คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย – ตอนที่ 205 คนชั่ว

“ผู้อาวุโส พวกเราชมเรื่องสนุกจบแล้วค่อยว่ากัน” จินเฟยเหยามีสีหน้าช่วยไม่ได้ เอ่ยอย่างไม่ยินยอม

เห็นจินเฟยเหยานั่งทำสีหน้าขมขื่นอยู่ตรงนั้น อาหารก็ไม่กิน ข้างตัวยังมีกบเล็กๆ สองตัวนั่งอยู่ เบิกตาโตมองดูเขา “เจ้าไม่ต้องทำหน้าอมทุกข์ขมวดคิ้ว โรงอาหารที่ข้าเอ่ยถึงมีจริงๆ ข้าไม่ได้มีความคิดจะทำร้ายเจ้าเสียหน่อย ไปกินในสำนักใหญ่อย่างสำนักตงอวี้หวงเจ้ายังมีอะไรไม่พอใจ”

ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริงหรือไม่ จินเฟยเหยาถอนหายใจยาว “ในเมื่อท่านเป็นซือจู่ของไป๋เจี่ยนจู๋ โน้มน้าวหมอนั่นหน่อยได้หรือไม่ อย่าเห็นข้าแล้วทั้งอาละวาดทั้งทุบตีทั้งไล่ล่าสังหารตลอดเวลา หงุดหงิดแทบตายแล้ว”

“ข้าได้ยินว่าเจ้าเอาสิ่งของของเขาไป ทั้งยังถอดเสื้อผ้าเขา” ในที่สุดก็เอ่ยถึงปัญหาหลัก จู๋ซวีอู๋ลุกขึ้นนั่งด้วยจิตใจฮึกเหิม เอ่ยหยั่งเชิงดู

“น่ารำคาญแทบตาย เอ่ยถึงเรื่องนี้อีกแล้ว เจ้าผีขี้งก” จินเฟยเหยาด่าทออย่างไม่พอใจ จากนั้นค้นในถุงเฉียนคุนได้สิ่งของออกมาห่อหนึ่งแล้วโยนลงบนพรมบิน

จากนั้นนางก็ค้นในถุงเฉียนคุนพลางเอ่ยกับจู๋ซวีอู๋ว่า “ให้ท่าน นี่คือเสื้อผ้าของเขา ข้ายังซ่อมให้ด้วย ไม่ต้องให้ค่าจ้าง ยังมียารักษาบาดแผลนิดหน่อย รอข้าหาสักครู่ จริงสิ ดูเหมือนจะมีศิลาวิญญาณชั้นกลางหลายก้อน สี่ก้อนหรือห้าก้อน ถือว่าข้าจ่ายดอกเบี้ยให้เขาสิบก้อนเลย อย่าให้เขามาพัวพันข้าอีก”

จู๋ซวีอู๋ยิ้มแย้มและเก็บสิ่งของเหล่านี้ จากนั้นเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ได้ยินว่าตอนเจ้าถอดกางเกงของเขายังหัวเราะด้วย ตอนนั้นเจ้าหัวเราะอะไร?”

“หืม?” จินเฟยเหยาตะลึงงัน “ข้าหัวเราะด้วยหรือ? อาจจะเป็นเพราะข้ายากจนเกินไป พอได้สิ่งของของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานจึงรู้สึกยินดี”

ที่จู๋ซวีอู๋เอ่ยถึงไม่ใช่เรื่องนี้ เห็นจินเฟยเหยาไม่เข้าใจเขาจึงเหลียวซ้ายแลขวา ตัดสินใจว่าเพื่อชื่อเสียงของศิษย์ตนเองใช้การถ่ายทอดเสียงจะดีกว่า “ตอนเจ้าถอดกางเกงในของเขาออกแล้วหัวเราะ เจ้ายังลูบคลำก้นของเขา ตอนนั้นเจ้าหัวเราะอะไร?”

“ผู้อาวุโส เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องถ่ายทอดเสียงนะ” จินเฟยเหยาขมวดคิ้วมองจู๋ซวีอู๋ด้วยสีหน้าประหลาด เรื่องเมื่อร้อยปีก่อน ใครจะไปจำได้

“เจ้าบอกข้ามา ตอนนั้นเพราะเหตุใดจึงหัวเราะ?” ครั้งนี้จู๋ซวีอู๋ไม่ได้ถ่ายทอดเสียง เอ่ยถามด้วยใบหน้าคาดหวัง

จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าราวกับกำลังครุ่นคิด คิดอยู่นาน จากนั้นก้มหน้าลงลูบคางอีก แล้วครุ่นคิดอยู่นาน จากนั้นกระพริบตาปริบๆ เอ่ยด้วยรอยยิ้มแฉ่ง “ดูเหมือนข้าลูบคลำก้นแล้ว จะว่าไป ให้สัมผัสมือที่ไม่เลวอย่างยิ่ง ก้นของศิษย์หลานท่านทั้งนุ่มทั้งลื่น ทั้งยังขาวสุดๆ พอเห็นก็รู้แล้วว่าปกติไม่ค่อยตากแดด”

“ใครจะเอาก้นออกมาตากแดด ที่ข้าถามคือเจ้าหัวเราะอะไร ใครถามความรู้สึกมือที่ได้สัมผัสก้นของเจ้า” จู๋ซวีอู๋รอจนร้อนใจ ใช้มือผลักจินเฟยเหยาทีหนึ่ง

จากนั้นเขาก็ถามอย่างสงสัยอีกว่า “ให้ความรู้สึกดีมากเลยหรือ?”

“แน่นอน จะบรรยายอย่างไรดีล่ะ…จริงสิ ให้ความรู้สึกด้อยกว่าเมฆหน่วนซินเล็กน้อย ถ้าท่านไม่เชื่อก็กลับไปลูบคลำดู” จินเฟยเหยาเอ่ยพลางทำท่ากรีดมือวาดเท้า

“เช่นนี้เอง” จู๋ซวีอู๋พยักหน้า ครุ่นคิดว่ามีเวลาจะไปลูบคลำดู ว่าแต่เมฆหน่วนซินน่าลูบคลำมากเพียงใด ของสิ่งนี้สามารถพบได้โดยบังเอิญเท่านั้น มีโอกาสต้องหามาทดลองดู

“ผู้อาวุโส ท่านตามหาข้าด้วยเรื่องนี้หรือ? ตอนนี้รู้แล้ว ข้าไปได้แล้วกระมัง” เห็นจู๋ซวีอู๋กอดอกพยักหน้า จินเฟยเหยาคิดว่าเจ้าหมอนี่คงมาถามแค่เรื่องนี้เสียแปดส่วนจึงคิดจะพาตนเองไปสำนักตงอวี้หวง เรื่องก่อนหน้านี้เพียงเย้าเล่นล้วนๆ

จู๋ซวีอู๋ฉุดดึงชายเสื้อของจินเฟยเหยา เอ่ยด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เจ้าว่าอะไรนะ ยังบอกเรื่องราวไม่กระจ่าง จะให้เจ้าไปได้อย่างไร”

จินเฟยเหยาไม่เข้าใจ ยังมีเรื่องใดต้องถามอีก?

“หัวเราะล่ะ เจ้ายังไม่ได้บอกเลย” จู๋ซวีอู๋ลากจินเฟยเหยา เอ่ยอย่างไม่ลดละ

“หัวเราะ? ท่านให้ข้าหัวเราะอะไร ตอนนี้ข้าหัวเราะไม่ออก” จินเฟยเหยาดึงแขนเสื้อของตนเอง ไม่เข้าใจอย่างยิ่ง หมายความว่าอย่างไร มีการบังคับให้คนหัวเราะด้วยหรือ

เห็นจินเฟยเหยาหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงสาเหตุของการหัวเราะ จู๋ซวีอู๋ยิ่งรู้สึกว่า เหตุผลต้องน่าสนใจมากแน่ๆ ดังนั้นเขาจึงใช้ไม้ตายออกมา เห็นจู๋ซวีอู๋พุ่งเข้าใส่กะทันหัน และซุกศีรษะลงในอกของจินเฟยเหยาแล้วถูไถกับหน้าอกของนางพลางเอ่ยว่า “ผู้อื่นไม่ยอม ข้าอยากฟัง บอกเหตุผลข้ามา ข้าอยากรู้”

“ท่านยายมันเถอะ ลวนลามสตรีต่อหน้าทุกคน!” จินเฟยเหยาใช้มือกดศีรษะของเขาไว้ แล้วผลักออกจากอกของตนเองอย่างแรง

ทว่าจู๋ซวีอู๋กอดเอวนางไว้อย่างแน่นหนา ดึงดันไม่ยอมคลายมือทั้งยังกัดฟันเอ่ยว่า “ไม่ได้ ถ้าเจ้าไม่พูด ข้าจะไม่ปล่อยมือ”

“ท่านหน้าไม่อาย ห่มหนังเด็กหนุ่มก็ถือว่าตนเองเป็นเด็กหรือ รีบออกไปเลยนะ!” จินเฟยเหยาออกแรงมือ ใช้พลังปราณทั้งหมดออกมา ผลักศีรษะจู๋ซวีอู๋อย่างสุดชีวิต

จู๋ซวีอู๋ตกตะลึง ยายนี่เรี่ยวแรงมหาศาล เพิ่งมีพลังบำเพ็ญเพียรขั้นหลอมรวมก็สามารถผลักศีรษะของข้าออกได้ อีกทั้งรู้สึกเหมือนคอจะหักแล้ว ดังนั้นพลังวิญญาณทั่วร่างของเขาจึงทะลักออกมาต้านทานแรงผลักของจินเฟยเหยาบนศีรษะ แล้วเริ่มเข้าใกล้หน้าอกนางอีกครั้ง ปากยังเอ่ยว่า “มีเรี่ยวแรงไม่เบา แต่คิดจะผลักข้าออก สำหรับเจ้ายังเร็วเกินไป”

“ท่านอยากให้ข้าพูดอะไรกันแน่! ข้าบอกแล้วว่าตอนนี้ข้าหัวเราะไม่ออก ท่านอย่าบังคับคนจนเกินไป” สองมือของจินเฟยเหยาก็มีปราณวิญญาณสีดำทะลัก เรี่ยวแรงในมือเพิ่มขึ้นทันที ทั้งสองคนต่างฝ่ายต่างไม่ยอมลดละอยู่เช่นนี้

คิดไม่ถึงว่าจะเป็นพลังวิญญาณสีดำ! จู๋ซวีอู๋จ้องมองพลังวิญญาณที่ปรากฏบนมือนางแน่วนิ่ง พลันเกิดความคิดตรวจสอบการรับรู้ของนางขึ้นมา ตอนนี้การเข้าใกล้ทรวงอกของจินเฟยเหยากลายเป็นเรื่องทำให้เขาสนใจมากที่สุด

ทั้งสองคนใช้ท่วงท่าลวนลามอันหยาบช้าทะเลาะกันบนพรมบิน พั่งจื่อและต้านิวมองพวกเขาอย่างโง่งม ไม่มีความคิดจะเข้ามาช่วยเหลือเลยสักนิด พั่งจื่อครุ่นคิด ยื่นขาหน้าไปดึงถุงเฉียนคุนลงมาจากบนเอวของจินเฟยเหยา แล้วล้วงมือไปด้านในค้นได้เนื้อแห้งหลายชิ้นแบ่งกันกินกับต้านิว

“พั่งจื่อ เจ้าคอยดูเถอะ!” จินเฟยเหยาเห็นฉากนี้กับตา แต่น่าเสียดายที่นางกำลังประลองพลังกับจู๋ซวีอู๋ หาเวลาว่างมาอัดมันไม่ได้ ได้แต่ด่าทออย่างเคียดแค้น

ในช่วงสุญญากาศที่พูดนี้เอง จู๋ซวีอู๋ฉวยโอกาสรุกเข้ามา ดันศีรษะเข้าไปใกล้หน้าอกอีกหนึ่งส่วน

รอบด้านมีผู้คนนับร้อย พวกเขาสองคนจากกินจนทะเลาะกันขึ้นมา ทุกคนล้วนมองเห็นราวกับมีและไม่มี ยามนี้คิดไม่ถึงว่าจะกอดกันกลางวันแสกๆ ทำลายประเพณีอันดีงามเกินไปจริงๆ ทุกคนมองพวกเขาสองคนอย่างตกตะลึง ไม่เข้าใจว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ นี่คือสตรีบ้ากามขั้นหลอมรวมคิดจะผลักเด็กหนุ่มขั้นกำเนิดใหม่ หรือเด็กหนุ่มขั้นกำเนิดใหม่คิดจะลวนลามสตรีบ้ากามขั้นหลอมรวม

ถ้าจินเฟยเหยาได้ยินความคิดในใจของพวกเขาต้องคิดว่าไม่ยุติธรรมแน่ เพราะเหตุใดไม่ว่าใครจะลวนลามใคร นางต้องเป็นสตรีบ้ากามหมด

ในเวลานี้เอง การป้องกันสั่นไหว คนสิบกว่าคนที่เข้ามาในเขตแดนของคฤหาสน์กุ่ยเม่ย

คนกลุ่มนี้เรียกได้ว่าน่าเกรงขาม ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายคุณธรรม สีหน้าสูงส่งลึกล้ำยากจะหยั่ง เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ ก็มีปราณเซียนแผ่ออกมา

พอพวกเขาเข้ามาก็มองดูรอบด้านก็พบเห็นสถานที่ซึ่งทำให้คนจำต้องมอง หลังเห็นเด็กหนุ่มที่พัวพันอยู่บนพรมชัดเจน บนสีหน้าเคร่งขรึมของหลายคนในจำนวนนั้นก็เผยความรู้สึกในพริบตา

“เขามาได้อย่างไร? หวาหนานจื้อเชิญเขามาหรือ?” ในกลุ่มคนมีเสียงความคิดเห็นเบาๆ ดังมาทันที

“ใครจะส่งเทียบเชิญให้เขา อีกทั้งข้าได้ยินว่าเขากำลังท่องเที่ยวหาประสบการณ์อยู่ข้างนอก ไม่ได้กลับสำนักตงอวี้หวงมาตลอด น่าจะเพียงผ่านมาพอดี เจ้ามิใช่ไม่รู้จักคนผู้นี้ ชอบมาร่วมความครึกครื้นตั้งแต่ขั้นหลอมรวม”

“ช่างเถอะ ข้าจะไปถามดู ต่อหน้าธารกำนัลน่าเกลียดเกินไปแล้ว ขายหน้าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่อย่างพวกเราต่อหน้าผู้เยาว์รุ่นหลัง”

วิญญูชนอันเที่ยงธรรมใบหน้าอายุสี่สิบกว่าปีไว้หนวดเครายาวผู้หนึ่งเอ่ยหลังส่ายศีรษะเบาๆ ก้าวย่างของคนผู้นี้มีปราณวิญญาณรูปมังกร เหาะมาถึงเบื้องหน้าจู๋ซวีอู๋และจินเฟยเหยาอย่างสง่างาม เอ่ยอย่างจนใจว่า “พี่จู๋ ท่านทำอะไรอยู่?”

ศีรษะของจู๋ซวีอู๋กำลังถูกจินเฟยเหยาผลัก มองไม่เห็นว่าด้านหลังเป็นใคร ทว่าพอได้ยินเสียงก็เอ่ยอย่างยินดีทันที “ที่แท้เป็นตาเฒ่าตู้ เจ้ามาพอดี รีบช่วยดึงมือนางออกไป! นางผลักข้าแบบนี้ ข้าก็พิงไม่ได้”

สีหน้าตาเฒ่าตู้เปลี่ยนเป็นปั้นยากทันที เขามิใช่มองไม่ออกว่าจู๋ซวีอู๋คิดจะทำอะไร อดบริภาษอย่างเดือดดาลไม่ได้ “พี่จู๋ ท่านเป็นถึงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ ทั้งยังเป็นเจ้าตำหนักของสำนักตงอวี้หวง คิดไม่ถึงว่าจะคิดทำเรื่องเสียมารยาทกับผู้บำเพ็ญเซียนสตรีขั้นหลอมรวมต่อหน้าคนมากมาย ยังไม่รีบหยุดอีก ไม่รู้จักอับอายเกินไปแล้ว!”

“เจ้าว่าอะไรนะ! ช่วยข้าดึงมือนางออกไปก่อน ขอเพียงข้าพิงทรวงอกก็พอ” จู๋ซวีอู๋รู้ว่าถูกเข้าใจผิด ทว่าไม่ทันได้อธิบายมากความ ได้แต่ตะโกนอีกรอบหนึ่ง

ตาเฒ่าตู้ส่ายหน้าอย่างหมดหวัง พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ จึงเอ่ยอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง “พี่จู๋ ท่านมีสัมพันธ์กับสตรีได้แล้ว?”

“ถุย! อะไรคือข้ามีสัมพันธ์กับสตรีได้แล้ว ข้าไม่ใช่ขันทีเสียหน่อย!” จู๋ซวีอู๋เดือดดาลทันที พลังวิญญาณปะทุขึ้น ครู่หนึ่งมือของจินเฟยเหยาก็ถูกดีดออก ส่วนเขาก็ฉวยโอกาสแนบกับทรวงอกของจินเฟยเหยา ในดวงตามีแสงสีเขียววาบ การรับรู้ทะลวงเข้าห้วงการรับรู้ของจินเฟยเหยาอย่างไม่กระโตกกระตาก

เสียงดังเพี๊ยะ เขาถูกจินเฟยเหยาผลักออกในพริบตา ใบหน้ายังถูกตบอย่างแรงหนึ่งที

จินเฟยเหยายกมือ รู้สึกว่าทะเลสีดำในห้วงการรับรู้ปั่นป่วน เทาเที่ยตัวน้อยๆ กระโดดออกจากทะเลขึ้นกลางอากาศและร้องคำรามในห้วงการรับรู้อันว่างเปล่า ครู่หนึ่ง มันก็เหลียวซ้ายแลขวา แล้วกระโดดตูมลงในทะเลสีดำอีกครั้ง

ในขณะที่นางสงบการรับรู้ จู๋ซวีอู๋มองนางแวบหนึ่ง จากนั้นหมุนตัวไปด่าทอตาเฒ่าตู้ “เจ้าเฒ่าราคะ นางเป็นผู้เยาว์ชั้นหลานของข้า ข้าเพียงแค่ตรวจสอบพลังการบำเพ็ญเพียรของนางเล็กน้อย เจ้าจะตะโกนวุ่นวายหาอะไร ผู้ใดจะเหมือนเจ้า แต่งอนุภรรยา ยังมีหน้ามาว่าคนอื่นว่าไม่รู้จักอับอาย แล้วก็ ที่เจ้าพูดเมื่อครู่ว่าข้ามีสัมพันธ์กับสตรีได้แล้ว หมายความว่าอย่างไร? ใครบอกว่าข้ามีความสัมพันธ์กับสตรีไม่ได้ เจ้าจะมาลองดูหรือไม่เล่า!”

“มีใครเขาตรวจสอบพลังการบำเพ็ญเพียรแบบเจ้าบ้าง? คิดจะหลอกใคร”

จู๋ซวีอู๋ไล่ตามตาเฒ่าตู้ เริ่มดึงเขาเข้าสู่การโต้เถียงไร้สาระ ตาเฒ่าตู้สลัดเขาทิ้งอยู่หลายครั้งก็สลัดไม่หลุด ได้แต่รีบกลับเข้าไปในกลุ่มคน ทว่าจู๋ซวีอู๋พอเห็นว่ามีคนรู้จักก็ดึงตาเฒ่าตู้มาให้พวกเขาตัดสินผิดถูก ทะเลาะกันไม่จบไม่สิ้น

จินเฟยเหยาฉวยโอกาสนี้ขับเคลื่อนพรมบินแอบถอยออกมาเงียบๆ เสี่ยงอันตรายนำยันต์ซ่อนกายออกมาโดยไม่สนใจมากความ เก็บพรมบินอย่างรวดเร็ว แล้วตบยันต์ซ่อนกายลงบนร่าง นางกวาดตามองพั่งจื่อและต้านิว จากนั้นหายตัวไปท่ามกลางฝูงชนในพริบตา

……………………………………

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตายเวลาเช้าตรู่ บนเส้นทางอันยาวไกลของยอดเขาลั่วซี มีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่สูงเจ็ดฉื่อ[1]เดินไปยังวังอวิ๋นเย่ที่สร้างอยู่กลางยอดเขาด้วยฝีเท้าเบาและรวดเร็ว นางอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เกล้าผมเป็นมวยสาวน้อยคู่หนึ่ง บนมวยแต่ละอันมีแถบผ้าสีเขียวพันประดับ บนร่างสวมชุดศิษย์สายนอกสีเทาทั้งตัว บนเข่ามีรอยปะชุนแห่งหนึ่ง หน้าตางดงามน่ารัก รูปร่างพอเหมาะพอดี ทว่ากลับแบกถังไม้ที่สูงกว่านางสองเท่า ก้าวเดินบนบันไดศิลาดุจเหินบิน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset