คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย – ตอนที่ 203 เด็กหนุ่มขั้นกำเนิดใหม่

จินเฟยเหยาไล่ตามไปและอยู่ห่างจากพวกเขาประมาณห้าสิบจั้ง ติดตามอยู่ด้านหลังอย่างไม่รีบไม่ร้อน

ผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนสิบคนซึ่งมีพลังบำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐานทั้งหมดถูกจินเฟยเหยาที่เป็นขั้นหลอมรวมติดตามด้านหลังต่างรู้สึกไม่วางใจอย่างยิ่ง ตอนแรกนึกว่าจินเฟยเหยาแค่มาทางเดียวกัน ทว่าพวกเขาช้านางก็ช้า พวกเขาเร็วนางก็เร็ว ทำให้คนเหล่านี้ตึงเครียด

สุดท้ายทุกคนหารือกัน เลือกผู้บำเพ็ญเซียนที่ท่าทางซื่อสัตย์เห็นแล้วอยากรังแกมาคนหนึ่งให้เขาไปสอบถามดูว่าผู้อาวุโสท่านนี้ตามหลังพวกเขามาคิดจะทำอะไร

ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานช่วงต้นที่หน้าตาซื่อๆ รู้สึกไม่ยินยอม เขาค่อยๆ ลดความเร็วในการเหาะลงช้าๆ และเข้าใกล้จินเฟยเหยา

ในที่สุดก็มีคนมาสอบถาม จินเฟยเหยาที่ตามอยู่ด้านหลังรอคอยพวกเขามาตลอด เพื่อไม่ให้ผู้อื่นหวาดกลัวจนหนีไป นางจึงยิ้มให้ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้

รอยยิ้มนี้ทำให้อาการแข็งทื่อของอีกฝ่ายผ่อนคลายลง ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้ยิ้มพลางเอ่ยถาม “ข้าน้อยหลี่เจิ้ง ศิษย์ของวังไท่อู คารวะผู้อาวุโส”

“พวกเจ้ามีคนมากมายปานนี้จะไปที่ใด?” อีกฝ่ายเพิ่งมีพลังบำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐาน จินเฟยเหยาจึงเอ่ยถามตรงๆ อย่างไม่เกรงใจ ถ้าใจดีเกินไปจะถูกพวกเขาคิดว่ามีแผนการ ถ้าผู้อาวุโสที่พลังการบำเพ็ญเพียรสูงส่งยิ้มแย้มต้องไม่ใช่เรื่องดีงามอะไรแน่

“เรียนผู้อาวุโส พวกเราจะไปคฤหาสน์กุ่ยเม่ย ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสก็ได้รับข่าวสารเช่นกันใช่หรือไม่จึงเร่งรุดไปที่นั่น?” หลี่เจิ้งเอ่ยคาดเดา

คฤหาสน์กุ่ยเม่ย? จินเฟยเหยารู้สึกสงสัยอยู่บ้าง คฤหาสน์กุ่ยเม่ยไม่ต้อนรับคนนอกมาตลอด ตอนนี้เหตุใดจึงมีผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมากรุดไป หรือว่าเห็นพวกเขาขัดตาจะไปสังหารล้างตระกูล?

จินเฟยเหยาพยักหน้านิดๆ เอ่ยคล้อยตามเขา “ใช่ ข้าจะไปคฤหาสน์กุ่ยเม่ยพอดี เพียงแต่พวกเจ้าไปแล้วมีประโยชน์อันใด”

ได้ยินคำพูดของนาง หลี่เจิ้งจึงโล่งอก “พวกเราเป็นคนที่สำนักเลือกส่งไปคฤหาสน์กุ่ยเม่ย ขณะล้อมปราบคฤหาสน์สามารถเป็นผู้ช่วยผู้อาวุโสได้”

ล้อมปราบจริงๆ ด้วย! จินเฟยเหยาขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ข้าเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนอิสระ ครั้งนี้ได้รับคำเชิญของสหาย บอกแค่มีเรื่องด่วนให้รีบไปช่วยเหลือ ที่แท้จะไปล้อมปราบคฤหาสน์กุ่ยเม่ย”

“เรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหัน คาดว่าสหายของผู้อาวุโสคงรีบร้อนเกินไป จึงไม่ได้บอกเรื่องราวอย่างกระจ่าง ในคฤหาสน์กุ่ยเม่ยมีศิษย์ทรยศ หวาหนานจื้อ ประมุขคฤหาสน์ของคฤหาสน์กุ่ยเม่ยจึงขอความช่วยเหลือจากทุกสำนัก หวังว่าจะช่วยทางคฤหาสน์ชำระสำนัก พวกเราล้วนเป็นสำนักในพื้นที่เดียวกันส่งมาจึงเดินทางไปช่วยเหลือคฤหาสน์กุ่ยเม่ยด้วยกัน” หลี่เจิ้งคิดจะประจบเอาใจจึงเล่าเรื่องทั้งหมดอย่างไม่ปิดบัง

ที่แท้เป็นเช่นนี้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าศิษย์ทรยศคือผู้ใด จินเฟยเหยาครุ่นคิดแล้วเอ่ยกับหลี่เจิ้ง “ในเมื่อเป้าหมายของทุกคนเป็นสถานที่เดียวกัน ถ้าไม่รู้สึกว่ายุ่งยาก ข้าจะตามด้านหลังพวกเจ้าไปด้วยเป็นอย่างไร”

“ไม่ยุ่งยาก ไม่ยุ่งยาก จะกล้าให้ผู้อาวุโสติดตามอยู่ด้านหลังได้อย่างไร เชิญผู้อาวุโสมาด้านหน้าเถอะ” หลี่เจิ้งรีบเอ่ย

“ไม่ต้องหรอก ข้าติดตามอยู่ด้านหลังก็พอ ถ้าข้าไปด้านหน้าพวกเจ้าจะตามทันได้อย่างไร พวกเจ้าไปของพวกเจ้า ไม่ต้องสนใจข้า” จินเฟยเหยาปฏิเสธอย่างชืดชา ตนเองไม่ใช่อาจารย์ของพวกเขาจะไปแสดงตัวข้างหน้าทำไม

หลี่เจิ้งไม่ยินยอมแต่ก็จนหนทางได้แต่ถอยกลับไปด้านหน้าบอกเล่าเรื่องที่สอบถามมาได้กับทุกคน พอทุกคนได้ฟังว่าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมที่ไปคฤหาสน์กุ่ยเม่ยเช่นกันก็วางใจ มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมร่วมทางด้วยก็ดี เข้าเขตของคฤหาสน์กุ่ยเม่ยมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมค่อยปลอดภัยหน่อย

จินเฟยเหยาเหาะตามพวกเขามาสิบกว่าวันมาถึงสถานที่อันคุ้นเคย คฤหาสน์กุ่ยเม่ยถูกการป้องกันซ่อนไว้ในเทือกเขา

แตกต่างจากครั้งที่แล้วที่นางมาคนเดียว ครั้งนี้ไม่ต้องไปค้นหาทางเข้า เนื่องจากกำลังมีผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนไม่น้อยเร่งรุดมาที่นี่ทีละคน กวาดตาดูตามสบายก็เห็นผู้บำเพ็ญเซียนหายไปในการป้องกัน

“เป็นศิษย์ทรยศเช่นไร แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ก็มา เหตุการณ์ใหญ่โต” จินเฟยเหยาเพิ่งเห็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่คนหนึ่งกลายร่างเป็นแสงสีเขียวผ่านเหนือศีรษะของนางไป ขนาดคนยังเห็นไม่ชัดว่าหน้าตาเป็นอย่างไรก็เข้าไปในการป้องกันของคฤหาสน์กุ่ยเม่ยแล้ว

จินเฟยเหยาติดตามผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานหลายสิบคนบินเข้าไปในการป้องกันของคฤหาสน์กุ่ยเม่ยด้วย

เบื้องหน้าพร่าพรายดังเดิม จากนั้นคฤหาสน์กุ่ยเม่ยที่คุ้นตาก็ปรากฏขึ้น ทว่าสภาพด้านข้างกลับทำให้จินเฟยเหยาตกตะลึงอย่างยิ่ง กลางอากาศมีผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนห้าหกร้อยคนบินอย่างหนาแน่น ด้านบนสุดคือผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ ตรงกลางคือผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวม ที่บินอยู่ต่ำสุดหรืออยู่บนพื้นโดยตรงคือผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน

คนธรรมดาในเมืองด้านล่างของคฤหาสน์กุ่ยเม่ยล้วนถูกขับออกไปนอกเมืองไกลๆ พวกเขารวมตัวอยู่ด้วยกันอย่างตื่นตระหนกไม่เข้าใจว่าผู้บำเพ็ญเซียนมากมายคิดจะทำอะไร ผู้ใหญ่ยังทนเหตุการณ์เช่นนี้ได้ เด็กกลับหวาดกลัวจนร้องไห้งอแง เด็กที่โตหน่อยถูกผู้อาวุโสของครอบครัวตนเองข่มขู่ให้รีบหุบปาก ทว่าเด็กน้อยที่ยังเล็กไม่รู้ความไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ยังแหกปากร้องไห้งอแงไม่หยุด ทำให้ท่านแม่ของพวกเขาร้อนใจจนต้องรีบปลอบประโลมอย่างลนลาน

เทียบกับความวุ่นวายของคนธรรมดา ภายในคฤหาสน์กุ่ยเม่ยเงียบกริบไม่มีความเคลื่อนไหวเลยสักนิด

“เรื่องใหญ่โตเพียงใดจึงต้องตื่นตระหนกจนสับสนวุ่นวาย” จินเฟยเหยากินถังหูลูที่ซื้อในเมืองไท่ผิงและเอ่ยด้วยอารมณ์ดูเรื่องสนุก

ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานเหล่านั้นหลังเข้าการป้องกันของคฤหาสน์กุ่ยเม่ยต่างไปหาอาจารย์ลุงอาจารย์อาของตนเอง มีเพียงจินเฟยเหยาคนเดียวที่หามุมว่างๆ นั่งอยู่บนพรมบินอย่างสงบ

บอกว่าล้อมปราบ ทว่าจินเฟยเหยากินถังหูลู[1]หมดไปสามสิบกว่าไม้ก็ไม่เห็นมีคนลงมือหรือมีคนยั่วยุ ทุกคนล้วนรอคอยอย่างโง่งม

“หา? ถังหูลูหมดแล้ว” จินเฟยเหยาค้นถุงเฉียนคุน พบว่าถังหูลูแปดร้อยกว่าไม้ที่ซื้อจากเมืองไท่ผิงหมดแล้ว จำได้ว่ายังมีอีกหน่อยชัดๆ เจ้ากบสองตัวที่เหมือนหยกสลักด้านหลังต้องกินแน่ๆ เลี้ยงพวกมันไม่ไหวจริงๆ ขายทิ้งดีกว่า

จินเฟยเหยาส่งเสียงบ่นพลางอุ้มโหลขนาดสองฉื่อกว่าออกมา และดึงทงเทียนหรูอี้ที่ใช้เป็นปิ่นปักผมบนศีรษะลงมา หลังจากให้พวกมันกลายเป็นตะเกียบ นางก็ใช้มือถือข้างละอันกวนในโหลใบนี้ ครู่หนึ่งก็เห็นนางใช้ทงเทียนหรูอี้กวนม่ายหยาทัง[2]ที่เป็นผลึกใสขนาดเท่ากำปั้นออกมา นางนั่งอยู่บนพรมบิน กวนม่ายหยาทังเล่นภายใต้แสงอาทิตย์อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกินไปสองคำ เล่นอย่างสนุกสนานยิ่ง

ถึงแม้นางบินอยู่ในสถานที่ที่มีคนน้อย แต่ที่นี่ใครบ้างที่ไม่ใช่บุคคลที่สายตาว่องไว การมองเห็นเหนือธรรมดา การกระทำเหมือนเด็กๆ ของจินเฟยเหยาดึงดูดสายตาของคนรอบด้าน

เห็นนางกวนไปกินไป ครู่หนึ่งกินม่ายหยาทังหมดโหล แล้วนำกล่องอาหารสิบชั้นออกมาอีก กล่องอาหารทั้งหมดถูกวางแผ่บนพรมบิน เห็นในนั้นเต็มไปด้วยผลไม้เชื่อม ผลไม้แห้ง น้ำตาลขี้แมว[3] หลากหลายรูปแบบ ปิ่งหอมๆ และขนมนานา ก็เห็นกบหยกสองตัวที่นางพามานั่งกินกรอบแกรบ

ผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้มองดูนางกินอยู่แบบนี้ พอเห็นเปลือกผลไม้ร่วงลงมาจากพรมบินของนางราวเกล็ดหิมะ พวกเขาก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก

จินเฟยเหยาและกบสองตัวเลียนิ้ว กินอาหารในกล่องอาหารสิบชั้นจนหมด ในขณะที่ทุกคนรู้สึกว่านางกินพอแล้ว นางก็ค้นในถุงเฉียนคุนบนเอวหอบอาหารแห้งที่ทำเองกองหนึ่งออกมา เซาปิ่งเนื้อสัตว์ปิศาจกว้างสามฉื่อ เห็นจินเฟยเหยาอุ้มเซาปิ่งหนาสี่นิ้วขนาดใหญ่ราวกับโล่แล้วกัดกินกร้วมๆ

“นี่มันเรื่องอะไรกัน! เหตุใดปิศาจเฒ่าหวาหนานจื้อยังไม่มา จะให้พวกเรารอจนถึงเมื่อใด!” อากาศที่ร้อนระอุและเจ้าตัวกินเก่งทางด้านข้างทำให้จิตใจหงุดหงิด ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมที่กักขฬะคนหนึ่งคำรามขึ้นอย่างไม่พอใจ

นอกจากจินเฟยเหยาทุกคนล้วนมีอารมณ์แบบเดียวกัน เพียงแต่เพื่อความสามารถในการควบคุมตนเองและอุปนิสัยของเซียน พวกเขาจึงไม่เอ่ยปากและสงบจิตใจรอคอยด้วยท่าทางลึกล้ำสุดจะหยั่ง

เห็นไม่มีคนเอ่ยรับ ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมคนนี้จึงเอ่ยอย่างเดือดดาลอีกหลายประโยค จากนั้นบินร่อนลงพื้นค้นหาสถานที่ร่มเย็นนั่ง

“เจ้าหมอนี่โชคร้ายจริงๆ ไม่มีใครสนใจเขาเลย เขาต้องตะกละอยากกินแล้วในตัวไม่ได้พกของกินไว้ ดังนั้นจึงหงุดหงิดมีโทสะ” จินเฟยเหยากัดเซาปิ่งคำโตแล้วเอ่ยกับพั่งจื่อและต้านิว

“อ๊บๆ” พวกมันสองตัวกำลังโอบเซาปิ่งแทะกินตัวละชิ้น ได้ยินคำพูดของนางก็พร้อมใจกันตอบรับว่าเห็นด้วย

ที่จริงจินเฟยเหยาก็คิดจะหาคนผู้หนึ่งมาสอบถามเรื่องราว ทว่าผู้บำเพ็ญเซียนที่มีพลังบำเพ็ญเพียรสูงส่งแต่ละคนล้วนมีสีหน้าเคร่งเครียดและท่าทางหนักใจจึงหาโอกาสเอ่ยปากไม่ได้

ในระหว่างที่นางกำลังกินอาหาร ยังมีผู้บำเพ็ญเซียนบินเข้ามาในการป้องกันของคฤหาสน์กุ่ยเม่ยอย่างต่อเนื่อง ในจำนวนนั้นย่อมมีคนคุ้นเคย ทุกคนทักทายและพูดคุย มีเพียงจินเฟยเหยาคนเดียวที่นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างโดดเดี่ยว กินพลางกางหูแอบฟังคำสนทนาของพวกเขา

ในที่สุดนางก็กินเซาปิ่งหมด จินเฟยเหยานำผลไม้สีแดงขนาดใหญ่เท่าอ่างทองแดงสามผลออกมาอีก นี่คืออาหารที่นำออกมาจากในเจตจำนงหกเหลี่ยม ขณะอยู่ในบริเวณฮุ่นตุ้นไม่ได้กินหมดจึงใส่ไว้ในถุงเฉียนคุน

สิ่งของเหล่านี้ไม่มีข้างนอก ขณะที่นางนำออกมาก็มีคนสังเกตเห็นทันที รอบด้านเงียบงันไปครู่หนึ่งก็ได้ยินผู้บำเพ็ญเซียนสตรีส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา “ฮึ กักขฬะ”

ถือผลไม้ขนาดใหญ่เท่าอ่างทองแดงในมือ จินเฟยเหยา พั่งจื่อ และต้านิวกัดลงไปในเวลาเดียวกัน เสียงกรุบกรอบดังไปทั่วบริเวณ นางยังเอ่ยชมเชยราวกับคิดจะทำให้คนมีโทสะ “อร่อยยิ่ง!”

“ข้าจะใช้สิ่งนี้แลกเปลี่ยนกับเจ้า” ทันใดนั้น คนผู้หนึ่งก็กระโดดขึ้นมาบนพรมบิน ลงนั่งยองๆ ยื่นมือให้จินเฟยเหยา

จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมอง เด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีคนหนึ่งกำลังมองนางด้วยรอยยิ้มแฉ่ง ในมือถือศิลาวิญญาณชั้นบนหนึ่งชิ้น

“ไม่มีปัญหา ผู้อาวุโส” จินเฟยเหยายื่นมือไปหยิบศิลาวิญญาณชั้นบนอย่างว่องไว ใช้ทะลวงพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นห้าให้พั่งจื่อได้พอดี จากนั้นนำผลไม้สีแดงแบบเดียวกันผลหนึ่งออกมาจากถุงเฉียนคุนยื่นให้เด็กหนุ่มขั้นกำเนิดใหม่ช่วงกลางคนนี้

เด็กหนุ่มได้ผลไม้แล้วไม่ได้จากไปทันทียังนั่งบนพรมบินของจินเฟยเหยาต่อ กินผลไม้สีแดงดังกร้วมๆ กับพวกนาง สองคนสองกบกินอย่างเงียบๆ หลังกินเสร็จ จินเฟยเหยาลังเลนิดหนึ่งแล้วหยิบผลไม้สีแดงออกมาสามผลอีก พั่งจื่อและต้านิวตัวละหนึ่งผล ตนเองอุ้มผลหนึ่ง จากนั้นมองไปยังเด็กหนุ่มขั้นกำเนิดใหม่ผู้นี้

เขาก็จ้องมองจินเฟยเหยา ทั้งสองคนสบตากันอยู่เนิ่นนาน เด็กหนุ่มขั้นกำเนิดใหม่จึงเบ้ปากหยิบศิลาวิญญาณชั้นบนอีกก้อนหนึ่งยื่นให้ จินเฟยเหยายิ้มอย่างเจิดจรัสส่งผลไม้สีแดงในมือให้เขา จากนั้นนำผลไม้สีแดงอีกผลหนึ่งออกมาอย่างยินดี กัดคำหนึ่งแล้วเอ่ย “ผู้อาวุโส ข้ายังมีอีกไม่น้อย อยากลองชิมองุ่นขนาดใหญ่เท่าศีรษะหรือไม่?”

……………………………………….

[1] ถังหูลู คือ ผลไม้เคลือบน้ำตาลเสียบไม้

[2] ม่ายหยาทัง คือ น้ำตาลกวน เป็นสิ่งของที่เหนียวและใส

[3] น้ำตาลขี้แมว คือ ขนมชนิดหนึ่งที่ทำจากไข่ แป้ง เบคกิ้งโซดา น้ำตาล เกลือ น้ำ ใส่เครื่องผสมแล้วนวดให้เข้ากันจากนั้นม้วนเป็นเส้นยาวๆ แล้วตัดเป็นเส้นเล็กๆ แล้วใส่กระทะทอดจนมีสีเหลืองทอง

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตายเวลาเช้าตรู่ บนเส้นทางอันยาวไกลของยอดเขาลั่วซี มีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่สูงเจ็ดฉื่อ[1]เดินไปยังวังอวิ๋นเย่ที่สร้างอยู่กลางยอดเขาด้วยฝีเท้าเบาและรวดเร็ว นางอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เกล้าผมเป็นมวยสาวน้อยคู่หนึ่ง บนมวยแต่ละอันมีแถบผ้าสีเขียวพันประดับ บนร่างสวมชุดศิษย์สายนอกสีเทาทั้งตัว บนเข่ามีรอยปะชุนแห่งหนึ่ง หน้าตางดงามน่ารัก รูปร่างพอเหมาะพอดี ทว่ากลับแบกถังไม้ที่สูงกว่านางสองเท่า ก้าวเดินบนบันไดศิลาดุจเหินบิน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset