู่หนึ่ง บนมวยแต่ละอันมีแถบผ้าสีเขียวพันประดับ บนร่างสวมชุดศิษย์สายนอกสีเทาทั้งตัว บนเข่ามีรอยปะชุนแห่งหนึ่ง หน้าตางดงามน่ารัก รูปร่างพอเหมาะพอดี ทว่ากลับแบกถังไม้ที่สูงกว่านางสองเท่า ก้าวเดินบนบันไดศิลาดุจเหินบิน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset