เมื่อเห็นแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกซับซ้อนมากมายของหลัวจื้อเลี่ย สั่วซีหย่าก็ยืนขึ้นและก้าวถอยหลังอย่างช้า ๆ ขณะร่างบางสั่นเทา
ฉินอวี้โม่แตะหลังมือของสตรีลูกครึ่งเอลฟ์เบา ๆ เพื่อปลอบประโลมให้นางใจเย็นลง จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นมองหลัวจื้อเลี่ย “สั่วซีหย่าคือลูกสาวของท่านจริง ๆ และในอดีตท่านก็ทอดทิ้งสองแม่ลูกไปจริง ๆ หากท่านยังไม่เชื่อ ท่านสามารถพิสูจน์สายเลือดด้วยวิธีการเฉพาะตัวของเอลฟ์ได้เลย”
หลัวจื้อเลี่ยส่ายศีรษะเบา ๆ เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ จากนั้นเขาก็ยืนขึ้นและกล่าว “ข้าไม่สงสัยในตัวตนของสั่วซีหย่า ข้าเพียงรู้สึกผิดที่ทอดทิ้งสองแม่ลูกและทำให้แม่ของนางต้องตายไปพร้อมกับความทุกข์ใจ แม้แต่สั่วซีหย่าเองก็เกือบเผชิญชะตากรรมอันเลวร้าย เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะข้า…ข้าไม่มั่นใจเลยว่าสั่วซีหย่าจะยังต้องการเรียกข้าว่าพ่ออีก หรือยังต้องการเป็นลูกสาวของข้าอยู่หรือไม่…”
เวลานี้เขาทั้งกังวลใจและประหม่าอย่างมาก ไม่ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด เขาก็ลืมเลือนสั่วซีหย่าและมารดาไปอย่างแท้จริงและทอดทิ้งทั้งสองอย่างมิอาจให้อภัยได้ เขาไม่เคยทำหน้าที่ของบิดาและไม่คู่ควรที่จะเป็นบิดาด้วยซ้ำ หากสั่วซีหย่าไม่ต้องการยอมรับบิดาอย่างตน หลัวจื้อเลี่ยก็มิอาจคัดค้านได้เลย
“หากไม่ได้พบกับนายหญิง ข้าก็อาจไม่มีทางให้อภัยท่านได้ ทว่าหลังจากได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันกับนายหญิงในช่วงที่ผ่านมา ข้าก็เริ่มคลายใจในหลาย ๆ เรื่อง ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมิใช่เป็นเพราะความต้องการของท่าน เพราะฉะนั้นข้าจึงเต็มใจที่จะให้อภัยท่านและยอมรับท่านเป็นพ่อ หากท่านแม่ที่อยู่บนสรวงสวรรค์กำลังมองลงมาอยู่ ข้าเชื่อว่าท่านแม่ก็คงจะยินดีที่ข้าได้พบกับท่านและให้อภัยท่านเช่นนี้”
สั่วซีหย่ายิ้มบาง ๆ ขณะก้าวตรงเข้าไปหาหลัวจื้อเลี่ยและคุกเข่าลง น้ำตาใสไหลรินจากดวงตาของนางอย่างมิอาจควบคุมก่อนก้มลงกราบหลัวจื้อเลี่ยและกล่าวขึ้นเบา ๆ “ท่านพ่อ…”
ดวงตาของหลัวจื้อเลี่ยในตอนนี้ก็รื้นไปด้วยน้ำตาเช่นกัน เขาไม่คิดเลยว่าบุตรสาวที่พลัดพรากกันมานานจะสุภาพและน่าภาคภูมิใจถึงเพียงนี้
“เด็กดี…ลุกขึ้นเถอะ ลุกขึ้นเร็ว”
เขาเดินเข้าไปประคองสั่วซีหย่ายืนขึ้นและดึงร่างบุตรสาวเข้ามาในอ้อมกอดอันอบอุ่น หลัวจื้อเลี่ยตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าหลังจากนี้เขาจะชดใช้ทุกอย่างให้กับบุตรสาวผู้นี้และไม่มีทางปล่อยให้นางต้องทุกข์ทนเพราะสิ่งใดอีกต่อไป
“ทว่าข้าก็ยังสงสัยนัก…เหตุใดท่านจึงเชื่อวาจาของพวกเราอย่างไร้ข้อกังขาและมั่นใจว่าสั่วซีหย่าคือลูกสาวของท่านจริง ๆ ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวด้วยความฉงนสงสัยอย่างยิ่ง หลัวจื้อเลี่ยไม่มีท่าทีสงสัยในตัวพวกนางแม้แต่น้อย อีกทั้งเขายังเชื่อมั่นในตัวตนของสั่วซีหย่าและยอมรับนางอย่างง่ายดาย
“อาจเป็นเพราะครั้งแรกที่พบสั่วซีหย่า ข้ารู้สึกถึงความคุ้นเคยและความผูกพันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ความรักและสายใยของพ่อลูกนั้นตัดไม่ขาด นางเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของข้า ข้าจึงไม่สงสัยใด ๆ และถึงแม้ข้าจะจดจำเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตไม่ได้ ทว่าเมื่อได้ยินชื่อสั่วเชี่ยน ข้าก็รู้สึกคุ้นเคยและโหยหาอย่างประหลาด ทุกอย่างพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสิ่งที่พวกเจ้ากล่าวมาล้วนเป็นความจริง”
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเพียงใด สิ่งหนึ่งที่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงคือสายสัมพันธ์ทางสายเลือด สั่วซีหย่าคือบุตรสาวของเขาและหลัวจื้อเลี่ยรู้สึกได้โดยที่ไม่ต้องการหลักฐานพิสูจน์ใด ๆ อีก
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและเข้าใจความรู้สึกนี้ บิดาของนางเองก็ปฏิบัติต่อนางเช่นเดียวกับที่หลัวจื้อเลี่ยปฏิบัติต่อสั่วซีหย่า สายสัมพันธ์พ่อลูกนี้ชัดเจนอย่างไม่ต้องสงสัย
“สั่วซีหย่า ข้าต้องขอโทษเจ้าและแม่ของเจ้าจริง ๆ กับเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด”
หลัวจื้อเลี่ยกล่าวอย่างรู้สึกผิด
“ท่านพ่อ อย่าพูดเรื่องในอดีตเลยเจ้าค่ะ หากท่านแม่ทราบว่าท่านยอมรับข้าและเชื่อมั่นในตัวข้าเช่นนี้ ท่านแม่จะต้องมีความสุขมากเป็นแน่ ตอนนี้เราต้องหาทางเอาความทรงจำของท่านกลับคืนมาและฟื้นฟูความแข็งแกร่งของท่านให้กลับสู่ระดับสูงสุดอีกครั้ง ภรรยาคนปัจจุบันของท่านคิดร้ายต่อคนทั้งชนเผ่าเอลฟ์ แม้ข้าจะไม่มีความผูกพันกับชนเผ่าเอลฟ์และไม่ได้รู้สึกดีอะไรนัก ทว่าสุดท้ายแล้วข้าก็ไม่อยากให้ชาวเอลฟ์ต้องเผชิญกับเรื่องร้ายใด ๆ”
สั่วซีหย่ายิ้มและสีหน้ากลับคืนเป็นปกติตามเดิม ตอนนี้มิใช่เวลาสำหรับความรู้สึกอ่อนไหวของสองพ่อลูก วิกฤตของชนเผ่าเอลฟ์กำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ และเรื่องที่เร่งด่วนที่สุดในเวลานี้ก็คือการกอบกู้ความทรงจำที่หายไปของหลัวจื้อเลี่ยกลับคืนมา
นางมิได้รู้สึกดีต่อชนเผ่าเอลฟ์อย่างที่กล่าวไว้จริง ๆ ถึงอย่างไรชาวเอลฟ์ก็ทั้งทะนงตนและไม่ปรองดองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็ดูหมิ่นลูกครึ่งเอลฟ์และปฏิบัติดั่งทาสรับใช้ ต่อให้นางยอมรับหลัวจื้อเลี่ยเป็นบิดา นั่นก็มิได้หมายความว่าสั่วซีหย่าจะยินดีกลับคืนสู่ชนเผ่าเอลฟ์
แทนที่จะอยู่กับชาวเอลฟ์ที่ดูหมิ่นตน นางต้องการติดตามฉินอวี้โม่ต่อไปและฝ่าฟันอุปสรรคขวากหนามทุกอย่างไปด้วยกัน
หลัวจื้อเลี่ยก็ปรับอารมณ์อย่างรวดเร็วเช่นกันและกล่าวตอบ “ข้าพยายามนึกถึงเรื่องที่พวกเจ้ากล่าวไว้ก่อนหน้านี้ มีวัตถุชิ้นหนึ่งที่ตู้ซีรั่วให้ความสำคัญมากจริง ๆ มันคือจี้แม่กุญแจทองที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณ กล่าวกันว่ามันคือสมบัติตกทอดในตระกูลของนางซึ่งนางนำติดตัวมาด้วยเมื่อครั้งตบแต่งกับข้าและนางไม่เคยปล่อยให้มันคลาดสายตา หากความทรงจำที่ถูกช่วงชิงไปของข้าอยู่ที่นางจริง มีความเป็นไปได้สูงว่ามันจะอยู่ในจี้แม่กุญแจทองนั่น”
นี่คือสิ่งเดียวของตู้ซีรั่วที่หลัวจื้อเลี่ยเห็นแล้วว่านางหวงแหนมันอย่างที่สุดและยังเป็นของสิ่งเดียวที่นางไม่เคยยอมให้เขาแตะต้อง ยิ่งไปกว่านั้น ตู้ซีรั่วก็ห้อยมันไว้ติดลำคอตลอดเวลาโดยไม่ยอมให้คลายสายตาแม้เพียงเสี้ยวอึดใจ แน่นอนว่ามันต้องมิใช่สิ่งของธรรมดาอย่างแน่นอน
“ฮ่า ๆ ๆ ตอนนี้ตู้ซีรั่วก็บาดเจ็บพอดี มันถือเป็นโอกาสทองของเราแล้ว ตราบใดที่ท่านขโมยแม่กุญแจทองนั้นมาได้ เราก็สามารถหาทางปลดผนึกของมันและดึงเอาความทรงจำของท่านกลับคืนมาได้”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มอย่างมีความหวัง ในเมื่อตอนนี้ทราบแล้วว่าความทรงจำส่วนนั้นน่าจะซ่อนอยู่ที่ใด พวกนางก็สามารถเริ่มต้นแผนการที่เตรียมไว้ เพียงหลัวจื้อเลี่ยหาทางเอาจี้แม่กุญแจทองนั้นมาโดยที่ตู้ซีรั่วไม่รู้ตัวและคืนมันกลับให้นางในสภาพสมบูรณ์ ตู้ซีรั่วก็จะไม่นึกสงสัยอย่างแน่นอน
เมื่อความทรงจำของหลัวจื้อเลี่ยฟื้นฟูกลับมาโดยสมบูรณ์ เวลานั้นตัวตนที่แท้จริงของตู้ซีรั่วจะถูกเปิดโปงและวิกฤตที่เกิดขึ้นกับชนเผ่าเอลฟ์จะได้รับการคลี่คลาย
หลังจากนั้นทุกคนก็หารือกันพักใหญ่จนคิดหาทางออกได้ในที่สุด
หลังจากเตรียมแผนการต่าง ๆ หลัวจื้อเลี่ยก็เข้าใจถึงสิ่งที่ตนเองควรทำต่อไปและออกจากคฤหาสน์เฟิงหัวอย่างไม่รอช้า
ภายในห้องข้างนอกคฤหาสน์เฟิงหัว อสูรมายาทั้งหลายของฉินอวี้โม่ก็กำลังสนทนากันอย่างสบายใจ เพื่อมิให้ตู้ซีรั่วสงสัยสิ่งใด แน่นอนว่าพวกมันแสดงบทบาทอย่างแนบเนียน
สำหรับบทบาทการแสดงของพวกมันก็คือการเล่นในบทที่ฉินอวี้โม่และสั่วซีหย่าไม่ยอมรับว่าลงมือทำร้ายตู้ซีรั่วจริง อย่างไรก็ตาม หลัวจื้อเลี่ยไม่เชื่อวาจาของพวกนางแม้แต่น้อยและออกคำสั่งให้ทั้งสองกล่าวความจริงโดยเร็ว มิฉะนั้นเขาก็ไม่รังเกียจที่จะสังหารพวกนาง
หนึ่งในผู้พิทักษ์ที่ทำหน้าที่คุ้มกันหน้าประตูได้ยินบทสนทนาภายในห้องและกล่าวกับผู้พิทักษ์อีกคนก่อนปลีกตัวออกไป เขากลับมาประจำตำแหน่งเดิมอีกครั้งหลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป อย่างไรก็ตาม บทสนทนาที่เกิดขึ้นภายในห้องถูกส่งไปถึงหูของตู้ซีรั่วแล้ว
เมื่อหลัวจื้อเลี่ยกลับมา ตู้ซีรั่วก็ฟื้นขึ้นแล้วและอาการบาดเจ็บของนางก็ดีขึ้นเล็กน้อย
“ซีรั่ว แผลของเจ้าเริ่มดีขึ้นหรือไม่ ?”
หลัวจื้อเลี่ยยิ้มและเดินเข้าไปหาตู้ซีรั่วพร้อมกล่าวด้วยสีหน้าท่าทางเป็นห่วง
“โชคดีที่ข้าได้รับประทานอาหารดี ๆ มากมายกับสามีตลอดหลายปีที่ผ่านมาและข้าก็ไม่เคยหยุดฝึกปรือฝีมือ ร่างกายของข้าจึงแข็งแรงดี มิฉะนั้นเกรงว่าข้าคงไม่ได้พบหน้าสามีของข้าอีกแล้ว”
ตู้ซีรั่วพยายามลุกขึ้นและเอนพิงอ้อมแขนของหลัวจื้อเลี่ยขณะกล่าวด้วยน้ำตารื้น
เมื่อเห็นการกระทำของตู้ซีรั่ว หลัวจื้อเลี่ยก็รู้สึกเพียงว่าสตรีผู้นี้เป็นสตรีหน้าซื่อใจคดอย่างแท้จริง เห็นได้ชัดว่านางเป็นคนจิตใจชั่วช้าแค่ไหน ทว่ายังแสร้งแสดงว่าอ่อนแอเช่นนี้
“น้องซีรั่ว ไม่ต้องห่วง ข้าไปสืบสวนหาความจริงจากทั้งสามคนมาแล้วและพอจะได้เบาะแสหลายอย่าง”
เขาหยุดชั่วคราวก่อนกล่าวต่อ “สั่วซีหย่าผู้นั้นกล่าวว่าเป็นบุตรสาวของข้าซึ่งข้าทอดทิ้งนางและมารดาของนางไป มันเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี ข้ามีภรรยาเพียงคนเดียวก็คือเจ้า ไม่เคยมีใครอื่นใด แล้วเป็นไปได้อย่างไรที่ข้าจะมีบุตรสาวที่เติบโตเช่นนี้”
เพื่อทำให้ตู้ซีรั่วเชื่อวาจาของเขาโดยสมบูรณ์ หลัวจื้อเลี่ยจึงจำต้องกล่าวเช่นนี้ออกไป หลังจากดำเนินตามแผนการสำเร็จและได้ความทรงจำกลับคืนมา เขาจะไม่ปล่อยให้สตรีชั่วร้ายผู้นี้รอดไปได้อย่างแน่นอน
“พี่เลี่ย คนพวกนั้นชั่วร้ายยิ่งนักและยังกล้ากล่าววาจาโกหกพกลมเช่นนั้น ข้าว่าเราควรสังหารพวกนางโดยเร็ว ถึงอย่างไรสองคนในนั้นก็เป็นมนุษย์และอีกคนก็เป็นเพียงลูกครึ่งเอลฟ์ ต่อให้ท่านสังหารพวกนาง มันก็จะไม่เกิดปัญหาใด ๆ”
จิตสังหารฉายชัดในแววตาของตู้ซีรั่วโดยที่หลัวจื้อเลี่ยมองเห็นได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม หลัวจื้อเลี่ยไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ และเพียงพยักศีรษะอย่างเห็นด้วย
“น้องซีรั่ว ข้ามีวิธีการของข้า ตอนนี้เจ้าควรพักรักษาตัวก่อนและปล่อยให้เรื่องทุกอย่างเป็นหน้าที่ของข้า”
หลังจากกล่าวจบ เขาก็หยิบขวดลายครามขวดหนึ่งออกมา
“นี่คือโอสถที่น้องสาวของข้าให้ไว้เมื่อนานมาแล้ว มันมีสรรพคุณรักษาบาดแผลนับพันได้อย่างรวดเร็ว ข้าพบมันจากห้องลับในเรือนของเรา เจ้ากินมันหนึ่งเม็ดก่อนเถอะ ข้าจะได้วางใจ”
ตู้ซีรั่วไม่สงสัยเกี่ยวกับโอสถดังกล่าวแม้แต่น้อยและรับมันจากมือของหลัวจื้อเลี่ยก่อนกลืนลงไปโดยตรง
“น้องซีรั่ว นอนพักก่อนเถอะ ข้าจะคอยดูแลเจ้าเอง”
หลัวจื้อเลี่ยประคองตู้ซีรั่วนอนราบลงและห่มผ้าให้อย่างแผ่วเบาด้วยความรัก
ตู้ซีรั่วพยักศีรษะเบา ๆ และไม่นานนักนางก็หลับใหลไป
“จิ๊จิ๊จิ๊ นี่คือโอสถที่ข้าได้มาโดยบังเอิญซึ่งจะทำให้ผู้กินหลับลึกนานสามวันสามคืน หลังจากกินโอสถนี้ นางจะเข้าสู่สภาวะหลับใหลไม่รู้สึกตัว เดิมทีข้าตั้งใจจะเก็บมันไว้เพื่อคราวจำเป็นในอนาคต ไม่คิดเลยว่าจะต้องใช้มันกับสตรีผู้นี้”
ฉินอวี้โม่ปรากฏตัวขึ้นในห้องพร้อมรอยยิ้ม นางมาที่นี่พร้อมกับหลัวจื้อเลี่ยทว่าอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัว เมื่อเห็นตู้ซีรั่วกลืนกินมันตามแผนการ นางก็แอบรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
โอสถดังกล่าวคือสิ่งที่นางได้รับมาจากพี่ชายผู้ซึ่งกล่าวว่าหลอมมันได้โดยบังเอิญและมันล้ำค่าเป็นอย่างมาก ในตอนแรกฉินอวี้โม่ไม่คิดที่จะใช้มัน ทว่าเพื่อความปลอดภัยและความราบรื่นของแผนการ นางจำต้องใช้มันเพื่อกอบกู้ความทรงจำของหลัวจื้อเลี่ยกลับคืนมาให้ได้
หลัวจื้อเลี่ยถอดจี้แม่กุญแจทองจากลำคอระหงของตู้ซีรั่วและยื่นมันให้กับฉินอวี้โม่ทันที
หลังจากได้รับมันมา ฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลที่ไหลเวียนอยู่ในนั้นซึ่งถ่ายทอดมาสู่มือของตน สภาวะพลังที่อุดมสมบูรณ์เช่นนี้เหมาะสำหรับการเก็บความทรงจำอย่างแท้จริง
“โม่ฉือ เราต้องทำอย่างไรต่อไป ?”
ฉินอวี้โม่หันมองหานโม่ฉือข้างกายและกล่าวถามด้วยความสงสัย นางไม่เข้าใจวิธีการดึงเอาความทรงจำกลับคืนมามากนัก ในเมื่อหานโม่ฉือเคยได้ยินเกี่ยวกับมันมาก่อน เขาก็อาจทราบวิธีดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม หานโม่ฉือเพียงส่ายศีรษะเพื่อบ่งบอกว่าเขาไม่ทราบวิธีการหลังจากนี้
เมื่อเห็นหานโม่ฉือส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา ฉินอวี้โม่ก็มีใบหน้าอ้ำอึ้งอย่างพูดไม่ออกทันที หากไม่มีหนทางใด แล้วข้าจะเอาความทรงจำออกมาจากจี้แม่กุญแจทองนี้ได้อย่างไรกัน ?
.