คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย – ตอนที่ 212 สำนักตงอวี้หวง

ด้านล่างป้ายประตูสำนักซึ่งสร้างจากศิลาหยกเมฆขาวที่สูงสิบกว่าจั้งของสำนักตงอวี้หวง มีศิษย์ขั้นสร้างฐานยืนเฝ้ายี่สิบคน พวกเขาสวมชุดเครื่องแบบเกราะสีเงิน ศีรษะสวมก้วนเงิน ยืนอยู่สองฟากของป้ายด้วยท่าทางน่าเกรงขาม แสงอาทิตย์อันร้อนแรงในฤดูร้อนสาดส่องลงมาเป็นเวลายาวนานก็ไม่เห็นพวกเขามีความเคลื่อนไหวเลยสักนิด

“ศิษย์พี่ทุกท่าน ข้ามาส่งน้ำบ๊วยให้พวกท่าน” สาวน้อยสวมชุดกระโปรงสีชมพูหน้าตางดงามอ่อนหวาน หิ้วตะกร้าไม้ไผ่วิ่งลงจากบนบันไดอันยาวเหยียดอย่างร่าเริง

คนที่เดิมทียังน่าเกรงขามทั้งยี่สิบคน ครู่หนึ่งก็เอะอะขึ้นมา

“ศิษย์น้องสุ่ยฝู เหตุใดวันนี้เจ้าจึงเป็นคนมาส่ง?” คนทั้งยี่สิบคนห้อมล้อมเข้ามา ไม่เฝ้าประตูแล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครกล้ามาก่อเรื่องที่สำนักตงอวี้หวง ยืนเสียน่าเกรมขามขนาดนี้เพียงเพื่อให้แขกที่มารู้สึกได้ถึงขุมกำลังของสำนักใหญ่เท่านั้น

ข้างประตูสร้างศาลาคลายร้อนเล็กๆ อันวิจิตรหลังหนึ่ง ด้านในมีโต๊ะและเก้าอี้ศิลาเตรียมไว้ให้แขกที่ต้องรอคนไปรายงานก่อนจึงสามารถเข้าสำนักตงอวี้หวงได้ ให้พวกเขารอคอยอยู่ที่นี่ไม่ต้องยืนเฝ้าประตูกับศิษย์ที่เฝ้ายาม

“ข้าว่างไม่มีอะไรทำจึงมาเล่นกับพวกท่าน” ศิษย์น้องสุ่ยฝูเปิดตะกร้าไม้ไผ่ นำชามยี่สิบใบด้านในออกมาวางบนโต๊ะศิลาในศาลา หยิบกาขนาดไม่ใหญ่นักในตะกร้าออกมา จากนั้นเทน้ำบ๊วยแช่เย็นสีเขียวลงในชาม

อย่าเห็นว่ากาใบนี้มีขนาดสูงเพียงฝ่ามือ ด้านในกลับไม่รู้ว่าใหญ่เพียงใด เทน้ำบ๊วยเย็นลงไปในชามทั้งยี่สิบชามก็ไม่เห็นน้ำบ๊วยในกาจะพร่องลงไป

“พวกเราตากแดดอยู่ที่นี่ เจ้าพวกตำหนักซวีชิงกลับหลบอยู่ในที่ร่มฝึกบำเพ็ญ ไม่ยุติธรรมเกินไปแล้ว” ศิษย์พี่คนหนึ่งดื่มน้ำบ๊วยเย็นชื่นใจพลางเอ่ยอย่างมีโทสะ

“ข้าได้ยินว่าพวกเขามีคนไม่เพียงพอดังนั้นจึงหาคนมาเฝ้าไม่ได้” ศิษย์น้องสุ่ยฝูถือกา เอ่ยพลางรินน้ำบ๊วยลงในชามอันว่างเปล่าในมือศิษย์พี่คนนี้

“ถุย ไปฟังพวกเขาพูดจาเหลวไหล” ศิษย์เฝ้ายามคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนบันไดศิลาเอ่ยด้วยใบหน้าเดือดดาล “พวกเขาจงใจ คุณสมบัติของตนเองดีกว่าพวกเรานิดหน่อยก็ถือตนว่าสูงส่ง ไม่คิดจะทำงานจิปาถะ ไม่เช่นนั้นเกือบร้อยปีมานี้ พวกเขาเพียงรับศิษย์ใหม่ไม่ถึงสิบคน ตำหนักเทียนอินของพวกเรารับมาตั้งหนึ่งร้อยกว่าคน ถ้ามิใช่พวกเขาจงใจไม่รับศิษย์จะไม่มีแรงงานได้อย่างไร”

“ได้ยินว่าไม่คิดจะรับศิษย์ที่มีคุณสมบัติต่ำต้อย เห็นได้ชัดว่าดูแคลนพวกเรา เจ้าพวกนี้นอกจากหน้าตาดีและคุณสมบัติสูงแล้วก็ไร้ประโยชน์ ไม่ทำอะไรสักอย่าง ทั้งยังกลับสำนักตงอวี้หวงมากลางคัน ต้องไม่ภักดีต่อสำนักแน่” คนอื่นๆ ก็เอ่ยคล้อยตาม

ศิษย์น้องสุ่ยฝูเอ่ยกระซิบ “ข้ารู้สึกว่าบรรดาศิษย์พี่แห่งตำหนักซวีชิงยังดี ไม่ได้เลวร้ายมากขนาดนั้น น่าจะภักดีต่อสำนักนะ”

คำพูดของนางทำให้บรรดาศิษย์เฝ้ายามเกิดความระวังป้องกัน มีคนตะโกนเสียงดังขึ้น “ศิษย์น้องสุ่ยฝู เจ้าเป็นคนของตำหนักเซิ่งหลิงเรา เหตุใดจึงเข้าข้างเจ้าพวกหน้าอ่อนของตำหนักซวีชิง เจ้าพวกหน้าอ่อนนั้นคงไม่ได้ให้เจ้าดื่มยาเสน่ห์หรอกนะ ข้าได้ยินว่า มีศิษย์พี่ศิษย์น้องสตรีจำนวนมากแอบเอ่ยกับบรรดาอาจารย์ลุงและอาจารย์อาว่าอยากแต่งงานกับคนของตำหนักซวีชิง เจ้าทำแบบนั้นไม่ได้นะ ถ้าเจ้าจะแต่งงาน ก็ต้องแต่งให้กับคนตำหนักเซิ่งหลิงของเราจึงถูกต้อง!”

“ศิษย์พี่หลงซิน ท่านพูดอะไรน่ะ ข้าบอกว่าจะแต่งให้คนของตำหนักซวีชิงเมื่อไร? อีกอย่างหนึ่งข้าจะแต่งกับใคร เกี่ยวอะไรกับท่านด้วย เหตุใดจึงแต่งกับคนตำหนักเซิ่งหลิงได้เพียงอย่างเดียว น่าชังนัก! ไม่สนใจพวกท่านแล้ว” ศิษย์น้องสุ่ยฝูสีหน้าแปรเปลี่ยน มีโทสะทันที โยนกาในมือลงบนโต๊ะศิลาอย่างแรงหมุนตัวจากไปอย่างเดือดดาลแม้แต่ตะกร้าไม้ไผ่ก็ไม่ต้องการแล้ว

ทุกคนต่างรู้สึกกระอักกระอ่วน หลงซินพูดจาแรงเกินไป ผู้อื่นไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของเจ้าเสียหน่อยยังจะยุ่งเรื่องการแต่งงานอีก

ศิษย์น้องสุ่ยฝูเดินออกไปหลายก้าว พลันนึกถึงเรื่องที่อาจารย์อาฝากฝังมาได้ จึงหยุดลงและหมุนตัวมาบอกพวกเขาอย่างอารมณ์ไม่ดี “อาจารย์อาจิ้งหมิงบอกว่า ระยะนี้มีหลายสำนักถูกปล้นชิง ให้พวกท่านเฝ้าอย่างเข้มงวดหน่อย อย่าให้โจรแอบเข้าไปในสำนักได้ ถ้าสิ่งของถูกขโมยไปจะมาเอาเรื่องพวกท่าน!”

เอ่ยจบนางก็จากไปอย่างเดือดดาล ทิ้งไว้เพียงเงาหลังอันงดงามให้บุรุษกลุ่มนี้

มองนางจากไป ทุกคนก็ใช้สายตาจับจ้องบนร่างหลงซิน “ข้าว่านะศิษย์น้องหลงซิน ยากเย็นนักที่ศิษย์พี่หลิวไม่ได้เป็นคนมาส่งน้ำชา คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะทำให้ผู้อื่นมีโทสะจนจากไป อากาศร้อนขนาดนี้ตัดใจให้พวกเราดูสักหลายแวบก็ไม่ได้ ตระหนี่จริงๆ”

ศิษย์พี่หลิวที่พวกเขาเอ่ยถึง แม้ว่าจะเข้าสำนักเร็วกว่าพวกเขายี่สิบกว่าปี แต่เนื่องจากบรรลุขั้นสร้างฐานไม่ได้มาตลอด มีฐานะเป็นศิษย์พี่กลับได้แต่รับหน้าที่ทำงานในโรงอาหาร หน้าหนาวต้องมาส่งชาโสม หน้าร้อนต้องมาส่งน้ำเย็นๆ ให้แก่บรรดาศิษย์เฝ้าประตูทุกวัน ทั้งยังยิ้มแย้มตลอดเวลาและอ่อนโยนอย่างยิ่ง เป็นห่วงเป็นใยบรรดาศิษย์น้อง ต่อให้แก่ชราเกินไป อายุห้าสิบกว่าแล้วก็ถือว่าฝึกบำเพ็ญมาตลอด ดูแล้วลักษณะอายุเพียงสี่สิบกว่าเท่านั้น

หลงซินรู้สึกอึดอัดพูดไม่ออก เขาถูกศิษย์น้องของตนเองด่าทอยังหงุดหงิดกว่าพวกเขาอีก เดิมทีศิษย์สตรีมีไม่มาก นี่ล่วงเกินไปคนหนึ่งแล้ว โอกาสแต่งภรรยาก็น้อยลงไปอีกหนึ่งส่วนจะไม่ให้เขาเสียใจและกังวลได้อย่างไร

เห็นทุกคนรุมเขา หัวหน้าหมู่อู๋เจียงจึงเอ่ย “อย่าทะเลาะกันเลย ทุกคนดื่มเสร็จแล้วรีบประจำตำแหน่ง ระยะนี้ไม่ค่อยสงบจริงๆ เช้าวันนี้ก่อนมาข้ายังถูกอาจารย์อาเรียกไปแจ้งให้ทราบ ให้ทุกคนเฝ้าประตูดีๆ”

“ศิษย์พี่อู๋ โจรพวกนั้นร้ายกาจจริงๆ หรือ ที่แท้ขโมยสิ่งของใด”

อู๋เจียงขมวดคิ้วกล่าวว่า ข้าเพียงได้ยินมาคร่าวๆ ว่าผลเซียนหลิงของสำนักเซียวไท่ถูกขโมยไปหมด สุราร้อยวิญญาณที่จิ่วเมิ่งเจินเหรินแห่งยอดเขาหลิงฝูหมักขึ้นก็ถูกคนขโมยไปจากถ้ำลับ ทั้งยังจูงแพะและวัวเกล็ดเหลืองที่เฝ้าถ้ำลับของพวกเขาไปด้วย ปลาหลี่[1]มุมทองของสำนักหวาตั้นก็ถูกขโมย ปลาหลี่นับร้อยตัวในสระไม่เหลือเลยสักตัว เหลือเพียงปลาหนีชิว[2] ไม่กี่ตัว และยังมีสำนักอื่นๆ จะมากจะน้อยก็มีสิ่งของที่ถูกขโมย ที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักส่วนมากเป็นสัตว์ภูติที่เพาะเลี้ยงไว้”

“นี่ขโมยมาตลอดทางเลยมิใช่หรือ? มีความสามารถมากจริงๆ” มีคนอดถอนหายใจไม่ได้

และก็มีคนเอ่ยถามอย่างสงสัย “ในเมื่อมีความสามารถขนาดนี้ เหตุใดขโมยแต่สัตว์ภูติ ทว่าไม่ขโมยสิ่งของจำพวกหญ้าวิญญาณและของวิเศษ ดูเหมือนผลเซียนหลิงจะไม่ถือเป็นหญ้าวิญญาณ”

“ผู้ใดจะรู้ อาจจะเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญที่ฝึกสัตว์ภูติโดยเฉพาะ ดังนั้นจึงจงใจขโมยแต่สัตว์ภูติ พวกเราต้องระวังหน่อย ภายในสำนักกว้างใหญ่ขนาดนี้ สัตว์แปลกๆ และหายากของบรรดาอาจารย์อามีอยู่ไม่น้อย ถ้าหายไปหลายตัว พวกเราต้องรับผิดชอบ” อู๋เจียงเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ยามนี้มีคนหนึ่งด้านข้างเอ่ยว่า “จะถูกขโมยไปกินหรือไม่?”

เขายังเอ่ยไม่จบ ศิษย์คนอื่นๆ ก็ปฏิเสธทันควัน “เป็นไปได้อย่างไร ผู้ใดจะอยู่ว่างไม่มีอะไรทำและมีพลังบำเพ็ญเพียรสูงส่งแล่นไปสำนักอื่นเพื่อขโมยอาหารกิน ต่อให้ตะกละก็เป็นไปไม่ได้ที่จะตะกละถึงขั้นนี้ พวกเจ้ามีใครเคยได้ยินว่ามีผู้บำเพ็ญเซียนที่ชอบขโมยของกินโดยเฉพาะบ้าง?”

“ไม่เคย…”

พูดคุยอยู่นาน การคาดเดาโจรขโมยก็กลายเป็นเรื่องขำขันไป ยังคงเฝ้าประตูสำนักของตนเองให้ดีจึงถูกต้อง พวกเขาไม่เชื่อว่า โจรคนนี้จะกล้าบุกมาขโมยของที่สำนักตงอวี้หวง

ทุกคนยืนอยู่สองฟากประตูอีกครั้ง มีศิษย์เฝ้ายามที่สายตาแหลมคมพลันพบว่ามีคนเหยียบของวิเศษมาแต่ไกล

ยอดเขาทั้งหมดสิบกว่ายอดของสำนักตงอวี้หวงมีวงเวทขนาดใหญ่ซึ่งมีการป้องกันที่เปลี่ยนแปลงได้ร้อยแปดพันเก้าจนคาดไม่ถึงคุ้มครองอยู่ ถ้าคิดจะเข้าสู่สำนักตงอวี้หวงก็ได้แต่เข้าทางประตูสำนัก แน่นอนว่าถ้ามีความสามารถคิดจะบุกทะลวงก็ย่อมได้

เมื่อคนเข้ามาใกล้ บรรดาศิษย์เฝ้าประตูจึงพบว่าผู้มาเป็นหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี บุรุษอายุสิบสองสิบสามปี สตรีอายุยี่สิบกว่าปี ดูแล้วเหมือนคู่พี่สาวน้องชาย เพียงแต่พี่สาวดูเหมือนไม่อยากมา ถูกน้องชายลากสายรัดเอวดึงมาที่ประตูสำนักอย่างเอาเป็นเอาตาย บนพื้นยังมีกบสองตัวสูงครึ่งตัวคนบนหัวเทินมุกวิเศษเดินวางมาดเลียนแบบคนติดตามอยู่ด้านหลังอย่างช้าๆ สีหน้าชืดชา ไม่แตกตื่นไม่รีบร้อน

“พวกเจ้าเป็นใคร มาสำนักตงอวี้หวงเรามีธุระอันใด!” เห็นทั้งสองคนไม่มีท่วงท่าของผู้บำเพ็ญเซียนระดับสูงเลยสักนิด หลงซินมีโทสะอัดแน่นพอดี จึงเอ่ยตะคอกใส่พวกเขาโดยไม่ได้ดูพลังการบำเพ็ญเพียรให้ละเอียด

“อุ๊บส์!” จินเฟยเหยาหัวเราะออกมาจากนั้นหันหน้ามาพูดกับจู๋ซวีอู๋ “ไม่ต้องลากแล้ว ผู้อื่นก็ไม่รู้จักท่าน ให้ข้าไปดีกว่า”

“คิดดีนักนะ เจ้าทำเรื่องเลวร้ายมากมายปานนี้ ตอนนี้คิดจะจากไปเพื่อตัดปัญหาและให้ข้าแบกหม้อดำหรือ?” จู๋ซวีอู๋เอ่ยอย่างอารมณ์ไม่ดี

จากนั้นเขาก็หันไปด่าหลงซิน “ตาบอดหรือ ถึงกับถามว่าข้าเป็นใคร!”

อู๋เจียงมองดูอย่างละเอียด แม่เจ้า ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่! ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่อายุสิบสองสิบสามปี นอกจากท่านผู้นั้นของตำหนักซวีชิงจะเป็นใครไปได้

“ผู้อาวุโสจู๋ท่านกลับมาแล้ว โปรดอย่าตำหนิเลย พวกเขามาใหม่จึงไม่รู้จักท่าน ท่านออกไปหกสิบปีแล้ว พวกเขาเพิ่งเข้าสำนักมาเพียงยี่สิบกว่าปี” อู๋เจียงรีบเข้ามารับหน้า ยิ้มแย้มและคารวะจู๋ซวีอู๋

พวกไป๋เจี่ยนจู๋เรียกเขาเป็นซือจู่ ศิษย์ของตำหนักอื่นๆ ไม่ต้องเรียกเขาว่าซือจู่ ไม่เช่นนั้นสำนักตงอวี้หวงมิเต็มไปด้วยซือจู่หรือ

“อ้อ แบบนี้เอง ข้าเข้าไปก่อนนะ” พอจู๋ซวีอู๋เห็นว่ามีคนรู้จักตนเอง คงไม่ต้องล้วงป้ายออกมา เขาพยักหน้าให้อู๋เจียงแล้วลากจินเฟยเหยาคิดจะเดินเข้าไปข้างใน

ทุกครั้งที่เข้าออกสำนักตงอวี้หวงล้วนต้องลงมาเดินผ่านประตูใหญ่ ยุ่งยากจริงๆ ไม่เช่นนั้นก็บินข้ามไปโดยตรง ยังต้องยุ่งยากบินๆ หยุดๆ อีก จู๋ซวีอู๋ตำหนิประตูสำนักตนเองในใจ ยกขาขึ้นจะเดินเข้าไปข้างใน

“ผู้อาวุโสจู๋ ท่านนี้คือ…” อู๋เจียงย่อมรู้จักจู๋ซวีอู๋ ทว่ากลับไม่รู้จักสตรีที่เขาลากมาด้านหลัง ตอนนี้ค้นหาโจรอย่างเข้มงวด อย่างไรก็ต้องถามถึงคนผู้นี้สักหน่อย ถ้าเกิดเรื่องขึ้นแล้วตนเองไม่ได้ถามคงรายงานไม่ได้

จู๋ซวีอู๋เอ่ยโดยไม่หันหน้ามา “บุตรสาวข้า จินเฟยเหยา” จากนั้นก็ลากจินเฟยเหยาที่หน้าม่อยคอตกเดินขึ้นไป ส่วนพั่งจื่อและต้านิวก็ตามติดด้านหลัง

“บุตรสาว? คิดไม่ถึงว่ารูปร่างแบบผู้อาวุโสจู๋ก็สามารถให้กำเนิดบุตรได้…” อู๋เจียงตะลึงงัน มองจู๋ซวีอู๋ที่หลังจากขึ้นบันไดร้อยขั้นก็เหยียบแสงสีเขียวเหาะเข้าไปในภูเขา แล้วเอ่ยพึมพำ

เวลานี้ศิษย์รอบด้านที่ไม่เคยพบเห็นจู๋ซวีอู๋ต่างมองมาทางเขา ขณะที่กำลังเตรียมจะถามถึงสภาพการณ์ของผู้อาวุโสตำหนักซวีชิงที่เคยได้ยินเพียงนามแต่ไม่เคยเห็นตัวจริง อู๋เจียงพลันตบต้นขาฉาดหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ไม่ถูกต้อง! ถ้าผู้อาวุโสจู๋มีบุตรจะแซ่จินได้อย่างไร น่าจะแซ่จู๋สิ!”

……………………………………….

[1] ปลาหลี่ คือ ปลาไน

[2] ปลาหนีชิว คือ ปลาหมู

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตายเวลาเช้าตรู่ บนเส้นทางอันยาวไกลของยอดเขาลั่วซี มีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่สูงเจ็ดฉื่อ[1]เดินไปยังวังอวิ๋นเย่ที่สร้างอยู่กลางยอดเขาด้วยฝีเท้าเบาและรวดเร็ว นางอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เกล้าผมเป็นมวยสาวน้อยคู่หนึ่ง บนมวยแต่ละอันมีแถบผ้าสีเขียวพันประดับ บนร่างสวมชุดศิษย์สายนอกสีเทาทั้งตัว บนเข่ามีรอยปะชุนแห่งหนึ่ง หน้าตางดงามน่ารัก รูปร่างพอเหมาะพอดี ทว่ากลับแบกถังไม้ที่สูงกว่านางสองเท่า ก้าวเดินบนบันไดศิลาดุจเหินบิน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset