ทุกคนต่างชะงักงัน เขา? เขาคือใคร หรือว่าจะเป็นบุคคลที่น่าทึ่งกว่าผู้อาวุโสซุนจ้าวเหนียงเสียอีก
“ผู้อาวุโสซุนครับ อภัยด้วยที่ต้องพูดตรง ๆ อาการป่วยเช่นนี้ ท่านเองยังหมดหนทาง รุ่นพวกผมยิ่งแล้วไปใหญ่ จากมุมมองทางการแพทย์แล้ว ผู้ป่วยรายนี้ไม่ต่างอะไรกับคนตาย”
เงื่อนไขมันโหดร้ายเกินไป ไม่มีอุปกรณ์ใด ๆ ในการรักษา ต้องรักษาผู้ป่วยฉุกเฉินด้วยมือเปล่า อย่างมากก็มีเพียงเข็มเงินชุดหนึ่ง นี่มันไม่ถือเป็นการสร้างความลำบากใจให้กันหรอกเหรอ?
ซุนจ้าวเหนียงกวาดสายตามองทุกคนด้วยความผิดหวัง แล้วกล่าว“พวกคุณต่างก็คิดว่าช่วยไม่ได้แล้วใช่ไหม?”
หมอทุกคนต่างพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ ถือเป็นการยอมรับ
“เฮ้อ ชีวิตทั้งชีวิต ต้องสูญเสียไปภายใต้มือของพวกคุณ”
ทุกคนต่างมองไปมา ซึ่งกันและกัน ประธานเจิ้งตั้งคำถามขึ้นมา และกล่าว“ผู้อาวุโส หรือว่าท่านจะมีวิธีรักษา? เขาที่ท่านพูดถึงเมื่อกี้ หมายถึงใครเหรอครับ?”
“ชั่งเถอะ ผมจะเล่าให้พวกคุณฟังเอง”
ซุนจ้าวเหนียงจิบชาหนึ่งคำ แล้วกล่าว“ผู้ป่วยรายนี้ สามารถช่วยได้!”
“จุดของผู้ป่วยที่ผมใช้เข็มเงินแทงในตอนนั้น ก็คือจุดหน่าวฮู่ จุดซ่างซิง จุดยิ่งถัง และจุดซี่เสินนั่นเอง แต่กลับไม่เป็นผล ตอนนั้นผมเองก็หมดหนทางแล้ว”
“แต่ในตอนนั้นเอง ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามา เขาช่วยชายชราคนนั้นให้ฟื้นขึ้นมา ช่วยชีวิตคนคนหนึ่งเอาไว้”
“พวกคุณทุกคนต่างก็ได้มองข้ามจุดหนึ่งไป และนั่นก็เป็นจุดที่ผมเองก็มองข้าม นั่นก็คือนิ้วมือที่ซีดเซียวของผู้ป่วย ที่ขาดเลือดอย่างรุนแรง!”
“พวกเราทุกคนต่างก็คิดว่าผู้ป่วยสลบไป เป็นปกติที่นิ้วมือจะซีดเซียว แต่พวกเรากลับไม่ได้นึกถึงความเป็นไปได้อีกอย่าง นั่นก็คือนิ้วมือได้ซีดเซียวก่อน จากนั้นผู้ป่วยค่อยสลบไป”
“พวกคุณได้คิดถึงเรื่องนี้ไหม? ไม่เลย พวกคุณเพียงแค่คิดว่าผู้ป่วยสลบไป นิ้วมือซีดเซียวนั้นเป็นเรื่องที่ปกติมาก!”
“ดังนั้น นี่คืออาการช็อก! ไม่ใช่อาการทางระบบประสาทที่ทำให้สลบไป!”
เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้น ต่างโกลาหลขึ้นมา ใช่ พวกเขาทั้งหมดต่างได้มองข้ามอาการนิ้วซีดเซียวนี้ไป พวกเขาได้มองข้ามเบาะแสสำคัญไปโดยไม่รู้ตัว
“ดังนั้น ชายหนุ่มในวันนั้นจึงได้เปลี่ยนแนวคิด วิธีการของเขาก็คือจับจุดชี่ไห่ จุดเทียนทู จุดติ้งฉ่วน จุดเฟิงฉือ”
“ก่อนอื่นต้องเปิดเส้นการเดินเลือดที่ไหลไปที่สมองของผู้ป่วย ให้เลือดสามารถไหลไปที่สมองได้สะดวก เพื่อเลี้ยงสมอง จุดติ้งฉ่วนฝังเข็มจากผิดหน้งลงไปสามนิ้ว ไม่มากไม่น้อย จุดเฟิงฉือฝังเข็มลงไปให้มิด จุดชี่ไห่ปั่นเข็มเบา ๆ เพื่อให้อากาศเข้า”
หลังจากที่ซุนจ้าวเหนียงกล่าวจบ ในดวงตาของเขาก็ได้ปรากฏแววแห่งความนับถือออกมา
ส่วนพวกหมอที่อยู่ ณ ตรงนั้น ต่างก็ลิ้นจุกปาก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีบางคน ที่อ้าปากกว้างจนสามารถกินไข่ไก่ลงไปเป็นลูกได้
“ผู้อาวุโสซุนครับ ทำแบบนี้มันเสี่ยงเกินไปหรือเปล่า จุดเฟิงฉือเป็นศูนย์กลางของร่างกายมนุษย์ เป็นจุดสำคัญที่กระแสเลือดต้องไหลผ่าน ฝังเข็มจนมิดบนจุดนี้ ประมาทเพียงเล็กน้อย เบาหน่อยก็เป็นอัมพาต หนักหน่อยถึงแก่ความตาย”
ซุนจ้าวเหนียงพยักหน้า“คุณพูดถูก ผมเองก็มีความคิดนี้เหมือนกันกับคุณ ดังนั้นเขาถึงได้หาว่าผมคร่ำครึ แพทย์แผนจีนลงมือแค่จุดเดียวก็มีผลกระทบไปทั่วทั้งร่างกาย เขาเปิดจุดชี่ไห่ออก ก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้จุดเฟิงฉือเกิดเหตุการณ์เสียเลือดมาก”
“จุดชี่ไห่ได้สร้างกำแพงให้กับจุดเฟิงฉือ ทันทีที่เกิดอุปสรรคขึ้นมา จุดชี่ไห่สามารถแก้ไขได้ ถ้าหากไม่เกิดอุปสรรค คนไข้ก็สามารถมีชีวิตต่อไปได้ นี่เป็นสิ่งที่ตำราการแพทย์ ไม่เคยได้บันทึกเอาไว้ นี่จะต้อง……นี่จะต้องเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนอย่างแน่นอน!”
พอพูดถึงตรงนี้ ริมฝีปากของซุนจ้าวเหนียงก็สั่นเล็กน้อย น้ำเสียงของเขาก็พลอยสั้นตาม ร่างกายของเขาสั่นสะท้านอย่างไม่รู้ตัว เข้าปีติยินดีอย่างสุดขีดแล้ว
นวัตกรรมใหม่!
คิดไม่ถึงว่านี่จะเป็น……นวัตกรรมใหม่
คนที่อยู่ ณ ตรงนั้น ยกเว้นแพทย์แผนตะวันตก แพทย์แผนจีนที่อ้างว่าตัวเองได้ประสบความสำเร็จพวกนั้น ต่างก็ได้หน้าเปลี่ยนสี
แพทย์แผนจีนนั้นได้มีการสืบทอดกันมาหลายพันปีในประเทศจีน ถือกำเนิดมาจากวิชาเวทมนตร์ สุดท้ายจึงได้แตกแขนงออกมาเป็นวิชาเวทมนตร์และวิชาแพทย์
สิ่งที่บรรพบุรุษสืบทอดต่อ ๆ กันมา แต่ละอย่างต่างมีค่าดั่งทองคำ สิ่งที่ให้เรียนรู้นั้นไม่มีวันหมดสิ้น แล้วจะไปสร้างนวัตกรรมใหม่ได้ยังไง
คนที่ศึกษาแพทย์แผนจีนพวกนี้ ต้องการเพียงแค่เรียนรู้เทคนิคการรักษาแบบแพทย์แผนจีนให้มากขึ้น แต่พวกเขากลับไม่เคยคิดเกี่ยวกับนวัตกรรมใหม่เลย
จะให้เหนือกว่าคนสมัยก่อนนั้น มันยากซะยิ่งกว่ายากเสียอีก มีเพียงคนที่เคยเรียนวิชาแพทย์เท่านั้นถึงจะเข้าใจ!
และในเวลานี้ เย่หยุนซูที่นั่งอยู่แถวหลังสะกิดเซียวหยางเบา ๆ แล้วกล่าว“คุณเองก็พอจะมีความรู้เกี่ยวกับวิชาแพทย์อยู่เหมือนกันไม่ใช่เหรอ คุณเข้าใจที่พวกเขาพูดไหม?”
เซียวหยางฉีกยิ้ม“ทำไมจะไม่เข้าใจล่ะ มันง่ายพอ ๆ กับที่คำถามวิชาคณิตศาสตร์ของเด็กป. สามเลยล่ะ”
เย่หยุนซูชะงักงัน มุมปากของเธอกระตุกเล็กน้อย
เสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังมาจากมุมเหยื้องของเซียวหยาง
“จุ๊ ๆ คิดไม่ถึงจริง ๆ เลย ว่าเขยสวะของตระกูลเย่ จะมีความรู้เกี่ยวกับแพทย์แผนจีน ประธานเย่ ดูเหมือนว่าสามีของคุณจะเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งนะ วันไหนว่างช่วยผมตรวจหน่อยสิ”
เซียวหยางหันขวับกลับไป คนที่พูดนั้นไม่ใช่คนอื่นไกล เป็นเฉียนโหย่วฉายที่ไม่กินเส้นกันกับพวกเขา ในตอนที่พวกเขาเดินเข้ามางานนั่นเอง
“ประธานเฉียน คุณอยากจะตรวจโรคก็ต้องจ่ายเงินมาก่อน ค่าตรวจผมแพงมากนะ”
“หึ ตรวจโรคคงไม่ต้องหรอก แต่ถ้าเป็นคำแนะนำ ผมพอจะมีอยู่ข้อหนึ่ง” ประธานเฉียนกล่าวพลางฉีกยิ้ม
“คำแนะนำอะไรเหรอ พูดออกมาฟังหน่อยสิ” เซียวหยางกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อน ๆ
“ผมแนะนำให้พวกคุณบริษัทยุนซูรีบไสหัวไปโดยเร็ว เพราะว่าบริษัท Qian Medical กรุ๊ปของพวกเรา จะต้องชนะประมูลอย่างแน่นอน!”
เย่หยุนซูขมวดคิ้ว งานประมูลยังไม่ทันจะเริ่มเลย หมอนี่ก็คุยโวโอ้อวดซะแล้ว ถืออะไร?
ขณะที่เธอกำลังจะตอบโต้กลับไปนั้น ก็ถูกเซียวหยางห้ามเอาไว้
“ประธานเฉียนใจคุณนี้ใหญ่จริง ๆ ร่างกายไม่สมบูรณ์ยังมาเข้าร่วมงานประมูลอีก หาได้ยากจริง ๆ”
เฉียนโหย่วฉายชะงักงันไปทันที เขาตวาดเสียงเบา“สารเลว แกว่าใครร่างกายไม่สมบูรณ์ แกสิถึงเป็นโรค”
“ฉี่บ่อยครั้ง ทั้งเหงื่อออกในตอนกลางคืน นอนก็ไม่ค่อยจะหลับแถมยังชอบฝัน ท้องเสียเป็นนิสัย ก้นฉีกมาเป็นเวลาสามอาทิตย์ ผมพูดถูกไหม?”
เริ่มแรกประธานเฉียนยังไม่ได้พูดอะไร แต่ทันทีที่ได้ยินเซียวหยางพูดแบบนี้ ทำให้เขาตะลึงงัน
“ไอ้หนุ่ม แก……แกรู้ได้ยังไง?”
เซียวหยางยักไหล่“คุณคิดว่าคุณเป็นภาวะไตพร่องเหรอ ผิดแล้ว คุณเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะระยะกลางต่างหาก ถ้าหากไม่รีบทำการผ่าตัด ก็คงอยู่ไม่ไกลจากความตายแล้วล่ะ”
เฉียนโหย่วฉายเหงื่อไหลย้อย“แกพูดจาเหลวไหล แกสิเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ทั้งตระกูลแกล้วนเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ”
เย่หยุนซูมีท่าทางเย็นชาขึ้น“ประธานเฉียนพูดจาให้มันดี ๆ หน่อย”
เฉียนโหย่วฉายพลันเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา“อ๋อ~ ฉันรู้แล้ว แกไปสืบฉันมาใช่ไหม เกือบถูกแกหลอกแล้วไหมล่ะ แกคิดว่าแบบนี้จะหลอกล่อให้ฉันไม่เข้าร่วมประมูลได้งั้นเหรอ ฝันไปเถอะ!”
กล่าวจบ เขาก็หันหน้าหนีไป และไม่สนใจเย่หยุนซูและเซียวหยางอีก แต่สีหน้าของเขานั้นกลับหม่นหมองลง
“เขาเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะจริง ๆ เหรอ?” เย่หยุนซูเอ่ยถามด้วยความสงสัย
เซียวหยางหัวเราะเหอะ ๆ “จะใช่หรือไม่นั้นก็คงมีเพียงตัวเขาเองที่รู้แล้วแหละ”
เห็นเซียวหยางพูดจาอ้อมค้อม เย่หยุนซูก็หัวเราะหึในลำคอ และหันไปใส่กับการอภิปรายบนเวทีต่อ
ในเวลานี้ ประธานเจิ้งได้รับความเห็นด้วยจากซุนจ้าวเหนียง และได้หาผู้ป่วยมาสองคน ซุนจ้าวเหนียงพูดคุยแลกเปลี่ยนกับคนพวกนั้นเสร็จแล้ว ก็เริ่มการฝังเข็มขึ้นมา
คนไข้ทั้งสองรายอาการป่วยได้รับการผ่อนคลายลงภายใต้มือของซุนจ้าวเหนียง ถึงแม้จะไม่ได้หายดีเลย แต่ทั้งสองคนก็ยังคงรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง
การพูดคุยแลกเปลี่ยนทางการแพทย์ได้จบลงเพียงเท่านี้
ต่อมา ก็คืองานประมูลที่ให้เหล่าผู้ประกอบการเข้าร่วมนั่นเอง
ความจริงแล้วที่ให้ผู้ประกอบการเหล่านั้นเข้าร่วมการพูดคุยแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับการแพทย์ในขั้นที่หนึ่งนั้น ก็เพื่อให้พวกเขารู้ว่าชีวิตนั้นมีค่า จะต้องเห็นชีวิตของผู้ป่วยสำคัญเป็นอันดับหนึ่งอยู่ตลอดเวลา จะมองข้ามผู้ป่วยเพราะเงินไปไม่ได้
และการประชุมพูดคุยแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับการแพทย์ในครั้งนี้เป็นการประชุมแบบเปิด มีผู้คนในวงการแพทย์มากมาย เป็นพยาน ไม่ว่าจะเป็นบริษัทไหนชนะการประมูล ก็จะไม่มีคนนินทาว่าร้ายประธานเจิ้งหลับหลังได้
เป็นกลาง ยุติธรรม เปิดเผย!
การประมูลในครั้งนี้ เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ!