ทั้งสี่คนนั่งเบียดเสียดกันอยู่บนพรมบิน จินเฟยเหยาบังคับพรมบินให้บินผ่านทะเลตามทิศทางที่พานอี้ชี้ไปอย่างรวดเร็ว
พานจั๋วหวาและพานอี้อันนั่งของวิเศษเป็นครั้งแรก พอนั่งจึงพบว่าเหาะเหินกลางอากาศสบายกว่าพายเรือมากนัก ประหยัดทั้งเวลาและเรี่ยวแรง อิสรเสรี สบายใจอย่างบอกไม่ถูก ชีวิตหลังจากหาถ้ำเซียนพบยิ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง
เหาะเหนือทะเลมาสามชั่วยามกว่า บนผิวทะเลปรากฏเกาะร้างแห่งหนึ่ง เกาะร้างแห่งนี้ดูแล้วเหมือนช่องเขาที่รอบด้านยกสูงขึ้น ส่วนตรงกลางพลันเว้าลงและเต็มไปด้วยน้ำทะเล มุมหนึ่งบนเกาะมีรอยแหว่งเล็กๆ น้ำทะเลกลางเกาะก็ไหลเข้ามาจากรอยแหว่งเล็กๆ นี้เอง
บนเกาะรกร้างอย่างยิ่ง มองลงไปจากกลางอากาศทั่วทั้งเกาะไม่มีต้นไม้สักต้น บนเกาะมีแต่หิน ไร้สัญญาณสิ่งมีชีวิต ถ้ำเซียนของพานหยวนที่พานอี้เอ่ยถึงก็อยู่บนเกาะเล็กๆ ไร้สิ่งใดแห่งนี้
จินเฟยเหยาไม่ถูกรูปลักษณ์ของเกาะเล็กๆ แห่งนี้หลอกเอา ไม่แน่ว่าลักษณะภายนอกของเกาะแห่งนี้เป็นเพียงภาพมายาที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ทำขึ้นเท่านั้น นางนำพวกเขาจอดลงบนเกาะเล็กๆ ทั้งสี่คนเริ่มพินิจดูรอบด้าน พานอี้ไปค้นหาทางเข้าถ้ำเซียนที่พานหยวนบอก
ขณะหาถ้ำเซียน จินเฟยเหยาก็ตรวจดูสภาพรอบด้าน เกาะแห่งนี้รกร้างเกินไป น้ำทะเลกลางเกาะก็ยึดครองพื้นที่ส่วนมากของเกาะ ดูแล้วแทบจะไม่มีสถานที่ใดสามารถสร้างถ้ำเซียนได้
ในยามนี้เองบนผิวทะเลพลันมีแสงสองสายลอยมาทางพวกเขา จินเฟยเหยาใช้การรับรู้กวาดดูอย่างระแวดระวัง เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานสองคน และเป้าหมายคือเกาะแห่งนี้พอดี
พานอี้สามคนก็พบเห็นเรื่องนี้ จึงหยุดค้นหาทางเข้าแล้วรวมตัวอยู่ด้วยกัน มองผู้มาด้วยสายตาเลวร้าย ยามนี้ถ้ามีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมอยู่ก็ดีสิ เพียงแผ่พลังกดดันออกไปก็สามารถขู่ขวัญคนเหล่านี้ให้หวาดกลัวจนหนีไปได้
คนทั้งสองที่เหยียบอาวุธเวทเหาะมาก็พบว่าบนเกาะถูกคนคว้าไปก่อนแล้ว จึงหยุดอยู่ฝั่งตรงข้ามเกาะ มองหน้ากันโดยมีน้ำทะเลคั่นกลาง คนทั้งสองอายุไม่มาก ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานช่วงต้นคนหนึ่งในนั้นค่อนข้างหนุ่ม สวมชุดผ้าไหมสีขาวตลอดร่าง หน้าตาและท่าทางธรรมดา จัดเป็นประเภทที่โยนเข้าไปอยู่ท่ามกลางฝูงชนก็หาไม่เจอ ส่วนอีกคนท่าทางเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานช่วงกลาง รูปร่างสูงใหญ่ ด้านหลังแบกดาบใหญ่หลังมังกรเล่มหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครารกรุงรัง
ทุกคนมองอีกฝ่ายเช่นนี้ ไม่มีใครส่งเสียงก่อน รอให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวก้าวต่อไป จินเฟยเหยาได้แต่มองพานอี้ “สหายเซียนพาน ตอนนี้จะทำอย่างไร ฝั่งตรงข้ามมีสองคน”
พานอี้ก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรดี พวกเขาต้องเปิดดวงตาวงเวทถ้ามีคนอยู่ด้านข้างจะทำได้อย่างไร ได้แต่ถามผู้บำเพ็ญเซียนทั้งสองว่าจะทำอะไร เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เอ่ยถามเสียงดัง “สหายเซียนฝั่งตรงข้ามทั้งสองท่าน ไม่ทราบมาที่นี่มีธุระอันใด?”
หลังจากอีกฝ่ายมองหน้ากัน ก็ตอบเสียงเย็นชา “พวกเรามาที่นี่ เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?”
พานอี้พูดไม่ออก ใช่ เกี่ยวอะไรกับเขาด้วย นี่คือเกาะที่ไร้ผู้คนแห่งหนึ่ง ผู้อื่นอาจจะมาพักผ่อนหรือพบว่าที่นี่มีการป้องกันจึงคิดจะมาหาสมบัติ ทว่าเรื่องเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องบอกคนนอก ถ้าจะพูดก็ได้แต่พูดกับเจ้าของเกาะ
“ทั้งสองท่าน เกาะนี้เป็นที่ตั้งถ้ำเซียนของบรรพชนขั้นกำเนิดใหม่ของตระกูลข้า หากไม่มีธุระ ขอเชิญทั้งสองท่านจากไปเสีย” พานอี้กลับคิดในแง่ดี พูดตรงๆ ดีกว่า ใช้ชื่อเสียงของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ขับไล่คนทั้งสองไป
สองคนฝั่งตรงข้ามได้ยินคำพูดของพานอี้ ในใจรู้สึกยินดี ตอนแรกที่พวกเขาผ่านเกาะแห่งนี้เนื่องจากมีคนได้รับบาดเจ็บคิดจะพักผ่อนที่นี่ กลับพบว่าในทะเลสาบที่น้ำทะเลไหลเข้ามากลางเกาะแห่งนี้มีการป้องกัน จึงเดาว่าใช่มีสิ่งของประเภทสมบัติอะไรอยู่ด้านล่างหรือไม่ ตอนนั้นทำลายการป้องกันไม่สำเร็จ ยิ่งกระตุ้นโทสะในใจของคนทั้งสอง ครั้งนี้จึงเร่งรุดมาหลังจากเตรียมตัวพร้อม
ตอนมากลับพบเห็นพวกจินเฟยเหยาสี่คน นึกว่าคนเหล่านี้ก็มาค้นหาสมบัติ แต่หลังพบว่าอีกฝ่ายมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานสองคน ทั้งยังร่อนลงบนเกาะ ตอนนี้ยิ่งได้ยินว่าที่นี่เป็นถ้ำเซียนของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ ในใจยิ่งทั้งตกตะลึงทั้งยินดี
ที่ยินดีคือในถ้ำเซียนของผู้อาวุโสขั้นกำเนิดใหม่ต้องมีทรัพย์สมบัติมากมายแน่ ที่ตกตะลึงคือ ถ้าปะทะกับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ก็ต้องถึงแก่ชีวิต
พอจินเฟยเหยาเห็นคนทั้งสองก็รู้ว่าไม่น่าใช่ผู้บำเพ็ญเซียนรักสงบเหมือนพานอี้ เหตุผลง่ายดายยิ่ง นั่นคือไอสังหารที่ส่งออกมาจากบนร่างของพวกเขา ถ้าสังหารคนและสัตว์ปิศาจมามากบนร่างจะมีไอสังหาร และเมื่อสัตว์ปิศาจมีระดับสูงจึงจะมีไอสังหาร แต่หลังจากสังหารคนแล้วต้องมีไอสังหารแน่
ถึงคนทั้งสองฝั่งตรงข้ามจะมีไอสังหารทว่ากลับค่อนข้างอ่อนจาง ได้แต่บอกว่าดีกว่าสามคนด้านข้างนิดหน่อย แต่ก็แสดงว่าสองคนนี้เคยฆ่าคนหรือเคยเห็นเลือด ต้องเลวกว่าพวกพานอี้สามคนมากแน่นอน
ส่วนคนทั้งสองพบเห็นจินเฟยเหยาที่มีไอสังหารวนเวียนรอบกาย ของแบบนี้มีเพียงตนเองที่มีไอสังหารหรือตอนพลังการบำเพ็ญเพียรเหนือกว่าอีกฝ่ายจึงสามารถรู้สึกได้ พานอี้เคยฆ่าคนสองคนเมื่อร้อยปีก่อน ไอสังหารหมดไปนานแล้ว ของแบบนี้สามารถจางหายไปตามกาลเวลาได้
คนทั้งสองไม่เข้าใจอยู่บ้าง แม่นางน้อยที่ดูแล้วเพิ่งขั้นสร้างฐานช่วงต้น เหตุใดไอสังหารจึงมากมายปานนี้ หรือเป็นเผ่ามารปลอมแปลงมา?
แต่ตอนนี้พวกเขามีธุระต้องทำ จึงปล่อยเรื่องของจินเฟยเหยาไว้ก่อน ผู้บำเพ็ญเซียนหนุ่มถามพานอี้ “ไม่ทราบผู้บำเพ็ญเซียนฝั่งตรงข้ามเป็นคนของตระกูลใด? ที่นี่มีถ้ำเซียนของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่อยู่จริงหรือ พวกเจ้าอย่าหลอกลวงนะ”
อีกฝ่ายท่าทางผ่อนคลายลง พานอี้ฉวยโอกาสนำตระกูลพานออกมากดดันคนอีกรอบ “พวกเราเป็นคนของตระกูลพาน นี่เป็นถ้ำเซียนของผู้อาวุโสของพวกเรา”
จินเฟยเหยาหมดวาจา ไหนบอกว่าปิดบังฐานะ? ตอนนี้บอกฐานะของตนเองกับคนนอก นี่เรียกว่าอะไร เรื่องในวันนี้จะแพร่ออกไปและทำให้เรื่องที่ข้าขโมยหินผลึกเทียนจี๋แดงออกมาหรือไม่ นางครุ่นคิดในใจ มองพินิจฝ่ายตรงข้ามไม่หยุด คิดฆ่าคนปิดปาก
เรื่องต่อมายิ่งทำให้จินเฟยเหยากระอักโลหิต ตอนคนของอีกฝ่ายถามไปตามสบายว่า เจ้ามีหลักฐานอะไรว่าเป็นถ้ำเซียนของผู้อาวุโสของเจ้า ไม่ได้หลอกให้พวกเขาไป พานอี้ก็เอ่ยอย่างโง่งมว่า “พวกเรามีมุกเก็บการรับรู้ของบรรพชนผู้ล่วงลับ เขาสามารถยืนยันได้ว่าถ้ำเซียนนี้เป็นของท่านผู้เฒ่า”
“มุกเก็บการรับรู้?” พอทั้งสองคนได้ยิน นี่มิใช่บอกว่าคนตายไปนานแล้วหรือ ที่แท้สี่คนนี้ก็มารับมรดกตกทอด นี่มิใช่ผลประโยชน์ที่มาส่งถึงที่หรอกหรือ?
ทั้งสองคนสบตากันอย่างรู้ใจ เข้าใจความคิดของอีกฝ่ายพอดี
ทว่าไม่รอให้ทั้งสองคนลงมือ สิ่งที่ว่องไวดุจสายฟ้าก็โจมตีมากดดันผู้บำเพ็ญเซียนหนุ่มตรงๆ ทั้งสองคนตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี ตื่นตระหนกไปชั่วขณะ ได้ยินเสียงดังเพี๊ยะ ศิลาแตกเป็นชิ้นๆ ปลิวว่อน บนพื้นปรากฏหลุมลึกแห่งหนึ่งในพริบตา ในรูผุดควันสีขาวเสียงดังชี่ๆ
“มีพิษ” ในใจทั้งสองเคร่งเครียด คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะลงมือก่อน
ฟองสีฟ้าพวงหนึ่งพลันลอยออกมาโอบล้อมพวกเขาไว้ตามเงาหลังคนสองคนที่พุ่งมา ส่วนน้ำพิษสีขาวแต่ละก้อนก็กระเด็นลอยมาสาดไปทั่วบริเวณ ตำแหน่งที่ร่วงลงมีควันสีขาวลอยขึ้น กลิ่นหอมหวาน
พวกพานอี้สามคนมองฉากเบื้องหน้าอย่างปากอ้าตาค้าง ภายในไม่กี่อึดใจ จินเฟยเหยาเรียกพั่งจื่อออกมาอย่างกะทันหัน ให้โจมตีสองคนฝั่งตรงข้ามด้วยกัน พวกเขาสองคนไม่เข้าใจเลยสักนิด เกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดจึงลงมืออย่างกะทันหัน
เผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานสองคน พั่งจื่อใช้ลิ้นเหล็กและน้ำพิษพัวพันผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานช่วงต้นเอาไว้ จินเฟยเหยาใช้ฟองแสงนรกร่วมมือกับมัน ส่วนตนเองพุ่งเข้าหาผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานช่วงกลาง
ฟองแสงนรกลอยอยู่รอบด้านอย่างหนาแน่น นางกับพั่งจื่อสัมผัสฟองแสงนรกเหล่านั้น พวกมันก็จะดีดออกมาเอง ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนสองคนนั้นเพียงแค่สัมผัสฟองแสงนรกก็ถูกไฟนรกเผาจนเจ็บปวดเข้ากระดูกทันที คนทั้งสองเปิดม่านแสงก็ขัดขวางฟองแสงนรกได้เพียงปริมาณน้อยๆ ฟองแสงนรกส่วนมากยังฉวยโอกาสเข้ามาได้
ให้ฟองแสงนรกต้านทานร่างของผู้บำเพ็ญเซียนหนวดเครารุงรังเอาไว้ จินเฟยเหยาพุ่งไปเบื้องหน้าร่างของผู้บำเพ็ญเซียนหนุ่มที่พัวพันกับพั่งจื่อ คนผู้นี้ถือหอกยาว แสงสีแดงกระพริบเด่นชัด กดดันพั่งจื่อจนต้องหลบหลีกไปทั่ว ส่วนเขากลับใช้โล่วิญญาณชิ้นหนึ่งขัดขวางน้ำพิษที่ลอยมาไว้ บางครั้งยังถูกฟองแสงนรกที่ลอยมากะทันหันเผาไหม้จนร้องโหยหวน
เห็นจินเฟยเหยาพุ่งมา เขารีบควงหอกยาวต้าน พั่งจื่อมีพลังการบำเพ็ญเพียรต่ำเกินไป ขอเพียงต้านทานน้ำพิษได้ก็สามารถต้านทานการโจมตีทั้งหมดได้ ทว่าเขากลับไม่กล้าดูเบาจินเฟยเหยา
จินเฟยเหยาร้องคำหนึ่ง ตลอดร่างก็กลายเป็นไฟนรกยกหมัดขึ้นต่อยเขา ผู้บำเพ็ญเซียนหนุ่มยกโล่วิญญาณในมือคิดจะต้านทานหมัดนี้ จากนั้นเตรียมใช้หอกยาวเสียบทะลุร่างจินเฟยเหยาทางด้านข้าง
โล่วิญญาณที่รับหมัดของจินเฟยเหยาพลันผนึกเป็นน้ำแข็งในพริบตา ภายใต้การโจมตีอย่างหนักหน่วงอีกครั้งก็กลายเป็นชิ้นๆ ร่วงลงพื้นทันที หอกยาวของเขาปักร่างจินเฟยเหยา กลับถูกนางใช้มือกุมไว้มั่นและผนึกเป็นน้ำแข็งทันที แค่บีบเบาๆ ก็แตกสลายเป็นชิ้นๆ
ภายในไม่กี่อึดใจ ของวิเศษสองชิ้นของผู้บำเพ็ญเซียนหนุ่มก็ถูกจินเฟยเหยาทำลาย ทว่าจินเฟยเหยาไม่ให้เวลาเขาหอบหายใจใช้หมัดต่อยอีกครั้ง ถ้าโดนโจมตีตรงๆ ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
ในยามนี้เอง ด้านหลังจินเฟยเหยาพลันมีลมหมุนพัดมาทั้งยังส่งฟองแสงนรกที่ถูกโจมตีจนเสียงดังเพี๊ยะพะมาด้วย นางหลบไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว ดาบขนาดยักษ์สุดเปรียบปานเล่มหนึ่งฟันลงพื้น ผืนดินสั่นสะเทือน รอยแยกลึกถึงสามจั้ง สายหนึ่งปรากฏขึ้นบนเกาะ
จินเฟยเหยาหันหน้าไปมอง ที่แท้เป็นผู้บำเพ็ญเซียนหนวดเครารุงรัง ดาบใหญ่หลังมังกรที่แบกไว้ด้านหลังลอยอยู่กลางอากาศกลายเป็นดาบยักษ์กว้างหนึ่งจั้งยาวสี่จั้ง เห็นจินเฟยเหยาหลบดาบนี้ได้ เศียรมังกรบนตัวดาบส่ายไหวศีรษะ อ้าปากกว้างคำรามอย่างต่อเนื่อง
“รวม” ในเวลาเดียวกันกับที่จินเฟยเหยาหลบหลีกก็ไม่ได้อยู่ว่าง ใช้นิ้วชี้ ฟองแสงนรกจำนวนมากรวมกันเป็นฟองเดียวอย่างว่องไว ปกคลุมร่างของผู้บำเพ็ญเซียนหนุ่มที่เพิ่งรอดจากหายนะมาได้และถอนหายใจโล่งอกได้เพียงครึ่งเดียวเอาไว้
จากนั้นไฟนรกลุกขึ้นอย่างรุนแรง ภายในฟองแสงนรกมีเสียงร้องอนาถของผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้ดังมา ดาบใหญ่หลังมังกรยกขึ้นอีกครั้งฟาดฟันมาทางจินเฟยเหยาอย่างหนักหน่วง นางใช้สองมือต้านทานดาบใหญ่หลังมังกรเอาไว้ สองเท้าถูกพลังกดดันมหาศาลบดขยี้ลงไปในก้อนหิน
“ประลองกำลังกับข้า เจ้ายังอ่อนหัดนัก” จินเฟยเหยาคำรามลั่น สองมือคว้าดมดาบไว้มั่น ใช้แรงกระชากดึง ดาบใหญ่หลังมังกร หลุดจากการควบคุมของการรับรู้ผู้บำเพ็ญเซียนเครารกรุงรัง ไฟนรกพุ่งไปบนตัวดาบทั้งหมดราวกับน้ำไหล พริบตาก็กลายเป็นผลึกน้ำแข็งขนาดยักษ์ชิ้นหนึ่ง ถูกหมัดนางต่อยอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง ตัวดาบทั้งหมดก็แตกสลาย ผลึกน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วนร่วงลงมาจากท้องนภากระทบร่างผู้บำเพ็ญเซียนหนวดเครารุงรังที่มีสีหน้างุนงง
จากนั้นจินเฟยเหยาคำรามลั่น ไฟนรกสายหนึ่งพุ่งออกจากร่างเข้าโจมตีผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้ หลังไฟนรกผ่านพ้น สถานที่ซึ่งผู้บำเพ็ญเซียนหนวดเครารุงรังยืนอยู่ก็ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือ
ชั่วเวลาจิบชาถ้วยเดียว ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานสองคนก็ถูกนางกำจัดทิ้งได้สบายๆ จินเฟยเหยามองพื้นที่ว่างเปล่าจึงนึกขึ้นได้ ตนเองยังไม่คุ้นเคยกับถุงเฉียนคุน ไฟนรกจึงเก็บรักษาไว้เพียงกระเป๋าเก็บของดังเดิม ดังนั้นถุงเฉียนคุนจึงถูกเผาไปแล้ว
นางได้แต่ใช้เวทเหยียบอากาศกลับมาอย่างเสียใจ เอ่ยกับพวกพานอี้สามคนที่ตกตะลึงเป็นไก่ไม้ว่า “เรียบร้อย ตอนนี้สามารถหาดวงตาวงเวทได้อย่างวางใจแล้ว”