หกวันต่อมา ในที่สุดพั่งจื่อและต้านิวก็ยืนหยัดต่อไปไม่ไหว ร่วงลงมาจากท้องนภาและกระแทกบนเกาะลอยได้ราวกับดินโคลน จินเฟยเหยาเผชิญหน้ากับมังกรหมอกสี่ตัวสุดท้ายเพียงลำพัง หลังช่วยพวกมันสองตัว ทงเทียนหรูอี้ก็ลอยไปรอบด้านอย่างเงียบๆ ป้องกันมังกรหมอกโดยรอบ
จินเฟยเหยายืนอยู่นอกเกาะลอยได้ พลังวิญญาณสีดำทั่วร่างม้วนตลบลอยออกมาจากร่างนาง และกลายเป็นไอหมอกสีดำลอยไปหามังกรหมอกตัวหนึ่งในจำนวนนั้น
หลอมนรกกลืนวิญญาณ เป็นเวทมนตร์ในเคล็ดวิชาฟ้าดินดับสูญที่ใช้ได้หลังขั้นหลอมรวม นี่เป็นครั้งแรกที่นางใช้ เคล็ดวิชาสร้างร่างมารที่จินเฟยเหยาฝึกปรือยังไม่เข้าขั้น ขณะที่ใช้หลอมนรกกลืนวิญญาณ ข้อต่อทั่วร่างจะส่งเสียงดังกึกๆ มีความเจ็บปวดส่งมาอย่างชัดเจน
หมอกดำลอยไปหามังกรหมอกตัวนั้นอย่างเงียบเชียบ มีพลังวิญญาณแฝงอยู่จางๆ ผสมเข้ากับไอหมอกรอบด้าน มังกรหมอกไม่พบเห็นความผิดปกติเพียงมุ่งความสนใจไปที่ร่างของจินเฟยเหยา จนกระทั่งหมอกดำลอยมาถึงตัวมัน มันก็ยังไม่รู้สึกตัว
“เก็บ!” ในดวงตาของจินเฟยเหยามีประกายแสงวาบผ่าน ประกบสองมือเข้าด้วยกัน
หมอกดำพลันม้วนตลบและห่อหุ้มมังกรหมอกไว้อย่างรวดเร็ว เปลี่ยนจากไอหมอกจางๆ เป็นกลุ่มเมฆดำทะมึน
ในเวลานี้ จินเฟยเหยารู้สึกได้ว่าพลังวิญญาณทะลักออกไปอย่างบ้าคลั่ง มังกรหมอกที่อยู่ในเมฆดำดิ้นรนอย่างสุดชีวิต พลังวิญญาณที่ผลาญใช้ไปเพียงพอจะทุบตีมันหลายรอบ
มังกรหมอกดิ้นรนอย่างรุนแรง ทำให้จินเฟยเหยาได้แต่เพ่งความสนใจส่วนใหญ่ไปไว้ที่เวทหลอมนรกกลืนวิญญาณ ทว่ามังกรอีกสามตัวไม่รอคอยนาง สะบัดหางและยื่นกรงเล็บคมกริบเข้าใส่ กรงเล็บแหลมคมคว้าจับคราหนึ่ง คมวายุยาวหนึ่งจั้งห้าสายก็ลอยมาหานาง
บัดเดี๋ยวทงเทียนหรูอี้เปลี่ยนแปลงเป็นโล่ บัดเดี๋ยวก็เปลี่ยนแปลงเป็นอาวุธคมกริบ นอกจากต้องสกัดการโจมตีของมังกรหมอก ยังต้องโจมตีพวกมันกลับด้วย ยุ่งจนหัวหมุน
เรื่องนี้ผลาญใช้การรับรู้ของจินเฟยเหยาไปมาก ในขณะที่นางกำลังสำนึกเสียใจว่าตนเองน่าจะกำจัดมังกรหมอกหลายตัวก่อนจะเล่นเวทหลอมนรกกลืนวิญญาณ มังกรหมอกในเมฆดำก็ค่อยๆ หยุดดิ้นรน
จินเฟยเหยาตาเป็นประกาย สำเร็จแล้ว!
นางสะบัดมือ หมอกเมฆดำสลายไปอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นมังกรหมอกด้านใน ดวงตามังกรหมอกไร้ประกาย ลอยทื่อๆ อยู่กลางอากาศไม่ขยับเขยื้อนสักนิด ในใจจินเฟยเหยารู้สึกยินดี ในหมายเหตุของนรกกลืนวิญญาณ เขียนว่าเวทชนิดนี้สามารถชิงวิญญาณและจิตวิญญาณดั้งเดิมของผู้อื่นได้ นางอยากได้วิญญาณของมังกรหมอกมาใช้แทนวิญญาณขยะในวงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจ
เห็นมังกรหมอกตัวนี้แข็งทื่อราวกับท่อนไม้ จินเฟยเหยาพลันนิ่งอึ้งไป วิญญาณที่ชิงมาอยู่ที่ใด เพราะเหตุใดในหมอกดำที่ล่าถอยไปจึงไม่มีอะไรเลย วิญญาณของมังกรหมอกไม่อยู่ในนั้น
เวลานี้มีมังกรหมอกพุ่งมาอีก พอจินเฟยเหยาขยับความคิด มังกรหมอกที่สูญเสียวิญญาณตัวนั้นพลันมีชีวิตขึ้นมา อ้าปากแยกเขี้ยวร่ายรำกรงเล็บเข้าใส่มังกรหมอกที่พุ่งเข้ามา
“เอ๋” จินเฟยเหยารู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ลองใช้การรับรู้ควบคุมมังกรหมอกตัวนี้
คิดไม่ถึงว่ามังกรหมอกตัวนี้เคลื่อนไหวพุ่งเข้าใส่มังกรหมอกตัวอื่นอย่างราบรื่นราวกับมีชีวิตขึ้นมา นอกจากดวงตาของมันไร้ประกายและหัวใจภายในร่างกายหยุดเต้นไปแล้ว ความเคลื่อนไหวและความสามารถไม่แตกต่างอะไรกับยามมีชีวิต
ถึงตอนนี้จินเฟยเหยาจึงเข้าใจ ที่แท้เวทหลอมนรกกลืนวิญญาณใช้งานแบบนี้ กลืนกินวิญญาณหรือจิตวิญญาณดั้งเดิมของอีกฝ่ายจนหมด จากนั้นควบคุมร่างของอีกฝ่าย ใกล้เคียงกับเวทหุ่นเชิด เพียงแต่ไม่ต้องสร้างหุ่นเชิดเอง
กระบวนท่านี้อำมหิตจริงๆ จินเฟยเหยาอดทอดถอนใจไม่ได้ ถ้าควบคุมคนใกล้ชิดของศัตรูก็สามารถลอบลงมือก่อนที่อีกฝ่ายจะรู้สึกตัวได้ อีกทั้งยังสามารถทำให้คนไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ เพียงสะบัดมือก็สามารถยืนชมเรื่องสนุกอยู่ด้านข้างได้
เพียงแต่ต้องใช้หมอกสีดำเข้าใกล้คนโดยไม่กระโตกกระตาก เทียบกับสัตว์ปิศาจแล้วยากเย็นกว่ามาก ท่าทางกระบวนท่านี้ได้แต่ใช้สำหรับลอบสังหารคน ถ้าใช้ในการต่อสู้จริงคือหาที่ตายโดยแท้ ยังจับตัวอีกฝ่ายไม่ได้ก็ถูกคนฟันตาย
แต่สามารถควบคุมมังกรหมอกไปต่อกรกับมังกรหมอกยังเป็นประสบการณ์ที่ค่อนข้างสดใหม่ จินเฟยเหยาควบคุมมังกรหมอกตัวนี้ไปโจมตีมังกรหมอกตัวอื่นๆ อย่างคึกคัก
ถึงแม้ปกติมังกรหมอกเหล่านี้ชอบลอบโจมตีสัตว์ปิศาจอื่นๆ และชอบฉวยโอกาสขณะที่สัตว์ปิศาจอื่นๆ ได้รับบาดเจ็บไปล้อมปราบ ทว่ากลับไม่กินกันเองในเผ่าพันธุ์เดียวกัน จินเฟยเหยาควบคุมมังกรหมอกตัวนี้ไปโจมตีมังกรหมอกสามตัว ชั่วขณะทำให้มังกรหมอกสามตัวนั้นจิตหลุดอยู่พักหนึ่ง หลังได้สติคืนมา มังกรสามตัวก็ผละจากจินเฟยเหยา พุ่งเข้าใส่เจ้ามังกรที่ไม่รักษากฎเกณฑ์ตัวนี้
หลังการต่อสู้อันชุลมุนของมังกรสี่ตัวผ่านพ้นไปราวกับลมพัดเศษเมฆ มังกรหมอกตัวที่จินเฟยเหยาควบคุมก็เหลือแต่กระดูก มังกรหมอกตัวหนึ่งในนั้นเรอใส่นางราวกับเย้ยหยัน
“อ่อนแอเกินไปแล้ว!” จินเฟยเหยาผิดหวังอย่างหนัก เวทมนตร์ห่วยแตก คิดไม่ถึงว่าขั้นหลอมรวมจะได้เวทมนตร์แบบนี้มา ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าต้องเตรียมตัวนาน ถ้าคู่ต่อสู้ไม่ได้เป็นบุคคลอันร้ายกาจ ถึงเอามาทำหุ่นเชิดก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าเป็นบุคคลอันร้ายกาจ แล้วพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นหลอมรวมของตนเองจะจับตัวได้อย่างไร
ทำอยู่นาน กระบวนท่านี้คือหาคนมาแบกหม้อดำ[1]ตอนปล้นชิง!
ทิ้งกระดูกมังกรหมอก จินเฟยเหยาพกพาทงเทียนหรูอี้พุ่งเข้าใส่ ทงเทียนหรูอี้ชิ้นหนึ่งกลายเป็นตาข่ายเปล่งแสงสีขาวเจิดจ้าลอยขึ้นกลางท้องนภา ครอบตาข่ายใส่มังกรหมอกสามตัวราวกับจับปลา จากนั้นทงเทียนหรูอี้อีกชิ้นหนึ่งกลายเป็นค้อนขนาดใหญ่ทุบมังกรหมอกสามตัวในแห
การต่อสู้จริงหลายครั้งทำให้จินเฟยเหยารู้ว่า เทียบกับของวิเศษพวกกระบี่แล้ว ค้อนและกระบองใหญ่ๆ ใช้ได้ผลที่สุด พื้นที่โจมตีใหญ่ แรงโจมตีแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะตัวใหญ่และหนาเพียงใด ใช้ค้อนทุบลงไปสถานเบาก็ต้องทุบกระดูกแตกได้หลายท่อน
มังกรหมอกสามตัวถูกทงเทียนหรูอี้ทุบจนเหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุกท้าย หายใจพะงาบๆ เกาะลอยได้เล็กเกินไป ลากมังกรหมอกพวกนี้กลับไปก็ไม่มีที่วาง จินเฟยเหยาได้แต่ลอยอยู่กลางอากาศ ใช้เวทดึงวิญญาณกับมังกรหมอกที่ใกล้ตายสามตัว
คิดถึงตอนใช้เวทดึงวิญญาณขณะอยู่ขั้นสร้างฐาน ดึงออกมาตัวหนึ่งก็เหน็ดเหนื่อยแทบตาย ตอนนี้ขั้นหลอมรวมแล้ว ดึงวิญญาณมังกรที่หายใจพะงาบๆ ได้สบายๆ จินเฟยเหยาดึงวิญญาณมังกรสามตัวออกมาอย่างว่องไวแล้วนำตานสัตว์ปิศาจของพวกมันไป
เกือบยี่สิบกว่าวัน นางจึงได้ตานสัตว์ปิศาจมาสามเม็ด ทว่ายังแล่นกลับเกาะลอยได้ด้วยรอยยิ้มแฉ่ง วางตานสัตว์ปิศาจสามเม็ดลงในรัศมีสิบจั้งราวกับของล้ำค่า จากนั้นตะโกนบอกมารดำที่เฝ้าเตาหลอมยา “ผู้อาวุโส ท่านดูสิ ข้านำตานสัตว์ปิศาจมาได้สามเม็ดแล้ว”
ไอสีดำทะลักออกมาจากร่างมารดำไปม้วนตานสัตว์ปิศาจ ตานสัตว์ปิศาจสามเม็ดก็หายไปจากพื้น จากนั้นเขาก็เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ทำต่อ”
“อย่าเย็นชาอย่างนี้สิผู้อาวุโส ข้ามีเรื่องคิดจะขอคำชี้แนะจากท่าน” นางไม่สนใจว่าจอมมารหลงจะรับฟังหรือไม่ รีบเอ่ยอย่างรวดเร็ว “ผู้อาวุโส ข้าเพียงคิดจะถามว่า เวทหลอมนรกกลืนวิญญาณสามารถกลืนกินผู้ฝึกบำเพ็ญที่มีพลังบำเพ็ญเพียรสูงกว่าข้าได้หรือไม่?”
“ทำไม เจ้าคิดจะกลืนกินข้า?” มารดำเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอำมหิต
จินเฟยเหยาโบกไม้โบกมือ เอ่ยวกวน “ผู้อาวุโส ท่านอ่อนไหวเกินไป ข้าเพียงสอบถามดู ต่อให้ข้ายืมความกล้า ข้าก็ไม่กล้าจัดการท่าน ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าเจี๋ยตันแล้ว กลับได้เวทมนตร์กระจอกแบบนี้ ดูเหมือนจะไม่ค่อยคุ้มค่า”
“เจ้าต้องเข้าใจจิตใจคน ความสามารถไม่ใช่ปัญหา ขอเพียงมีจุดอ่อนก็มีโอกาส ถ้าสิ่งที่เจ้าควบคุมคือญาติสนิทของอีกฝ่าย เช่น บุตรชาย อาจารย์ หรือบิดามารดา จะมีประสิทธิผลดีเป็นพิเศษ ต่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าญาติสนิทถูกควบคุมก็หักใจลงมือไม่ได้” มารดำเอ่ยอย่างเย็นชา
จินเฟยเหยากลับขมวดคิ้วเอ่ยว่า “มีอะไรหักใจลงมือไม่ได้ ข้ารู้สึกว่าไม่มีปัญหาเลยสักนิด”
“…” มารดำเงียบงันเนิ่นนาน ในขณะที่จินเฟยเหยานึกว่าเขาจะไม่เอ่ยอะไรอีก เขาพลันเอ่ยว่า “เจ้านึกว่าทุกคนล้วนเป็นเช่นเจ้าหรือ ถ้าไม่มีความรู้สึกเลยสักนิดแน่นอนว่าไม่มีปัญหา”
“ท่านอย่าล้อข้าเล่นเลย ไม่อยากจะเชื่อว่าคำพูดนี้จะออกจากปากท่าน อีกทั้งข้ายังไม่ใช่คนต่ำช้า คนเปิดเผยตรงไปตรงมาเช่นช้า ไม่ควบคุมร่างญาติสนิทของคนอื่นไปโจมตีพวกเขาหรอก แบบนี้ยุ่งยากเกินไป มิสู้ต่อยพวกเขาตรงๆ จะสะดวกกว่า ผู้ใดจะมีเวลาว่างไปตามหาญาติสนิทของพวกเขา” จินเฟยเหยาส่งเสียงอุ๊บส์แล้วหัวเราะออกมา ใช้มือปิดปากหัวเราะ
“ไปไกลๆ เลย! มีเวลาว่างมาคุยโม้อยู่ที่นี่ ยังไม่ไปทำงานอีก!” ได้ยินคำพูดของนาง มารดำก็ด่าทออย่างดุร้ายอีกครั้ง
จินเฟยเหยาทำปากยื่น เอ่ยพึมพำอย่างไม่พอใจ “ดุร้ายใส่ข้าอีกแล้ว พลังการบำเพ็ญเพียรสูงส่งแล้วยอดเยี่ยมนักหรือ”
“ทำไม เจ้ามีปัญหาหรือ?” มารดำหูดี พูดตอบนางด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ไม่มี ไม่มีปัญหา ข้าก็รู้สึกว่าพลังการบำเพ็ญเพียรสูงยอดเยี่ยมยิ่ง” จินเฟยเหยากระโดดถอยหลังไปหลายก้าว ว่าแล้วก็วิ่งไปดูพั่งจื่อและต้านิว
พั่งจื่อและต้านิวที่ร่วงลงมาจากกลางอากาศ ร่างหดกลับเป็นความสูงเท่าคนธรรมดา จินเฟยเหยาลากพวกมันสองตัวมาวางด้วยกันและใช้การรับรู้ตรวจดูอย่างละเอียด
โชคดีที่ลมหายใจสงบนิ่งมั่นคง เพียงแต่ร่างกายว่างเปล่าอย่างยิ่ง ท่าทางครั้งนี้จะผลาญใช้พลังมากเกินไป ขณะที่ตรวจสอบร่างกายของพั่งจื่อ จินเฟยเหยาพบว่าในร่างของมันมีมุกขนาดนัยน์ตามังกรเม็ดหนึ่ง หลังตรวจดูอย่างละเอียด พบว่าเป็นตานสัตว์ปิศาจ ทั้งยังมีพลังวิญญาณไม่น้อยและผสานเข้ากับร่างของพั่งจื่อแล้ว รบราเป็นเวลานานก็ไม่สามารถนำออกมาได้
ตอนนี้ขอเพียงมีสิ่งที่เปี่ยมพลังวิญญาณผลักดันอีกแรงพั่งจื่อก็อาจจะบรรลุขั้นห้า เพียงแต่ขณะนี้จินเฟยเหยาไม่มีสิ่งที่เปี่ยมพลังวิญญาณ พลังวิญญาณภายในศิลาวิญญาณชั้นกลางก็ไม่เพียงพอ อย่างน้อยต้องใช้ศิลาวิญญาณชั้นบนทดลองดู ถ้าระดับพลังที่ตานสัตว์ปิศาจดูดซับไม่เพียงพอก็ได้แต่เพิ่มพลังวิญญาณทว่าไม่อาจทะลวงด่านได้ทันที
ไม่สนใจ ต่อไปมีแล้วค่อยว่ากัน
โยนพั่งจื่อไปไว้ด้านหนึ่ง เรื่องสำคัญของจินเฟยเหยาคือดูแลต้านิว มันเพิ่งขั้นหนึ่ง ทรมานอยู่ข้างนอกเป็นเวลานานจะอายุสั้นหรือไม่ พอตรวจดูกลับทำให้จินเฟยเหยาตกตะลึง ต้านิวกินอาหารดีๆ มากมายก็ไม่เคยเลื่อนขั้น เนื่องจากชีพจรวิญญาณทั่วร่างของมันตีบตันไปหมด สามารถเลื่อนเป็นชั้นหนึ่งได้ถือว่าโชคดีแล้ว
ตอนนี้ชีพจรวิญญาณของมันถูกพลังวิญญาณของผลอายุยืนสีแดงก่อกวน ดังนั้นชีพจรวิญญาณทั้งหมดจึงถูกบังคับให้เปิดออก ทะลุทะลวงจนไม่อาจจะทะลุทะลวงไปกว่านี้ได้
จินเฟยเหยาครุ่นคิดนิดหนึ่ง ก็ยื่นมือไปตรวจสอบชีพจรวิญญาณของพั่งจื่อ ถึงแม้จะทะลุทะลวงแปดเก้าส่วน ทว่ายังด้อยกว่าต้านิวที่ทะลุทะลวงได้ทั้งหมด
สัตว์ภูติที่ชีพจรวิญญาณทั้งหมดทะลุปรุโปร่ง นั่นคือคุณสมบัติชั้นยอด ต้านิวนับเป็นโชคดีมหาศาลที่ร่วงมาจากฟ้าจริงๆ เพียงแต่การทรมานครั้งนี้บวกกับร่างกายถูกบังคับทะลวงชีพจรวิญญาณ เกรงว่าพักฟื้นหลายปีก็ยังไม่หายดี
เดี๋ยวก่อน จินเฟยเหยาพลันนึกถึงเรื่องน่าหวาดกลัวขึ้นได้ ถ้าต้านิวขยับไม่ได้ หลายปีนี้ใครจะซักเสื้อผ้า ทำอาหาร และทุบหลังให้ข้า พอคิดถึงเรื่องนี้ นางก็รู้สึกสำนึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง ถ้ารู้แต่แรกจะค้นคว้าเวทหุ่นเชิดผุๆ ให้สำเร็จเร็วกว่านี้ ท่อนไม้เน่าๆ ยังแข็งแกร่งกว่าพั่งจื่อเลย
………………………………………
[1] หาคนมาแบกหม้อดำ หมายถึง หาคนมาเป็นแพะรับบาปแทน