คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย – ตอนที่ 180 ลักพาตัวกันเอง

เป็นทาสถือเป็นคนของใต้เท้าชนชั้นสูงได้แต่นั่งบนพื้นนอกศาลา จินเฟยเหยาและเต๋อสี่อยู่นอกศาลา ตากแดดร้อนแผดเผา ทุกคนไปรับใช้ปู้จื้อโหยวกันหมด พวกเขาสองคนไมได้ดื่มน้ำสักอึก

เห็นปู้จื้อโหยวรับการรับรองจากอูตี๋อย่างสบายใจ แม้แต่บุตรสาวผู้งดงามสองคนก็เรียกมาร่วมวง นั่งอยู่สองฟากข้างของปู้จื้อโหยว คนหนึ่งรินสุรา อีกคนบรรจุยาเส้นลงในกล้องยาสูบอย่างระมัดระวัง เรียกได้ว่าสบายอกสบายใจอย่างยิ่ง

ดังนั้นจินเฟยเหยาและเต๋อสี่ต่างถ่ายทอดเสียงไปด่าทอใส่หูเขาว่าสนใจแต่ความสำราญของตนเอง ไม่สนใจพวกเขาอย่างต่อเนื่อง

สิ่งที่ทำให้คนเดือดดาลที่สุดคือ ไม่รู้ว่ามู่ถ่าถูกถือเป็นองครักษ์ไปตั้งแต่เมื่อใด ยึดครองพื้นที่เล็กๆ มุมหนึ่งของศาลา เบื้องหน้ามีเนื้อสัตว์ สุรา และผลไม้วางอยู่ ทั้งยังมีบุตรชายรูปร่างล่ำสันของอูตี๋นั่งเป็นเพื่อน

สายตาของจินเฟยเหยาไม่เป็นมิตรอย่างยิ่ง เจ้าหมอนี่เป็นกันเองเกินไปแล้ว ใครให้นางเป็นองครักษ์ คิดไม่ถึงว่าจะทั้งกินทั้งดื่มต่อหน้าข้า

สายตาของนางจ้องมองมู่ถ่าอย่างไม่พอใจ มู่ถ่าเห็นบรรยากาศรอบด้านไม่เลว คุกเข่าเบื้องหน้าปู้จื้อโหยว ไม่รู้ว่าพูดอะไร ปู้จื้อโหยวเงยหน้าขึ้นมองจินเฟยเหยาแวบหนึ่งแล้วหลุบตาลงถ่ายทอดเสียงมาหา “นางอยากประลองกับเจ้าสักรอบถือเป็นการแสดงเสริมบรรยากาศให้ข้า ข้าปฏิเสธจะไม่ค่อยเหมาะ ถ้าเจ้าไม่ยินยอมข้าจะขัดขวาง พอดีสามารถใช้เป็นข้ออ้างว่าข้าพอใจประทานรางวัลให้พวกเจ้าดื่มกินได้”

“ระบบทาสแบบนี้ไร้สาระจริงๆ เจ้าให้นางมาเลย ข้าจะตั้งใจแสดงให้เจ้าดู” จินเฟยเหยาเลียริมฝีปากที่แห้งผาก อากาศของโลกเผ่ามารร้อนจริงๆ

เมื่อได้รับการยินยอมจากนาง ปู้จื้อโหยวจึงพยักหน้าให้มู่ถ่า ยินยอมให้นางสองคนประลองกันสักรอบเป็นการเสริมบรรยากาศให้ทุกคน กลุ่มคนในศาลาทั้งหมดต่างโห่ร้องยินดีราวกับชอบดูสิ่งของประเภทนี้เป็นพิเศษ มู่ถ่าไม่ได้พกพาคันธนู นางหักข้อนิ้วมือแล้วเดินมาหา ปากกล่าวภาษามารที่จินเฟยเหยาฟังไม่เข้าใจ เห็นสีหน้าดูเหมือนกำลังยั่วยุ

ยามนี้ปู้จื้อโหยวเองก็ถ่ายทอดเสียงมาบอก “นางกำลังยั่วยุเจ้า จะประลองหมัดกับเจ้าโดยไม่ใช้อาวุธ ใครแพ้ห้ามแสดงความรักกับข้าอีก เฮ้อ มีสเน่ห์ดึงดูดมากเกินไปก็เป็นความยุ่งยากใจอย่างหนึ่ง”

“ข้าไม่คิดจะแสดงความรักกับเจ้าเลยสักนิด เจ้าเก็บไว้เองเถอะ”

จินเฟยเหยาไม่เข้าใจ ถึงตนเองจะเป็นตัวปลอมทว่าพวกเขาก็น่าจะนึกว่าตนเองเป็นคนเผ่ามาร พลังการบำเพ็ญเพียรใกล้เคียงกัน มู่ถ่าอาศัยอะไรจึงนึกว่าประลองหมัดแล้วจะเป็นฝ่ายมีเปรียบ คนเผ่ามารใครจะไม่เสริมสร้างร่างกายบ้าง ไม่รู้ว่าในสมองของคนผู้นี้คิดอะไรอยู่

ที่จริงนางรู้เรื่องนี้เพียงผิวเผินเท่านั้น คนที่มีฐานะทาสอย่างนาง ต่อให้สร้างร่างกายก็เพียงเรียนรู้สิ่งของชั้นล่างสุด คนธรรมดามีตำแหน่งสูงกว่า ในด้านนี้ถึงพลังการบำเพ็ญเพียรจะพอๆ กัน ทว่าเนื่องจากสภาพแวดล้อมดีกว่า สิ่งที่ร่ำเรียนจะมีระดับสูงกว่านิดหน่อย ความแข็งแกร่งจึงแตกต่างกันอย่างยิ่ง มู่ถ่าเห็นจินเฟยเหยาเนื้อหนังบอบบาง ร่างกายก็ไม่ค่อยมีกล้ามเนื้อจึงคิดจะใช้กำปั้นสั่งสอนนางสักหน่อย คนทั้งสองเดินมาถึงพื้นที่ว่าง

จินเฟยเหยาเผชิญหน้ากับมู่ถ่าซึ่งยังพูดภาษามารที่ฟังไม่เข้าใจ คนในครอบครัวของอูตี๋รับฟังจนส่งเสียงโห่ร้องเป็นบางครั้ง จินเฟยเหยาก้มหน้ามองกระเบื้องสีสันสดใสใต้เท้า พินิจพิเคราะห์ลวดลายบนนั้น

มู่ถ่าพูดอยู่นาน ไม่เห็นจินเฟยเหยามีปฏิกิริยาราวกับดีดพิณให้วัวฟัง[1] ได้แต่หยุดปากอย่างเดือดดาล รอจนนางไม่พูดแล้ว จินเฟยเหยาจึงเงยหน้าขึ้น ล้วงหูแล้วหาว จากนั้นส่งภาษามารที่เพิ่งเรียนมาให้นาง โม่หนี่ ความหมายคือไปตายเสีย

มู่ถ่าตะลึงงันแล้วได้สติขึ้นมาทันที ปากตะโกนอะไรบางอย่างดังลั่น

เห็นนางตะโกนอยู่นานไม่เข้ามาเสียที จินเฟยเหยาก็ยิ่งเบื่อหน่ายได้แต่ยื่นมือไปกวักเรียกนาง ความเคลื่อนไหวยั่วยุนี้ใช้เป็นประจำทั้งสองโลก ไม่ต้องเอ่ยวาจาก็รู้ว่าหมายความว่าอะไร

มู่ถ่าพูดอยู่นานขนาดนี้ เนื่องจากคิดจะเพิ่มบรรยากาศสักหน่อย ให้ใต้เท้าชนชั้นสูงที่ชมอยู่ด้านข้างรู้สึกสนุกสนาน เดิมทีนี่คือการประลองแบบการแสดง คนทั้งสองต้องร่ำร้องเสียงดังกระตุ้นอารมณ์ของผู้ชมโดยรอบ อีกสักครู่ตอนสู้กันจะเป็นการแสดงหรือไม่ มีเพียงในใจของมู่ถ่าที่รู้กระจ่าง ทว่าจินเฟยเหยาฟังภาษามารไม่เข้าใจสักนิด ไม่มีความคิดจะร่วมมือแสดงกับนาง ย่อมไม่เข้าใจความขมขื่นของมู่ถ่า

สัญญาณมือยั่วยุที่แสดงออกมากระตุ้นโทสะของมู่ถ่า นางบริภาษด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน กำหมัดแน่นแล้วกระโจนเข้าใส่

สองขาของจินเฟยเหยายืนอย่างมั่นคง กำหมัดขึ้นเช่นเดียวกัน

มู่ถ่ารวดเร็วยิ่ง พริบตาก็พุ่งมาถึงเบื้องหน้าต่อยหมัดขวามาอย่างรวดเร็ว จินเฟยเหยาก็รีบถอยไปด้านข้าง ส่วนมู่ถ่าพลิกตัวเตะกลับหลังอย่างสวยงามทันที จินเฟยเหยาหมุนตัวกลับหลังชกหมัดขวาใส่ใบหน้าของนาง

หมัดที่ดูแล้วเหมือนไม่ได้ใช้แรงมากเท่าไร หลังจากต่อยใส่ใบหน้าของมู่ถ่า นางก็ลอยไปราวกับลูกศร กระแทกกำแพงดินของบ้านอูตี๋ดังโครมสนั่น กระแทกกำแพงดินเสียหายไม่พอยังทะลุเข้าไปในบ้านดินที่อยู่ติดกัน

จินเฟยเหยาไม่สนใจเสียงคนเอะอะเอ็ดตะโรและความวุ่นวายทางด้านนั้น แล้วก็คร้านจะมองสีหน้าปากอ้าตาค้างของคนในครอบครัวของอูตี๋ เดินหมุนตัวกลับมานั่งลงใต้ร่มไม้ข้างศาลาจากนั้นจ้องมองอูตี๋ด้วยสายตาดุร้าย

ปู้จื้อโหยวยิ้มบางๆ อย่างเข้าใจเอ่ยกับอูตี๋ที่อยู่ข้างกาย “ข้าพอใจยิ่ง ประทานสุราอาหารหนึ่งโต๊ะให้พวกเขา”

อย่าเห็นว่าเขาเพียงแค่ยิ้มบางๆ ที่จริงแสร้งทำทั้งสิ้น ถ้ารอบด้านไม่มีคนอื่นๆ ตอนนี้เขาคงกำลังเช็ดน้ำตาที่หัวเราะจนน้ำตาเล็ด

อูตี๋รีบให้คนในครอบครัวจัดสุราอาหารให้จินเฟยเหยาและเต๋อสี่ จินเฟยเหยาก็ไม่เกรงใจ มีความคิดจะกินให้ทหารรักษาการณ์ผู้นี้ล้มละลายจึงโยนพั่งจื่อออกมา

พั่งจื่อไม่รู้ว่าพวกเขาเดินออกจากป่าทึบเขตเน่าเปื่อยนานแล้ว ยังนอนหลับอยู่ในอ่างมายาจิ่งเทียน หลังจากออกมาสองตาหรี่ปรือก็กวาดมองไปรอบด้าน เห็นบนพื้นมีสุราอาหารวางอยู่จึงอ้าปากกว้าง สิ่งของเบื้องหน้าเหลือเพียงจานเปล่า จากนั้นจินเฟยเหยาก็เหล่มองด้วยสายตาชั่วร้ายจ้องไปทางอูตี๋อีก

กบที่บนหัวมีเขา สัตว์ปิศาจรูปร่างประหลาดเช่นนี้ทุกคนไม่เคยเห็นมาก่อน ความอยากอาหารของมันก็น่ากลัว โดยเฉพาะหลังจากจินเฟยเหยาส่งสัญญาณมือให้อูตี๋ว่าถ้ามันหิวก็จะกินคน อูตี๋จึงรีบสั่งการทันทีพยายามเลี้ยงสัตว์ปิศาจของใต้เท้าชนชั้นสูงให้อิ่มหนำอย่างสุดกำลัง

ปกติจินเฟยเหยาและพั่งจื่อกินอาหารอย่างเกรงอกเกรงใจ กินอิ่มเพียงหนึ่งส่วนก็พอ ถึงอย่างไรกินหรือไม่กินก็หิวแต่ไม่ตาย หลังสร้างฐานไม่รับประทานอาหารปีสองปีก็ไม่มีปัญหา ถึงอดอาหารโดยสิ้นเชิงแค่ดูดซับพลังวิญญาณแห่งฟ้าดินเล็กน้อยก็เพียงพอ ที่จินเฟยเหยากินอาหารก็แค่กินจนติดปาก

ตอนนี้นางไม่พอใจจึงกินอย่างไม่บันยะบันยัง ทำให้ทุกคนได้แต่นั่งอยู่ในศาลามองนางและพั่งจื่อกวาดกินอาหารราวกับสายลมคลั่งกวาดพัดใบไม้ที่ร่วงหล่น ขนาดเต๋อสี่ที่นั่งอยู่ข้างนางยังแย่งได้แค่ถั่วเม็ดเดียว

เต๋อสี่วางตะเกียบอย่างจนใจ ถ่ายทอดเสียงหารือกับปู้จื้อโหยวถึงเรื่องต่อไป

ตอนแรกปู้จื้อโหยวเพียงให้เขาช่วยพาจินเฟยเหยาเข้าโลกเผ่ามารยังไม่ได้มอบหมายเรื่องถัดไป ตอนนี้เขามีเพียงความคิดเดียวคือรีบสลัดจากเจ้าจอมก่อเรื่องสองคนนี้ทิ้ง ถ้ายังอยู่กับพวกเขาต่อไปไม่ช้าก็เร็วคงทำลายอาชีพคนสีเทาของตนเอง

ได้ยินเต๋อสี่ด่าพวกเขาสองคนอย่างไม่เกรงใจสักนิดในใจของปู้จื้อโหยวหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่ได้คิดจะฉุดลากเต๋อสี่ไปด้วยตลอด ถึงอย่างไรผู้อื่นก็อยู่บนเส้นทางนี้มาหลายสิบปีแล้ว มีประสบการณ์มากมาย สหายก็มีไม่น้อย ติดตามตนเองเดินส่ายอาดๆ แบบนี้ไม่ค่อยดีนัก จึงเป็นฝ่ายบอกเต๋อสี่ว่า “พี่เต๋อ พรุ่งนี้ข้าจะพาสหายเซียนจินไปจากเมืองปาต๋า ออกจากเมืองแล้วเจ้าค่อยติดเขาอันใหม่กลับเข้ามาอีกครั้ง ข้ามีเขาธรรมดาอยู่คู่หนึ่ง เจ้านำไปใช้เถอะ เขาบนหัวพั่งจื่อคู่นั้นเกรงว่าคงนำกลับคืนมาไม่ได้แล้ว”

เต๋อสี่ไม่เข้าใจอยู่บ้าง สองคนนี้คิดจะเป็นคนสีเทามิใช่หรือ ซื้อขายสินค้าค้นหาวัตถุดิบของยาปราณฟ้าดินห้าธาตุแล้วจะไปยังสถานที่ใดอีก?

“พวกเจ้าสองคนคิดจะไปที่ใด?”

“ภูเขาวั่นซั่น”

เต๋อสี่เหงื่อตก เจ้าพวกไม่กลัวตายสองคนนี้ คิดไม่ถึงว่าจะไปเมืองใหญ่ของเผ่ามาร “เจ้าจะไปรนหาที่ตายที่ภูเขาวั่นซั่นหรือ ถึงข้าจะรู้ว่าเจ้ารวบรวมข่าวสารไปขายโดยเฉพาะ แต่ก็ไม่ต้องแล่นไปหาข่าวสารถึงภูเขาวั่นซั่นก็ได้ อีกทั้งเจ้าจะพาจินเฟยเหยาไปทำไม? นางแค่จะมาหาหญ้าหนาวเหมันต์และเขาผลึกมิใช่หรือ ต่อให้ยังไม่มีชั่วคราวข้าก็สามารถช่วยนางจองกับคนเผ่ามารที่คุ้นเคยให้พวกเขาไปซื้อหรือไปเด็ดมาได้ แล้วค่อยมาเอาครั้งหน้าก็พอ ไยต้องเสี่ยงอันตรายไปภูเขาวั่นซั่นด้วย”

“ข้ายังไม่ได้บอกนางเลย ถึงอย่างไรนางก็ไม่มีอะไรทำติดตามข้าไปภูเขาวั่นซั่นเปิดหูเปิดตาคงไม่เป็นไร” ปู้จื้อโหยวเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ

“นี่เจ้าจะลักพาตัวหรือ!” เต๋อสี่มองจินเฟยเหยาที่กำลังแย่งกินอาหารกับพั่งจื่ออย่างไม่รู้อะไรเลยสักนิด รู้สึกว่านางขึ้นเรือโจร[2]จริงๆ

ถ้าเต๋อสี่รู้ว่าระหว่างทางจินเฟยเหยาเคยคิดวางแผนกับเขา คิดจะหลอกให้เขาเป็นคนนำตนเองไปภูเขาวั่นซั่น เกรงว่าคงไม่คิดแบบนี้ จินเฟยเหยาพูดภาษามารไม่เป็น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไปภูเขาวั่นซั่นคนเดียว ดังนั้นระหว่างเต๋อสี่กับปู้จื้อโหยวต้องมีสักคนที่พานางไปภูเขาวั่นซั่น เพียงแต่นางยังไม่เคยพูดกับพวกเขาสองคน ที่คิดไว้คือถึงตอนนั้นคงต้องหาวิธีลักพาตัวไป

สิริรวมหนึ่งวันหนึ่งคืนที่ทหารรักษาการณ์อูตี๋ต้องเตรียมอาหารให้สัตว์เลี้ยงที่น่าชังและทาสสาวของใต้เท้าปู้ คิดจะพูดคุยกับใต้เท้าปู้หลายๆ ประโยคก็ไม่มีโอกาส ยังพูดได้ไม่เท่าไรก็มีคนมารายงานว่าเนื้อหมดแล้วหรือบอกว่าซื้ออาหารข้างนอกไม่ได้ สุดท้ายเขาต้องให้คนไปหาอาหารทั่วทั้งเมืองและแทบต้องค้นบ้านปล้นชิงอาหาร

ทรมานอูตี๋อยู่หนึ่งวันหนึ่งคืน จินเฟยเหยาและพั่งจื่อจึงตบท้องและส่ายศีรษะแสดงว่ากินอิ่ม ทว่ายามนี้คือเช้าวันที่สองแล้ว

คิดว่าในที่สุดก็กรอกเจ้าตัวกินจุสองตัวนี้จนอิ่ม จะได้จัดการให้ใต้เท้าปู้พักผ่อนสักหน่อย จากนั้นช่วงอาหารค่ำค่อยกระชับความสัมพันธ์ คิดไม่ถึงว่าใต้เท้าปู้เอ่ยว่าจะจากไป

อูตี๋คิดจะรั้งให้เขาอยู่หลายๆ วัน ทว่าใต้เท้าปู้อธิบายว่าต้องรีบไปร่วมงานอวยพรวันเกิดท่านแม่ที่ภูเขาวั่นซั่น ทำให้เขาต้องหุบปาก

ทหารรักษาการณ์อูตี๋มองส่งรถสัตว์หกเขาของปู้จื้อโหยวไปจากเมืองปาต๋าอย่างช้าๆ ค่อยเดินกลับเข้าไปในบ้าน เขายืนอยู่ในลานเรือนพบว่าชั่วเวลาเพียงหนึ่งวันหนึ่งคืนตนเองมีเรื่องต้องจัดการเพิ่มขึ้นไม่น้อย

กำแพงดินของบ้านตนเองถล่ม บ้านติดกันก็ถูกทำลายไปครึ่งหนึ่ง ตอนนี้กำลังจูงบุตรสาวบุตรชายร้องทุกข์อยู่หน้าประตูเรือนของตนเอง ให้ใต้เท้าทหารรักษาการณ์ให้ความเป็นธรรมด้วย ชาวบ้านที่ถือตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวนนับไม่ถ้วนก็รวมตัวอยู่ที่นี่อย่างกังวลใจ คิดจะทวงอาหารที่ถูกบังคับแย่งชิงไปจากบ้านเมื่อวานกลับมา ยามนี้มีผู้ใต้บังคับบัญชามารายงาน ปรากฏว่าอาหารขาดแคลนทั้งเมือง มื้อค่ำไม่มีอาหารกิน

สิ่งที่ทำให้เขาไม่รู้จะทำอย่างไรดีมากที่สุดคือในห้องโถงรับแขกของตนเอง ยังมีองครักษ์ชื่อมู่ถ่าซึ่งถูกต่อยจนสลบไปนอนอยู่ คิดไม่ถึงว่าใต้เท้าปู้จะลืมพานางไปด้วย! จะจัดการกับคนผู้นี้อย่างไรดีเล่า?

……………………………………………

[1] ดีพิณให้วัวฟัง ความหมายเดียวกับ สีซอให้ควายฟัง คือ พูดบอกอะไรคนโง่ก็ไม่ได้ผล

[2] ขึ้นเรือโจร หมายถึง เข้าสู่หนทางผิดยากจะถอนตัวออกมา

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตายเวลาเช้าตรู่ บนเส้นทางอันยาวไกลของยอดเขาลั่วซี มีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่สูงเจ็ดฉื่อ[1]เดินไปยังวังอวิ๋นเย่ที่สร้างอยู่กลางยอดเขาด้วยฝีเท้าเบาและรวดเร็ว นางอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เกล้าผมเป็นมวยสาวน้อยคู่หนึ่ง บนมวยแต่ละอันมีแถบผ้าสีเขียวพันประดับ บนร่างสวมชุดศิษย์สายนอกสีเทาทั้งตัว บนเข่ามีรอยปะชุนแห่งหนึ่ง หน้าตางดงามน่ารัก รูปร่างพอเหมาะพอดี ทว่ากลับแบกถังไม้ที่สูงกว่านางสองเท่า ก้าวเดินบนบันไดศิลาดุจเหินบิน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset