คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย – ตอนที่ 163 คฤหาสน์อีกแห่งของจอมมารหลง

ทั้งสองคนจ้องมองเบื้องหน้าพลางพูดคุย ก็เห็นผู้บำเพ็ญเซียนแซ่ซุนคนนั้นเริ่มนำธงอาคมออกมาเตรียมกางวงเวท ถ้าให้เขากางวงเวทจริง คิดจะเข้าไปก็ยุ่งยากแล้ว

“หลี่ว์ป้า นี่ไม่ใช่สุสานบรรพชนของตระกูลเจ้าเสียหน่อย เจ้าคิดจะทำอะไร!” ผู้บำเพ็ญเซียนที่มาถึงมีสามสิบกว่าคน เห็นพวกหลี่ว์ป้าชิงลงมือก่อน ทั้งยังคิดจะห้ามพวกเขาเข้าไป จึงมีผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนไม่น้อยพุ่งออกมา ร่วมมือกันล้อมพวกหลี่ว์ป้าห้าคนเอาไว้

หลี่ว์ป้าเชิดหน้าเอ่ยอย่างหยิ่งยโส “ทำไม พวกเจ้าไม่ยอม ข้าเป็นบุคคลที่อยู่ในทำเนียบสงครามวิญญาณเชียวนะ พวกเจ้านับเป็นตัวอะไร คนที่ตายใต้เงื้อมมือข้ายังมากกว่าคนที่พวกเจ้าเคยพบอีก”

“เจ้าหมอนี่คุยโวจริงๆ อันดับที่หนึ่งร้อยสามสิบสี่อย่างมากก็เพิ่งสังหารได้สามสิบสี่สิบคนเท่านั้น” ปู้จื้อโหยวนั่งยองๆ อยู่ด้านข้างพลางเอ่ยอย่างดูแคลน

จินเฟยเหยามองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นเอ่ยอย่างอิจฉาอยู่บ้าง “สามสิบสี่สิบคน คิดไม่ถึงว่าจะฆ่าคนเผ่ามารได้มากมายปานนั้น ข้ายังไม่เคยฆ่าเลยสักคน น่าขายหน้าจริงๆ”

“เจ้าพูดเหลวไหล กลิ่นคาวโลหิตบนร่างเจ้าเข้มข้นจนแทบจะทำให้คนสำลักตาย ยังจะเสแสร้งอีก” ปู้จื้อโหยวพูดสัพยอกจินเฟยเหยาเหมือนคุ้นเคยดี

“เป็นไปไม่ได้!” จินเฟยเหยาดมฟุดฟิด ไม่พบว่าบนร่างของตนเองมีกลิ่นคาวโลหิตอะไร รู้ทันทีว่าตนเองถูกคนหยอกเย้า นางถลึงตาใส่อย่างดุร้ายแล้วเอ่ย “พูดล้อเล่นให้น้อยๆ หน่อย ตอนนี้จะทำอย่างไรดี พวกเราจะไปหรือไม่”

“เจ้านี่โง่จริงๆ พวกเราสองคนซ่อนกายได้มิใช่หรือ แน่นอนว่าต้องซ่อนกายแล้วแอบเข้าไป” ปู้จื้อโหยวกระพริบตาให้อย่างเจ้าเล่ห์

จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างไม่เข้าใจอยู่บ้าง “ถ้าซ่อนกายพวกเราสองคนก็มองไม่เห็นอีกฝ่าย แล้วจะร่วมมือกันอย่างไร?”

“การร่วมมือที่ข้าพูดคือไม่โจมตีกันเอง ไม่ได้บอกว่าต้องจับมือกันลงไป เจ้าไม่ใช่เด็กสามขวบเสียหน่อย กลัวจะหลงหรือ?” ปู้จื้อโหยวเลิกคิ้วมองจินเฟยเหยาราวกับไม่เข้าใจว่าทำไมนางจึงโง่งมถึงเพียงนี้

จากนั้นปู้จื้อโหยวก็เอ่ยอีกว่า “เอาละ พวกเราไปกันเถอะ ฉวยโอกาสที่พวกเขากำลังหาเรื่อง พวกเรารีบลงไปตักตวงของดีก่อน”

“เดี๋ยวก่อน” จินเฟยเหยาฉุดดึงเขาไว้ จากนั้นเอ่ยถามว่า “เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าสถานที่ที่พวกเราจะไปคือที่ใด?”

ปู้จื้อโหยวมองนางอย่างตกตะลึง จากนั้นจึงเอ่ยอย่างกลุ้มใจ “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะตามมาโดยไม่รู้อะไรเลย แล้วข้ายังโง่งมไปร่วมมือกับเจ้า ช่างโชคร้ายจริงๆ”

“เจ้าบอกมาตอนนี้ก็ไม่ตายหรอกน่า ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่เสียหน่อย” จินเฟยเหยาเอียงศีรษะยิ้มให้เขา

“กลัวเจ้าแล้ว สามคนนั้นเป็นผู้ฝึกเคล็ดวิชามาร ตามข่าวที่แพร่ออกมา สามคนนี้ได้รับการชี้แนะจากคนเผ่ามาร มาค้นหาคฤหาสน์อีกแห่งของจอมมารหลง ดังนั้นคนเหล่านี้คือผู้บำเพ็ญเซียนฝ่ายธรรมะที่ทราบข่าว จากนั้นคิดจะมาขจัดภัย” ปู้จื้อโหยวลงนั่งยองๆ อีกครั้ง พูดกับจินเฟยเหยาที่ไม่รู้ว่าตามมาทำไม

จินเฟยเหยาตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคฤหาสน์อีกแห่งของจอมมารหลง แต่เพราะเหตุใดเขาจึงสร้างคฤหาสน์อีกแห่งไว้ที่นี่ ทำไว้มาเที่ยวเล่นหรือ นางไม่รู้ประวัติศาสตร์ของโลกวิญญาณเป่ยเฉิน ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าที่นี่เคยถูกคนเผ่ามารยึดครอง

เพียงแต่คนเหล่านี้มาขจัดภัยพิบัติจริงหรือไม่? จินเฟยเหยาไม่ขอออกความเห็นและไม่เชื่อคำพูดแบบนี้ ทว่านางเพิ่งคิดเช่นนี้ ก็เห็นปู้จื้อโหยวเอ่ยกับนางเบาๆ “ที่จริงคนเหล่านี้คิดจะมาแบ่งน้ำแกงสักถ้วย สิ่งของดีๆ ของจอมมารหลงมีมากมาย ผู้ใดจะไม่อยากได้”

“สหาย เจ้ารู้ว่าข้ากำลังคิดอะไรอยู่จริงๆ เพียงแต่ก่อนอื่น ข้าอยากถามเจ้าเรื่องหนึ่ง เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นสตรี?” จินเฟยเหยารู้สึกว่าคนผู้นี้น่าสนใจจริงๆ ทั้งคำพูดและความคิดใกล้เคียงกับตนเองมาก เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขามองการปลอมแปลงของตนเองออกได้อย่างไร จึงบอกว่าตนเองจะหลงเสน่ห์เขา

ปู้จื้อโหยวดูเหมือนจะไม่เข้าใจจึงถามกลับว่า “เจ้าเป็นสตรี? มองไม่ออกเลยจริงๆ หน้าตากลายแบบนั้น ใครจะอยากแต่งงานกับเจ้า”

“ถ้าเจ้าไม่รู้ว่าข้าเป็นสตรี ทำไมถึงบอกว่าข้าเห็นลักษณะของเจ้าแล้วจะต้องหลงเสน่ห์ของเจ้าและไม่หลอกเจ้าอีก” เห็นท่าทางของเขาเหมือนไม่ได้เสแสร้ง จินเฟยเหยาจึงรู้สึกงุนงง

ปู้จื้อโหยวมองพินิจนางขึ้นลงไม่หยุด จากนั้นจึงเอ่ยถาม “เพราะว่าบุรุษเห็นข้าก็จะรู้สึกว่าข้าคนนี้ซื่อสัตย์และสุขุมรอบคอบ คู่ควรแก่การเชื่อถือ หลงเสน่ห์ลึกๆ ของข้า ข้าไม่เคยบอกว่าเจ้าเป็นสตรี คงมิใช่ว่าเจ้าแต่งไม่ออก เลยคิดจะหาคนมาแบกหม้อดำนะ เจ้าอย่าฝันไปเลย เป้าหมายของข้าคือท่องเที่ยวไปทั่วหล้า ไม่ให้สตรีพันแข้งพันขาข้าไว้หรอก”

“เจ้าไสหัวไปเลย หน้าหนายิ่งนัก” จินเฟยเหยาเลิกคิ้ว ด่าทอเขาอย่างดุร้าย

“ไม่พูดไร้สาระกับเจ้าแล้ว ทางนั้นคนยิ่งมามากขึ้นทุกที ตอนนี้เป็นโอกาสอันดี” ปู้จื้อโหยวไม่สนใจจินเฟยเหยามองที่ทุ่งราบ จากนั้นงอร่างถอยไปหลายก้าว คนก็หายไปจากที่เดิม

“หนีเร็วจริงนะ”จินเฟยเหยามองหญ้าข้างกายที่ถูกแหวกออก รู้ว่าเจ้าหมอนี่ซ่อนกายวิ่งไปก่อนแล้ว

จากนั้นจินเฟยเหยามองทางทุ่งราบ โดยพื้นฐานผู้บำเพ็ญเซียนทั้งหมดล้วนยืนอยู่ที่นั่น แม้แต่พวกไป๋เจี่ยนจู๋ยังยืนตีสีหน้าเย็นชาอยู่ด้านข้าง ส่วนปากหลุมกลับถูกหลี่ว์ป้าเฝ้าไว้ คนแซ่ซุนกำลังกางวงเวท บรรยากาศมาคุและตึงเครียดอย่างยิ่ง ดูท่าใกล้จะเปิดศึกในไม่ช้า

จินเฟยเหยาหยิบยันต์ซ่อนกายใบหนึ่งมาแปะบนร่าง แอบมาถึงทุ่งราบ ตรงไม่ไกลจากปากหลุม หาช่องว่างระหว่างคนที่ยืนอยู่เตรียมหาโอกาสเข้าไปในหลุม

“หลี่ว์ป้า ถ้าเจ้ายังไม่ถอยไปอีก พวกเราจะไม่เกรงใจแล้วนะ” ผู้บำเพ็ญเซียนที่ถูกหลี่ว์ป้าสกัดไว้ต่างไม่พอใจ ใช้ของวิเศษชี้หน้าเขาแล้วร้องตะโกน

หลี่ว์ป้าเรียกกระบี่ป้าเทียนมาอย่างไม่ยอมแสดงความอ่อนแอ ยืนถือกระบี่สาดแสงสีทองไปรอบทิศเปี่ยมด้วยปราณอหังการ ตะโกนเสียงดังไม่แพ้ทุกคน “ไม่รู้หรือว่ามาก่อนได้ก่อน พวกเจ้าคิดจะเข้าไปก็ย่อมได้ แต่ต้องรอหลังจากพวกเราออกมา พวกเจ้าจึงเข้าไปได้”

“หลี่ว์ป้า ถ้ายังไม่เข้าไป ก็จะให้ผู้บำเพ็ญมารสามคนนั้นทำสำเร็จนะ!” ในกลุ่มคนมีผู้บำเพ็ญเซียนเอ่ยเตือนขึ้นอย่างไม่พอใจว่าผู้ใดเป็นศัตรูของทุกคน

“ฮึ!” หลี่ว์ป้าส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างแรง เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “กลัวอะไร ถ้าพวกเขาได้สิ่งของมาจริงๆ ข้าจะได้ประหยัดเวลาพอดี เอามาจากตัวพวกเขาโดยตรง สะดวกว่าบิดาเข้าไปค้นหาเองมากนัก”

ในยามนี้เอง จินเฟยเหยาได้ยินปู้จื้อโหยวตะโกนเสียงดังในกลุ่มคน “หลี่ว์ป้า เจ้าตกลงกับผู้บำเพ็ญมารให้ขัดขวางพวกเราไว้ใช่หรือไม่ จากนั้นพวกเขาจะแบ่งเศษเดนให้เจ้านิดหน่อย ดังนั้นเจ้าจึงขัดขวางพวกเราไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย!”

พอคำพูดนี้ออกมา ทุกคนก็รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ สายตาเปลี่ยนจากหมดความอดทนเป็นสงสัยและเดือดดาล

หลี่ว์ป้าร้อนใจ ด่าเสียงดังใส่ตำแหน่งที่เสียงดังมา “ใครเป็นคนพูด แสดงตัวให้ข้าดูหน่อย ข้าเป็นถึงคนที่อยู่บนผังสงครามวิญญาณ ปลิดชีพเผ่ามารมามากเพียงใด หาว่าข้ากับผู้บำเพ็ญมารร่วมมือกัน พูดจาส่งเดช มีความสามารถก็ออกมา แสดงตัวสิ!”

ปู้จื้อโหยวไม่สนใจเสียงร้องตะโกนของเขา จากนั้นเปลี่ยนไปอีกทาง พูดในกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งว่า “ข้ากลัวยิ่งนัก! เทพสงครามหลี่ว์คิดจะฆ่าคนปิดปาก ถ้าเจ้าไม่ได้ร่วมมือกับผู้บำเพ็ญมารจริง ทำไมถึงไม่ถอยไป เจ้าก็ยืนอยู่ข้างบนไม่ยอมลงไป เกรงว่าสิ่งของดีๆ ในนั้นจะถูกผู้บำเพ็ญมารหยิบฉวยไปแล้ว ยาของเผ่ามารไม่เหมือนกับของพวกเรา ถ้าในนั้นมียาที่บังคับเลื่อนขั้นพลังการบำเพ็ญเพียรสองสามขั้น อีกสักครู่พวกเราทั้งหมดคงต้องตายอยู่ที่นี่ วิธีการอันอำมหิตนัก”

“หลี่ว์ป้า เจ้ารีบไสหัวไป ไม่เช่นนั้นจะฆ่าเจ้าเสีย!” ยาเลื่อนพลังการบำเพ็ญเพียรชั่วคราวของคนเผ่ามาร ในการศึกครั้งที่แล้วเรียกได้ว่าแสดงออกอย่างโดดเด่น พลังบำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐานสามารถเลื่อนเป็นขั้นหลอมรวมได้ในพริบตา ผู้เยาว์เหล่านี้ถึงแม้จะไม่เคยประสบมาก่อน ทว่าย่อมมีบรรดาผู้อาวุโสอบรมสั่งสอน กล่าวถึงสิ่งของที่มีคาวโลหิตน่าหวาดกลัวชนิดนี้อย่างเกินจริง พอฟังก็รู้สึกว่าเป็นไปได้ สีหน้าของคนเหล่านี้จึงเปลี่ยนไป

คนที่สีหน้าเปลี่ยนไปใช่เพียงแค่คนเหล่านี้ แม้แต่หลี่ว์ป้ายังถูกคำพูดของปู้จื้อโหยวขู่ขวัญ ถ้าด้านล่างมีสิ่งของเช่นนี้จริงจะทำอย่างไรดี ถ้าให้ทุกคนลงไป ก็ไม่แน่ว่าจะขนย้ายสิ่งของทั้งหมดไปได้ เพียงแต่ตอนนี้เขาพูดออกมาแล้ว ถ้าเป็นฝ่ายเปิดทางเข้าปากหลุมเอง มิแสดงว่าข้ากับผู้บำเพ็ญมารเป็นพวกเดียวกันหรือ

เพราะเหตุใดเรื่องจึงกลายเป็นเช่นนี้ จะยอมเปิดทางหรือไม่ยอมเปิดทาง ข้าก็กลายเป็นพวกเดียวกับผู้บำเพ็ญมาร หลี่ว์ป้ามึนงง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ใครดึงข้าเข้าไปพัวพันอย่างชั่วร้ายขนาดนี้

เห็นหลี่ว์ป้าตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก จินเฟยเหยาอดทอดถอนชื่นชมไม่ได้ ปู้จื้อโหยวเป็นอัจฉริยะจริงๆ หัวไวมาก น่าจะผูกสัมพันธ์อันดีกับเขา เรียนรู้หลายกระบวนท่าไว้ป้องกันตัว ใช้คำพูดเพียงสองประโยคก็บีบคั้นคนจนกลายเป็นแบบนี้ได้ เทียบกับเขาแล้วนางถือว่ามีเมตตาเกินไป

ทุกคนล้อมหลี่ว์ป้า ความอดทนมาถึงขีดจำกัด ทว่ากลับไม่มีใครลงมือก่อน

จินเฟยเหยามองดูอย่างไม่เข้าใจ ผู้อื่นสู้หลี่ว์ป้าไม่ได้ยังพอเข้าใจ แต่นางกระจ่างแจ้งในความแข็งแกร่งของพวกไป๋เจี่ยนจู๋อย่างยิ่ง เพราะเหตุใดจึงเพียงตีสีหน้าเย็นชาอยู่ด้านข้างโดยไม่ลงมือ สีหน้าของพวกเขาร้อนใจอย่างเห็นได้ชัด ฃ

ในยามนี้เอง พลันมีเสียงแหวกอากาศดังมา ผู้บำเพ็ญเซียนแซ่ซุนที่กำลังกางวงเวทอยู่ร้องลั่นขึ้นอย่างกะทันหัน ทรวงอกด้านหน้าปรากฏรูโลหิตสิบกว่ารู โลหิตสดพุ่งออกจากหน้าอกของเขา ส่วนอาวุธสังหารคือสิ่งใด กลับไม่มีผู้ใดมองเห็น

ทว่าจินเฟยเหยารู้สึกได้อย่างชัดเจน บรรยากาศอึดอัดรอบด้านพลันผ่อนคลายลง ทุกคนไม่พูดพร่ำทำเพลงใช้ของวิเศษในมือบดขยี้หลี่ว์ป้าราวกับนัดกันไว้

หลี่ว์ป้าตะโกนว่าแย่แล้ว กลิ้งลงหลุมโดยไม่สนใจคนอื่นๆ ผู้บำเพ็ญเซียนสี่คนที่มากับเขามีเพียงคนเดียวที่พกพาบาดแผลลงหลุมได้ ส่วนคนอื่นๆ อีกสามคนถูกฆ่าตายคาที่

“ทุกคนรีบลงไปเร็ว เรื่องอื่นเรื่องเล็ก แต่จะให้ผู้บำเพ็ญมารหยิบฉวยสิ่งของไปไม่ได้แม้แต่ชิ้นเดียว” อาจจะเป็นเพราะกลัวบรรดาผู้บำเพ็ญเซียนต่อสู้กันเองอีก ไม่รู้ว่าใครตะโกนขึ้นมา ทุกคนทยอยกันเก็บของวิเศษ และกระโดดลงหลุมทันที

มองเห็นรอบด้านไร้ผู้คนแล้ว จินเฟยเหยาจึงแอบเข้าไปใกล้ปากหลุม ผู้ใดจะรู้ว่าจะตักตวงผลประโยชน์ในหลุมได้หรือไม่ สิ่งของบนร่างศพสามซากนี้กลับเป็นสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า นางค้นร่างของพวกเขาจนเกลี้ยงอย่างว่องไว ค่อยยื่นศีรษะไปดูตรงปากหลุมอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นจึงกระโดดลงไป

หลุมดินที่ตรงสู่เบื้องล่างไม่รู้ว่ายาวเพียงใด ร่วงดิ่งลงไปอย่างมืดสนิท

เสียงดังตุ้บ ไม่มีเค้าลางเลยสักนิด ก้นของจินเฟยเหยาก็นั่งอยู่บนดินอันอ่อนนุ่ม รอบด้านมืดมิด ส่วนไกลๆ มีแสงสลัวรางจำนวนมากกำลังเคลื่อนไหวราวกับผู้บำเพ็ญเซียนที่ลงมาก่อนหยิบสิ่งของที่ใช้ส่องสว่างออกมา

ในสุสานนี้มืดเกินไป ข้าซ่อนกายก็ใช้หินแสงราตรีไม่ได้ แล้วจะหาสมบัติได้อย่างไร! จินเฟยเหยาหงุดหงิด วางแผนผิดจริงๆ

………………………………..

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตายเวลาเช้าตรู่ บนเส้นทางอันยาวไกลของยอดเขาลั่วซี มีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่สูงเจ็ดฉื่อ[1]เดินไปยังวังอวิ๋นเย่ที่สร้างอยู่กลางยอดเขาด้วยฝีเท้าเบาและรวดเร็ว นางอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เกล้าผมเป็นมวยสาวน้อยคู่หนึ่ง บนมวยแต่ละอันมีแถบผ้าสีเขียวพันประดับ บนร่างสวมชุดศิษย์สายนอกสีเทาทั้งตัว บนเข่ามีรอยปะชุนแห่งหนึ่ง หน้าตางดงามน่ารัก รูปร่างพอเหมาะพอดี ทว่ากลับแบกถังไม้ที่สูงกว่านางสองเท่า ก้าวเดินบนบันไดศิลาดุจเหินบิน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset