คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย – ตอนที่ 145 ทำบุญร้อยปีจึงขึ้นเรือลำเดียวกัน

“สามสิบหก สามสิบเจ็ด สามสิบแปด…” จินเฟยเหยานั่งบนพรมบิน นับตานสัตว์ปิศาจในแหวนเฉียนคุน ที่นี่เป็นสถานที่ล่าสัตว์ที่ดีจริงๆ มิน่าเล่าตึกซ่างเซียนถึงลากพวกเขามาที่นี่โดยเฉพาะ

เนื่องจากที่นี่มีสถานที่ให้หยั่งเท้าบนทะเล จึงดึงดูดให้สัตว์ปิศาจจำนวนไม่น้อยแบ่งอาณาเขตกันยึดครองเกาะปะการังและแนวปะการังใต้น้ำให้กำเนิดลูกหลาน พวกมันออกจากทะเลลึก พอโผล่ออกมาบนผิวน้ำก็ถูกผู้บำเพ็ญเซียนฉวยโอกาส บวกกับเกาะปะการังและแนวปะการังใต้ทะเลก็เป็นสถานที่ให้ผู้บำเพ็ญเซียนหยั่งเท้า ยิ่งเพิ่มความสะดวกในการล่าสัตว์ของผู้บำเพ็ญเซียนมากขึ้น

จินเฟยเหยาเก็บเกี่ยวได้ไม่เลว ใช้ไฟนรกควบคู่กับฟองแสงนรกบวกกับทงเทียนหรูอี้ที่เปลี่ยนแปลงได้สารพัดทุกเมื่อทำให้นางสังหารสัตว์ปิศาจได้อย่างรวดเร็วและค้นหาสัตว์ปิศาจตัวต่อไป

นางค้นหาในผืนทะเลแถบนี้เกือบหมดแล้ว ยาบนตัวยังใช้ได้อีกหลายวัน นางจึงตัดสินใจยังไม่กลับเรือศิลาทะเลหาเสบียงเพิ่มชั่วคราว ลองค้นหาอีกหลายวัน ว่าจะพบเจอสัตว์ปิศาจอีกกี่ตัว บางครั้งใต้ทะเลก็มีสัตว์ปิศาจกำลังแหวกว่าย ดังนั้นนางจึงให้พรมบินร่อนต่ำ พรมบินผ่านผิวน้ำทะเล ค้นหาสัตว์ปิศาจที่สามารถจัดการได้อย่างละเอียด

ทันใดนั้น เบื้องหน้ามีเสียงโจมตีด้วยอาคมดังมา ราวกับมีคนกำลังต่อสู้กัน หลังจินเฟยเหยาเข้าไปใกล้ ถึงกับเป็นคนกลุ่มนั่นที่มาตีสนิทกับตนเองให้ไปล่าสัตว์ด้วยกัน พวกเขาสี่คนกำลังสู้กับสัตว์ปิศาจที่คล้ายและไม่คล้ายมังกรตัวหนึ่ง

มังกรเกล็ดนิลที่มีเกล็ดสีดำทั่วร่าง บนศีรษะมีเขางอก มีความสามารถในการขี่หมอกเหยียบเมฆแล้ว ตอนนี้กำลังกึ่งเหาะเหินอยู่กลางอากาศ ยื่นกรงเล็บแหลมคม แยกเขี้ยวกางเล็บต่อกรกับคนทั้งสี่

อัสนีสีม่วงแลบแปลบปลาบบนกรงเล็บของมังกรเกล็ดนิล คว้าจับเบาๆ น้ำทะเลก็ถูกมันยกขึ้น การโจมตีด้วยน้ำทะเลและอัสนีสีม่วงตลอดเวลาทำให้คนทั้งสี่มือเท้าปั่นป่วน

จินเฟยเหยาไม่ได้หยุดลง ผู้อื่นกำลังฆ่าสัตว์ปิศาจถ้าเจ้าหยุดมองอยู่ข้างๆ อาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด ดังนั้นนางจึงคิดจะเหินผ่านด้านข้างพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว

ทว่า สี่พี่น้องนักล่าเงินรางวัลพบเห็นจินเฟยเหยาแต่แรก ขณะที่นางเตรียมจะเหาะผ่านไป พี่ใหญ่รีบถ่ายทอดเสียงบอกว่า “สหายเซียนท่านนี้ ช่วยเหลือด้วย ทุกคนแบ่งสินสงครามกันอย่างยุติธรรม”

จินเฟยเหยาหยุดลง เห็นพวกเขาลำบากกินแรงอยู่บ้างจริงๆ เกล็ดของมังกรเกล็ดนิลแข็งแกร่งและยืดหยุ่นเกินไป ร่างกายก็คล่องแคล่วว่องไว พวกเขาไม่อาจทำให้มันบาดเจ็บถึงแก่ชีวิตได้ กลับเป็นพวกเขาถูกอัสนีสีม่วงโจมตีจนสั่นกระตุกบ่อยครั้ง

สัตว์ปิศาจขั้นหกก็แบ่งประเภท บางตัวในร่างสามารถหลอมยาสร้างอาวุธได้มากหน่อย ทว่าบางตัวนอกจากตานสัตว์ปิศาจ แม้แต่เนื้อก็กินไม่ได้ ทั้งตัวเป็นสิ่งไร้ค่า สายตาของนางกวาดมองบนร่างมังกรเกล็ดนิลตัวนี้ ตลอดร่างของมังกรเกล็ดนิลล้วนเป็นของวิเศษ เกล็ดสีดำทั่วร่างคือของดีที่ใช้เพิ่มความเหนียวในการหลอมอาวุธ เป็นของชั้นยอดตอนล่าสัตว์จริงๆ

“ได้ เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้ว” จินเฟยเหยาเอ่ยจบก็อ้าปากคายทงเทียนหรูอี้ออกมา พอจิตคิด ทงเทียนหรูอี้สองชิ้นก็กลายเป็นขวานยักษ์โปร่งใสกว้างสี่จั้งสองอันฟันใส่มังกรเกล็ดนิล

ขวานยักษ์ส่องแสงกระพริบ ฟันบนร่างมังกรเกล็ดนิลอย่างหนักหน่วง มังกรเกล็ดนิลหลบไม่ทัน ถูกโจมตีกดดันจนร่วงลงในทะเลน้ำตื้นแนวปะการัง ฉวยโอกาสที่มันยังไม่ขึ้นมา ขวานยักษ์อีกอันก็ตามมาทันที ขวานยักษ์สองอันลอยอยู่กลางอากาศ ฟันมังกรเกล็ดนิลบนแนวปะการังอย่างบ้าคลั่งราวกับสับเนื้อ

เผชิญหน้ากับการฟันอย่างบ้าคลั่งแบบนี้ พั่งจื่อจึงไม่มีแม้แต่โอกาสออกโรง ได้แต่นั่งอึ้งอยู่บนพรมบินอย่างโดดเดี่ยว

สี่พี่น้องนักล่าเงินรางวัลตกตะลึงอย่างยิ่ง อาวุธเวทแก่นชีวิตดุร้ายเกินไปแล้ว หลอมสร้างจากอะไรกันแน่ เหตุใดจึงรู้สึกไม่เหมือนสิ่งของที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานใช้ มองดูพลังทำลายล้าง คงไม่ได้ติดกับเยวี่ยปู้ชิง แทะเจอกระดูกแข็ง[2]เข้าหรอกนะ

นี่คือการค้นพบของจินเฟยเหยาในระยะเวลาสั้นๆ ที่อยู่ในทะเลขณะต่อกรกับสัตว์ปิศาจที่มีร่างกายใหญ่ยักษ์ว่าของวิเศษมีขนาดใหญ่ขึ้นอานุภาพก็จะเพิ่มขึ้น จัดการกับสัตว์ปิศาจเหล่านี้ ถ้าใช้ไฟนรก เนื่องจากรูปร่างใหญ่ปริมาณไฟที่ใช้ต้องมาก การใช้พลังวิญญาณแบบนี้จะสิ้นเปลืองอย่างยิ่ง สังหารสัตว์ปิศาจตัวหนึ่งเสร็จสิ้น พลังวิญญาณจะเหลือไม่ถึงครึ่งหนึ่งบ่อยๆ

สภาพการณ์เช่นนี้อันตรายอย่างยิ่ง ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนมาใช้ทงเทียนหรูอี้โจมตีจุดสำคัญแทน ตอนเจออันตรายหรือตัดสินแพ้ชนะครั้งสุดท้ายค่อยใช้ไฟนรก ทำแบบนี้กลับจัดการได้ดี ยิ่งใช้พลังวิญญาณได้อย่างชำนาญมากขึ้น

และถึงแม้ทงเทียนหรูอี้จะเป็นของวิเศษสองชิ้น ทว่าเคยหลอมรวมเป็นร่างเดียว จากนั้นค่อยแยกออกจากกัน ขณะที่ใช้งาน เทียบกับการใช้ของวิเศษสองชิ้นในเวลาเดียวกันหรือใช้ไฟนรกแล้วการควบคุมของวิเศษสองชิ้นใช้พลังวิญญาณมากกว่าการควบคุมของวิเศษชิ้นเดียวนิดหน่อย ประหยัดพลังวิญญาณได้มาก

ขณะที่สี่พี่น้องนักล่าเงินรางวัลตกตะลึงเกินความคาดหมาย การฟาดฟันสะเปะสะปะของทงเทียนหรูอี้ก็ทำให้มังกรนิลถูกฟันเป็นสองส่วน หลังจากพลิกตัวในน้ำทะเลที่ย้อมไปด้วยโลหิตสด ในที่สุดมังกรนิลก็หมดลมหายใจ

โลหิตสดของมังกรนิลสามารถใช้วาดยันต์ได้ จินเฟยเหยาตะโกนใส่พวกเขาสี่คน “โลหิตสดของมังกรนิลจะไหลหมดแล้ว ทุกคนรีบเก็บรวมรวบ”

จากนั้นนางก็หยิบอ่างเรียกทรัพย์ที่นำมาจากโลกหนานซาน ยกมุมหนึ่งของร่างขนาดมหึมาของมังกรนิลขึ้น ขยับส่วนที่ถูกฟันขาดไปเหนืออ่างเรียกทรัพย์ โลหิตสดของมังกรนิลไหลเข้าไปในอ่างเรียกทรัพย์ สี่พี่น้องนักล่าสมบัติหยิบขวดหยกขนาดเท่าฝ่ามือ มองอ่างเรียกทรัพย์ที่ฝังทองและหยกของจินเฟยเหยา รู้สึกเหมือนตนเองต่ำต้อยไปชั่วขณะ

ไม่มีเหตุผลที่บรรจุโลหิตสดลงในถุงเฉียนคุนโดยตรง ตอนจินเฟยเหยาออกทะเลก็เคยคิดถึงปัญหานี้แล้ว ซื้อขวดจำนวนมากมายที่มีความสามารถเก็บของ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าที่นี่จะมีสิ่งของให้บรรจุมากมายเกินไป เลือด ของเหลวใสในดวงตา ยังมีสัตว์ปิศาจบางตัวที่ภายในร่างกายมีของเหลวที่มีกลิ่นหอม สิ่งของเหล่านี้ล้วนต้องเก็บรวบรวม

ขวดที่ใช้เก็บของใช้หมดเกลี้ยงไปนานแล้ว เห็นโลหิตสดของมังกรเกล็ดนิลตัวนี้มีเยอะ นางจึงนึกถึงการใช้อ่างเรียกทรัพย์บรรจุขึ้นมาได้ สิ่งนี้บรรจุของได้มาก โลหิตของมังกรเกล็ดนิลเหล่านี้เพียงพอให้นางวาดยันต์ซ่อนกายไปชั่วชีวิต

สี่พี่น้องนักล่าเงินรางวัลบรรจุโลหิตของมังกรเกล็ดนิลในขวดหยกจนเต็ม จากนั้นก็มองอ่างเรียกทรัพย์ที่ยังบรรจุไม่เต็มอย่างอิจฉา พี่ใหญ่เริ่มเอ่ยวาจา “สหายเซียนท่านนี้ เจ้าว่ามังกรเกล็ดนิลตัวนี้จะแบ่งกันอย่างไร?”

จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างใจกว้าง “แบ่งห้าส่วนเท่าๆ กันก็พอ ถึงข้าจะลงแรงมากกว่า แต่มังกรเกล็ดนิลตัวนี้พวกเจ้ามาฆ่าก่อน ข้าเอาหนึ่งส่วนก็พอ”

“สหายเซียนพูดได้ถูกต้อง พวกเราเริ่มแบ่งเถอะ” พี่ใหญ่เพียงแค่ทำเพื่อรั้งจินเฟยเหยาไว้ ทำให้นางลดความระแวดระวัง เหยื่อที่มาถึงประตูจะไม่ต้องการได้อย่างไร จะแบ่งมังกรเกล็ดดำอย่างไร เขาไม่สนใจเลยสักนิด อย่างไรเสียหลังจินเฟยเหยาตาย สิ่งเหล่านี้ย่อมตกเป็นของพวกเขา

“สหายเซียนรอเดี๋ยว ข้ายังพูดไม่จบ” จินเฟยเหยาพลันตะโกนเรียกเขาไว้

จากนั้นเห็นนางยิ้มตาหยีพลางเอ่ย “ตานสัตว์ปิศาจของมังกรเกล็ดนิลตัวนี้มีเพียงส่วนเดียว มีห้าคนแบ่งยาก เอาอย่างนี้ ข้านำไปเพียงตานสัตว์ปิศาจ ส่วนที่เหลือทั้งหมดเป็นของพวกเจ้า ถึงข้าจะออกแรงมากหน่อย แต่ก็ไม่อาจแย่งชิงสิ่งของของพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าเอาไปมากหน่อย ไม่ต้องละอายใจหรอก อย่างไรพวกเราทุกคนก็มาจากเมืองวั่นเซียนสุ่ย ชาติที่แล้วต้องทำความดีมากเพียงใด จึงมีบุญได้นั่งเรือร่วมกัน”

“มารดามันเถอะ พูดมาได้ไม่ละอาย” สี่พี่น้องนักล่าเงินรางวัลหมดวาจา พร้อมใจกันเกิดความคิดนี้ กำจัดยายนี่น่าจะเป็นการขจัดภัยให้ปวงชนสินะ?

หน้าไม่อายจริงๆ สิ่งที่มีค่าที่สุดในตัวมังกรนิลทั้งหมดก็คือตานสัตว์ปิศาจ พูดเสียเหมือนคิดเพื่อคนอื่นแบบนี้ แย่งชิงอย่างเปิดเผยตรงๆ เลยดีกว่า อย่างน้อยก็ทำให้คนที่ถูกแย่งสบายใจหน่อย

“นี่…แน่นอนว่าไม่มีปัญหา ข้าจะนำตานสัตว์ปิศาจมาให้สหายเซียนเดี๋ยวนี้” พี่ใหญ่ส่งสายตาให้สัญญาณบรรดาพี่น้อง จากนั้นล้วงในหัวมังกรเกล็ดดำหยิบตานสัตว์ปิศาจออกมา แล้วเดินเข้าไปใกล้จินเฟยเหยา คิดจะมอบตานสัตว์ปิศาจให้นาง

ส่วนคนอื่นๆ อีกสามคน อยู่ในสภาพล่าเหยื่อ โอบล้อมจินเฟยเหยาไว้ราวกับมีเจตนาและไร้เจตนา

จินเฟยเหยาพบว่าสี่คนนี้ล้อมตนเองไว้ มองพี่ใหญ่ที่ยิ่งเดินยิ่งเข้ามาใกล้ พลันเปลี่ยนสีหน้า ตวาดเสียงเข้ม “พวกเจ้าทำอะไร คิดจะปล้นคนดีหรือ”

“เจ้าก็ถือว่าเป็นคนดี? อย่าแปะทองที่หน้าตนเอง[3]หน่อยเลย ทุกคนลุย อย่าให้นางหนีไปได้” พี่ใหญ่เก็บตานสัตว์ปิศาจลงในถุงเฉียนคุนอย่างรวดเร็ว ใช้มือนำธงสีดำเล็กๆ ออกมา

จินเฟยเหยาเหยียบอากาศคิดจะหนีออกจากวงล้อม คนอื่นๆ อีกสามคนค่อยๆ ทยอยกันยกธงสีดำเล็กๆ ที่หยิบออกมานานแล้ว ถ่ายเทพลังวิญญาณลงไป วงเวทกักเซียนสีดำอันหนึ่งปรากฏขึ้นโดยรอบ พลังวิญญาณจินเฟยเหยาถูกผนึกร่วงลงกลางวงเวท แม้แต่พั่งจื่อที่ถูกนางหิ้วก็ร่วงลงมาพร้อมกัน

นางขมวดคิ้ว ใช้พลังวิญญาณในมือไม่ได้เลยสักนิด คิดไม่ถึงว่าจะเป็นวงเวทที่สามารถสะกดพลังวิญญาณของผู้ถูกคุมขัง ร้ายกาจเกินไปแล้ว ผู้บำเพ็ญเซียนที่ไม่มีพลังวิญญาณ ก็คือเนื้อปลาที่ให้คนถูกเชือดเฉือนได้ตามใจ

“ฮ่าๆๆ เป็นอย่างไร ตอนนี้ใช้พลังวิญญาณไม่ได้แล้วสินะ ในวงเวทกักเซียนของพวกเราสี่พี่น้อง ไม่มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานคนใดหนีออกมาได้”

คิดไม่ถึงว่าจะหลอมสร้างธงอาคมเป็นวงเวทแก่นชีวิต จินเฟยเหยารู้สึกว่าสี่คนนี้คงเบื่อหน่ายเกินไป ขอเพียงหายไปคนหนึ่ง ธงอาคมนี้ก็จะไม่มีประโยชน์ เสียอาวุธเวทแก่นชีวิตเพียงอันเดียวไปเปล่าๆ

“เหตุใดเมื่อครู่พวกเจ้าไม่ใช้วงเวทกักเซียนฆ่าสัตว์ปิศาจ กักสัตว์ปิศาจเอาไว้ ค่อยๆ แทงทีละครั้งให้ตาย ต้องสู้อย่างลำบากกินแรง” จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นพินิจวงเวท เอ่ยถามอย่างสงสัย

“เจ้าโง่กว่าข้าอีก สัตว์ปิศาจไม่ต้องใช้พลังวิญญาณ ที่มันใช้คือปราณปิศาจ” เจ้าสามคว้าโอกาสอันหาได้ยากนี้ไว้ รีบเอ่ยเย้ยหยัน

จินเฟยเหยาเบ้ปากเอ่ยว่า “พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ ถึงกับต้องฆ่าคนเพื่อมังกรเกล็ดนิล ทุกคนมิได้รักความสงบสุขหรอกหรือ? ต้องสามัคคีกันไว้สิ ไม่เช่นนั้นจะเกิดจิตมารนะ”

“จิตมารอะไร พวกเราได้รับการไหว้วานจากคนอื่นให้มาทำ ถ้าไม่สังหารเจ้า ก็จะเสียสัตย์ต่อผู้คน นั่นจึงมีจิตมาร” เจ้ารองคำรามอย่างหยาบคาย

“รับการไหว้วานจากคนอื่น? ผู้ใด ข้าไม่เชื่อหรอก ข้าไม่ได้ออกมาจากเกาะเลย ประตูใหญ่ก็ไม่ย่างกราย ไม่เคยล่วงเกินใครมาก่อน จะปล้นก็ปล้นสิ ยังหาข้ออ้างกองพะเนินอีก ไม่มีบุคลิกเอาเสียเลย” จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างดูแคลน ที่จริงคิดจะกระตุ้นพวกเขาให้บอกชื่อคนไหว้วานออกมา

เจ้าสามไม่ทำให้คนผิดหวังจริงๆ อ้าปากอ้วนๆ พูดออกมา “เยวี่ยปู้ชิงใช้พวกเรามา บอกมา เจ้าซ่อนสาวงามคนนั้นไว้ที่ใด?”

“เจ้าสาม! เจ้าไม่เอ่ยปากแล้วจะตายหรือ” พี่ใหญ่อับอายจนกลายเป็นโทสะ คำรามใส่เจ้าสาม

เจ้าสามทำปากยื่นอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “พี่ใหญ่ อย่างไรเสียคำพูดนี้เจ้าก็ต้องถาม ข้าแค่ช่วยพูดออกมาให้เท่านั้น”

“ที่ข้าด่าคือประโยคแรก เจ้าบ้า ทำลายกฎเกณฑ์ของพวกเรา” พี่ใหญ่เดือดดาลอย่างยิ่ง ด่าทอเขาอีกครั้ง

“นางไม่เชื่อว่ามีคนไหว้วานพวกเรามา พวกเราแบกรับความผิดดำกินดำ[4]ไม่ได้ จะเสียชื่อเสียง” เจ้าสามไม่ยินยอม ปฏิเสธเสียงค่อยดังเดิม

พี่ใหญ่คำรามอย่างเดือดดาล “พวกเรามีชื่อเสียงกะผีสิ เจ้าหุบปากเลย ถ้าพูดอีกประโยคข้าจะตัดเสบียงส่วนของเจ้า”

“พวกเจ้าพูดกันพอหรือยัง พั่งจื่อ อัดพวกมัน คิดไม่ถึงว่าจะกล้าปล้นข้า” ในยามนี้เอง จินเฟยเหยาออกคำสั่งอย่างอารมณ์ไม่ดี พั่งจื่อพุ่งออกไปดุจลูกธนู

ส่วนนางม้วนแขนเสื้อขึ้น กำหมัดเดินไปหา ปากยังเอ่ยว่า “วงเวทที่ขนาดสัตว์ปิศาจยังกักขังไม่ได้ ยังถือเป็นของล้ำค่า ข้าจะให้พวกเจ้าเห็นว่า ผู้บำเพ็ญเซียนที่ไม่มีพลังวิญญาณเป็นอย่างไร”

………………………………………

[1] มาจากคำกล่าวที่ว่า ทำบุญร้อยปีจึงขึ้นได้ขึ้นเรือลำเดียวกัน ทำบุญพันปีจึงได้นอนร่วมหมอน

[2] แทะเจอกระดูกแข็ง หมายถึง คนที่แข็งแกร่งหรือภารกิจที่ยากลำบาก

[3] อย่าแปะทองที่หน้าตนเอง หมายถึง อย่าชมตนเอง

[4] ดำกินดำ หมายถึง กลุ่มผิดกฎหมายอีกกลุ่มหนึ่งรังแกกลุ่มผิดกฎหมายอีกกลุ่ม

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตายเวลาเช้าตรู่ บนเส้นทางอันยาวไกลของยอดเขาลั่วซี มีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่สูงเจ็ดฉื่อ[1]เดินไปยังวังอวิ๋นเย่ที่สร้างอยู่กลางยอดเขาด้วยฝีเท้าเบาและรวดเร็ว นางอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เกล้าผมเป็นมวยสาวน้อยคู่หนึ่ง บนมวยแต่ละอันมีแถบผ้าสีเขียวพันประดับ บนร่างสวมชุดศิษย์สายนอกสีเทาทั้งตัว บนเข่ามีรอยปะชุนแห่งหนึ่ง หน้าตางดงามน่ารัก รูปร่างพอเหมาะพอดี ทว่ากลับแบกถังไม้ที่สูงกว่านางสองเท่า ก้าวเดินบนบันไดศิลาดุจเหินบิน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset