หลังจากเดินทางยาวนานห้าวัน ในที่สุดฉินอวี้โม่และคณะก็มาถึงท้องฟ้าเหนือเกาะไร้กังวล
‘เกาะไร้กังวล’ แห่งนี้สมชื่ออย่างแท้จริง เมื่อมองลงไปจากบนท้องฟ้า ทุกคนก็มองเห็นภาพทิวทัศน์ภูเขาที่สวยงามและสายน้ำที่ชัดใส ทั่วทั้งเกาะปกคลุมไปด้วยม่านหมอกจาง ๆ ราวกับเป็นภาพลวงตาซึ่งให้ความรู้สึกดุจดั่งสวรรค์บนดิน
เกาะแห่งนี้ไม่ได้กว้างใหญ่นักและมีขนาดเท่ากับเมืองระดับสองเท่านั้น บนเกาะก็มีบ้านไม้จำนวนหนึ่งที่ปรากฏอยู่ซึ่งแต่ละหลังก็น่าจะมีเจ้าของจับจองอยู่
ยิ่งไปกว่านั้น สภาวะพลังภายในเกาะไร้กังวลอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่งและหนาแน่นยิ่งกว่าโลกภายนอกโดยที่ไม่ได้รับผลกระทบจากพลังความมืดแต่อย่างใด เพียงเท่านี้ก็พิสูจน์ให้เห็นถึงความลึกลับและความมหัศจรรย์ของเกาะแห่งนี้ได้อย่างชัดเจนแล้ว
หลังจากปล่อยให้ฉินเหยียนพักฟื้นอยู่ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตนเล็กน้อยก่อนปรากฏตัวขึ้นมาภายในเกาะไร้กังวล
พลังวิญญาณของทั้งสองแผ่ออกไปแต่ก็ไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยใด ๆ คาดว่าฉินเฟิงไม่ได้อยู่ในเกาะแห่งนี้และคนของฮวาเหยียนอวี่ก็คงจะยังมาไม่ถึงเช่นกัน
หลังจากเดินเข้าไปในเกาะเป็นเวลาพักใหญ่ ทั้งสองก็มาถึงลานกว้างที่ดูเรียบง่ายและมองเห็นดรุณีน้อยอายุประมาณสิบเอ็ดหรือสิบสองปีคนหนึ่งในชุดยาวสีเขียวสดใสนั่งอยู่ข้างในนั้นพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ประดับบนใบหน้า
ราวกับได้ยินเสียงฝีเท้าของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ เด็กสาวที่นั่งหันหลังให้ในตอนแรกก็ค่อย ๆ หันกลับมา
“พวกท่านมาจากโลกภายนอกหรือ ?”
เด็กสาวยืนขึ้นพร้อมเอ่ยถามเสียงหวานใสขณะมองตรงมาในทิศทางของทั้งสองและเผยให้เห็นลักยิ้มบุ๋มเล็ก ๆ ซึ่งดูน่ารักน่าชังอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ชะงักไปเล็กน้อยทันทีเมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างของเด็กสาวตรงหน้า นัยน์ตาของนางเป็นสีดำสนิทซึ่งไม่มีแววประกายใด ๆ แม้นางมองตรงมา ทั้งสองก็มิอาจสัมผัสได้ถึงสายตาที่จดจ่อมาที่ตนเอง แท้ที่จริงแล้วดรุณีน้อยผู้นี้ก็ตาบอดนี่เอง !
“ขอโทษด้วยที่ต้องรบกวน เราเป็นจอมยุทธ์จากแผ่นดินใหญ่ เรามาที่นี่เพื่อตามหาบางอย่าง”
ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นเบา ๆ เพื่ออธิบายโดยที่ยังไม่ถือวิสาสะเดินเข้าไป
“พี่ชาย พี่สาว ท่านทั้งสองเป็นคนดี”
แม้มองไม่เห็นคนตรงหน้า นางก็สัมผัสได้ถึงเนื้อแท้ของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือในทันทีขณะกล่าวพร้อมรอยยิ้มร่าและน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
“เจ้าทราบได้อย่างไรว่าเราทั้งสองเป็นคนดี ?”
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือหันมองหน้ากันและรู้สึกว่าเด็กสาวตรงหน้าแตกต่างไปจากเด็กทั่วไปคนอื่น ๆ นางน่าจะมีความลับบางอย่างซ่อนไว้เป็นแน่
“พี่สาว เข้ามานั่งพักข้างในก่อนเถอะ ที่นี่ไม่มีคนนอกเข้ามานานมากแล้ว ข้าอยากรู้จริง ๆ ว่าตอนนี้โลกภายนอกเป็นอย่างไร”
เด็กสาวเดินตรงมายังประตูรั้วทีละก้าว ๆ แม้ดวงตามองไม่เห็น ทว่าท่าทางของนางก็บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่านางไม่ได้รับผลกระทบจากสิ่งกีดขวางดังกล่าวแต่อย่างใดและก้าวเดินด้วยจังหวะที่มั่นคงอย่างยิ่ง
“ถ้าเช่นนั้นเราก็ขอรบกวนด้วย”
ฉินอวี้โม่ผลักเปิดประตูเข้าไปและจับมือเด็กสาวพร้อมตอบตกลง
หานโม่ฉือเดินตามเข้าไปเช่นกัน แม้เขาไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา แววตาของเขาก็แสดงให้เห็นถึงความเห็นใจไม่น้อย
“แม่สาวน้อย เจ้าอาศัยอยู่เพียงลำพังหรือ ?”
ขณะประคองเด็กสาวนั่งลง ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
“พี่สาว พี่ชาย เชิญดื่มชาก่อนเถอะเจ้าค่ะ”
เด็กสาวยิ้มกว้างขณะผายมือไปยังกาน้ำร้อนบนโต๊ะเพื่อเชิญให้ทั้งสองรินน้ำชาด้วยตัวเอง
“พี่สาว ท่านเรียกข้าว่าเฟยเฟยก็พอ ข้าเป็นเด็กกำพร้าและอยู่ตัวคนเดียวมาตลอดเจ้าค่ะ”
เด็กสาวแนะนำตัวเองเพียงสั้น ๆ
เฟยเฟย—เด็กสาวกำพร้าผู้ไม่ทราบว่าบิดามารดาของตนเป็นใคร นับตั้งแต่ปรากฏตัวในเกาะไร้กังวล นางก็ใช้ชีวิตอยู่อย่างลำพังมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม เพื่อนบ้านและมิตรสหายหลายคนในเกาะก็ช่วยดูแลนางเป็นอย่างดี การใช้ชีวิตของนางจึงไม่ยากลำบากจนเกินไป
แม้นางจะมองไม่เห็น ข้อจำกัดดังกล่าวก็ไม่ส่งผลกระทบต่อนางเท่าใดนัก เฟยเฟยมีพลังพิเศษในร่างกายซึ่งก็คือการแยกแยะคนชั่วและคนดีได้ตั้งแต่แรกพบ และนางสามารถระบุตำแหน่งสิ่งของได้อย่างแม่นยำรวมถึงเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ หลายคนทราบเกี่ยวกับความสามารถอย่างหลังของนาง ทว่าสำหรับพลังพิเศษที่สามารถแยกแยะคนดีคนชั่วออกจากกันนั้น มีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่ทราบเรื่องนี้
เฟยเฟยไม่ชอบคุยจ้อเท่าใดนัก ทว่าไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใด ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมีกลิ่นอายบางอย่างที่ทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายสบายใจและอดเอ่ยเชิญทั้งสองเข้ามาในบ้านของตนไม่ได้
“ข้ามีนามว่าฉินอวี้โม่ และนี่คือสามีของข้านามว่าหานโม่ฉือ เรามาจากนครล่าฝัน”
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือสบตากันอีกครั้งเพื่อยืนยันในความพิเศษเหนือธรรมดาของเด็กสาวตรงหน้า ทว่าทั้งสองไม่ไตร่ตรองมากนักและแนะนำตัวตนที่แท้จริงโดยไม่ปิดบัง
“นครล่าฝัน…มีนครเช่นนั้นอยู่ในแผ่นดินใหญ่ด้วยหรือ ?”
เด็กสาวเฟยเฟยขมวดคิ้วเล็กน้อยแสดงถึงความสงสัย นางได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับแผ่นดินใหญ่จากผู้นำเกาะไร้กังวลอยู่บ่อยครั้งทว่าไม่เคยได้ยินชื่อของนครล่าฝันมาก่อน
“มันคือขุมกำลังที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อไม่กี่ปีก่อน บางทีเจ้าอาจยังไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับมัน มันคือขุมกำลังที่ข้าและสหายอีกหลายคนจากดินแดนระดับต่ำร่วมกันสร้างขึ้นมา”
ฉินอวี้โม่อธิบายกับเฟยเฟยเพียงสั้น ๆ ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด เด็กสาวผู้นี้จึงทำให้นางรู้สึกเห็นใจอยู่ตลอดเวลา
“พี่สาวน่าทึ่งที่สุดเลย !”
เฟยเฟยยิ้มกว้างอย่างจริงใจและน้ำเสียงของนางก็แสดงความชื่นชมต่อฉินอวี้โม่อย่างชัดเจน
“พี่สาว…ท่านและพี่ชายเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร ? รอบเกาะไร้กังวลของเรามีม่านป้องกันอยู่และยากที่คนทั่วไปจะผ่านเข้ามาได้”
เมื่อนึกถึงบางอย่าง เฟยเฟยก็เอ่ยถามออกไปทันที
รอบ ๆ เกาะไร้กังวลมีม่านป้องกันที่ครอบคลุมทั่วทั้งเกาะอยู่ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากผู้นำเกาะ มันก็ยากที่คนนอกจะข้ามผ่านม่านป้องกันดังกล่าวและเข้ามาถึงที่นี่ได้ ก่อนหน้านี้เฟยเฟยยังไม่ทันนึกถึงเรื่องนี้ทว่าตอนนี้นางก็เริ่มนึกสงสัยขึ้นมา นางรู้สึกได้ว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเป็นคนดี เพราะเหตุนั้นทั้งสองคงจะไม่ใช้วิธีการที่ชั่วร้ายในฝ่าทะลวงผ่านม่านป้องกันเข้ามา
“ที่นี่มีม่านป้องกันอยู่ด้วยหรือ ?”
ฉินอวี้โม่ฉงนงุนงงยิ่งนัก ก่อนหน้านี้นางไม่สามารถสัมผัสถึงม่านป้องกันหรือข่ายอาคมใด ๆ และผ่านเข้ามาได้อย่างง่ายดาย หากสิ่งที่เฟยเฟยกล่าวมาเป็นความจริง เกรงว่าคนจากฝ่ายมารและเกาะวายุนิ่งอาจมาถึงที่นี่แล้ว เพียงแต่พวกเขาไม่สามารถเข้ามาได้เพราะม่านป้องกันดังกล่าว
“เฮ้ เฟยเฟยมีแขกอย่างนั้นรึ ?”
ขณะทั้งสามกำลังพูดคุยกันอยู่ เสียงของสตรีมีอายุคนหนึ่งก็ดังขึ้นมา
“ป้าอ้วน ท่านเอาอาหารมาให้ข้าอีกแล้วรึเจ้าคะ ข้าบอกแล้วว่าข้าสามารถทำอาหารกินเองได้”
เฟยเฟยยืนขึ้นต้อนรับสตรีผู้มาใหม่พลางกล่าวอย่างจนปัญญา
“โธ่ เจ้าหนูน้อยเอ๋ย มันเป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น มิได้ลำบากอะไร เพียงแต่ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะมีแขกอยู่ที่นี่ด้วย ดูเหมือนว่าข้าจะทำอาหารมาน้อยเกินไปเสียแล้ว”
สตรีวัยกลางคนที่ดูมีอายุประมาณสี่สิบปีผู้มีรูปร่างอ้วนท้วมเล็กน้อยและใบหน้าดูเป็นมิตรใจดีเดินเข้ามาพร้อมกล่องอาหารขนาดใหญ่ในมือซึ่งส่งกลิ่นโชยน่ารับประทานออกมา
อย่างไรก็ตาม ป้าอ้วนก็ไม่มีท่าทีเป็นปฏิปักษ์ใด ๆ ต่อฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเพียงเพราะทั้งสองเป็นคนนอก เพราะในหลายปีที่ผ่านมานี้ นางเป็นคนที่ดูแลเฟยเฟยอย่างใกล้ชิดมาตลอดและรับรู้ถึงความสามารถพิเศษของนาง สำหรับผู้ที่ได้รับการยอมรับจากเด็กสาวผู้นี้ นางเชื่อว่าจะต้องมิใช่คนเลวร้ายอย่างแน่นอน
“สวัสดีป้าอ้วนเจ้าค่ะ/ขอรับ”
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือกล่าวทักทายป้าอ้วนพลางถอนหายใจกับตัวเองด้วยความโล่งอกที่มีคนจริงใจอยู่ในเกาะไร้กังวลเช่นกัน
การที่เด็กสาวตาบอดเฟยเฟยสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้อย่างง่ายดายก็แสดงให้เห็นแล้วว่าคนที่นี่มีจิตใจที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง
“พวกเจ้ามาจากโลกภายนอกอย่างนั้นหรือ ?”
ป้าอ้วนวางกล่องอาหารลงบนโต๊ะก่อนหันไปมองฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
ถึงแม้ว่ารูปลักษณ์ของทั้งสองจะเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย มันก็ยังไม่สามารถปิดบังความสง่างามไร้ที่ติของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือได้เลย
“นี่เป็นครั้งแรกที่ป้าอ้วนได้พบกับหนุ่มสาวรูปงามอย่างพวกเจ้าทั้งสอง”
สตรีวัยกลางคนอดกล่าวชมอย่างจริงใจไม่ได้ นางใช้ชีวิตอยู่ในเกาะไร้กังวลแห่งนี้และได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ในแผ่นดินใหญ่มาพอสมควร เกาะไร้กังวลแห่งนี้ก็มีหนุ่มสาวรูปงามดูดีจำนวนไม่น้อย ทว่าไม่มีผู้ใดที่เทียบฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือตรงหน้าได้เลย ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือราวกับเป็นเทพเซียนที่ปรากฏอยู่ในนิยาย เพียงแค่ได้พบหน้าก็ยากที่ผู้ใดจะละสายตาออกไปได้
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือยิ้มตอบอย่างจริงใจ ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใด การได้รับคำชมจากป้าอ้วนผู้นี้จึงให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากคนอื่น ๆ ในโลกภายนอก
“ข้าจะเตรียมอาหารเพิ่มเติมและนำมาให้เจ้าทั้งสองในภายหลัง”
หลังจากพูดคุยกับทั้งสองอย่างเข้ากันได้ดี ป้าอ้วนก็กล่าวด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
“ป้าอ้วนไม่ต้องลำบากเลยเจ้าค่ะ เราจะเตรียมอาหารรับประทานเองเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่จับมือป้าอ้วนไว้เนื่องจากไม่ต้องการรบกวนนางอีกต่อไป
“ไม่ลำบาก ไม่ลำบากเลย”
ป้าอ้วนส่ายศีรษะเบา ๆ และรู้สึกได้ว่าการพูดคุยกับฉินอวี้โม่ผู้นี้เป็นความสุขใจไม่น้อย
“อีกอย่าง…เจ้าทั้งสองยังไม่ได้พบกับผู้นำเกาะ ไม่ว่าจะมาจากที่ใด หากพวกเจ้าอยากพักอาศัยอยู่ในเกาะต่อไป พวกเจ้าก็ควรไปพบกับผู้นำเกาะก่อน”
เมื่อนึกถึงบางอย่างขึ้นได้ นางก็เอ่ยย้ำเตือนฉินอวี้โม่
เกาะไร้กังวลเป็นเกาะลับที่ไม่เปิดให้คนนอกเข้ามา แม้ไม่ทราบว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร ทว่าหากคนนอกต้องการอาศัยอยู่ที่เกาะแห่งนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องพูดคุยกับผู้นำเกาะอย่างเป็นกิจจะลักษณะเสียก่อน
“ขอบคุณท่านป้าที่ย้ำเตือนเจ้าค่ะ เราทราบเรื่องนี้แล้ว”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะก่อนกล่าวโน้มน้าวอีกหลายประโยคเพื่อมิให้ป้าอ้วนลำบากไปเตรียมอาหารให้ตนอีก
สตรีวัยกลางคนยืนขึ้นและกล่าวร่ำลา จากนั้นฉินอวี้โม่ก็หยิบของบางอย่างมาจากในคฤหาสน์เฟิงหัว ด้วยระดับพลังของนางและหานโม่ฉือในตอนนี้ ต่อให้ไม่รับประทานอาหารนานสิบเดือนครึ่ง มันก็ไม่ส่งผลกระทบใดๆ อย่างไรก็ตาม นางก็ไม่ต้องการทำตัวแปลกแยกแตกต่างจากคนธรรมดาจนเกินไป
“เฟยเฟย ลองชิมสิ่งที่เรานำมาด้วยสิ”
นางหยิบผลไม้วิญญาณและขนมขบเคี้ยวบางอย่างจากโลกภายนอกยื่นให้กับเด็กสาวพร้อมเชิญชวนให้ลองลิ้มรส
“ง่ำ ๆ~ ว้าวว~ อร่อยจังเลย ข้าไม่เคยกินของอร่อยแบบนี้มาก่อน”
เฟยเฟยกัดคำเล็ก ๆ และใบหน้าแสดงถึงความสุขอย่างเต็มเปี่ยมจนทั้งฉินอวี้โม่และหานโม่ฉืออดรู้สึกเอ็นดูไม่ได้
“พี่สาว พี่ชาย ท่านทั้งสองลองชิมอาหารของเราเถอะ อาหารฝีมือป้าอ้วนอร่อยมาก”
เฟยเฟยเปิดกล่องอาหารขึ้นมาและเผยให้เห็นอาหารสองชนิด ซุปถ้วยหนึ่งและข้าวหนึ่งชามก่อนชวนฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือลิ้มรสมันในขณะที่ตนทานอาหารที่ได้จากฉินอวี้โม่ต่อไป
ทั้งสองก็ไม่ปฏิเสธและลองชิมอาหารท้องถิ่นของที่นี่ดู และก็เป็นดังที่คิดไว้จริง ๆ อาหารในเกาะไร้กังวลมีสภาวะพลังที่เข้มข้นมาก แม้แต่เมล็ดข้าวธรรมดา ๆ ทั่วไปก็มีพลังงานที่หนาแน่น หากจอมยุทธ์จากโลกภายนอกได้ทานอาหารเหล่านี้เป็นประจำทุกวัน ความเร็วในการฝึกยุทธ์ของพวกเขาจะเร็วขึ้นหลายเท่าตัว
ตอนนี้ทั้งสองมั่นใจแล้วว่าบุปผาแห่งแสงที่ตามหาจะต้องอยู่ที่เกาะไร้กังวลแห่งนี้จริง ๆ อย่างไรก็ตาม หากต้องการทราบสถานการณ์ที่แน่ชัด พวกนางก็ยังต้องไปพบผู้นำเกาะก่อน
หลังจากรับประทานเสร็จสิ้น เฟยเฟยก็นำทางฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือไปพบผู้นำเกาะไร้กังวล
ผู้คนมากมายที่พบหน้าระหว่างทางล้วนกล่าวทักทายฉินอวี้โม่และหานโม่ฉืออย่างกระตือรือร้น เมื่อบุรุษและสตรีได้พบหน้าของคนทั้งสอง ใบหน้าของพวกเขาเหล่านั้นก็แดงระเรื่อขึ้นมาเสียง่าย ๆ
ฉินอวี้โม่ถอนหายใจเบา ๆ ให้กับตัวเอง เกาะไร้กังวลแห่งนี้เปรียบดั่งสวรรค์บนดินอย่างแท้จริง ประชากรที่นี่ใช้ชีวิตอย่างสบายและไร้ความกังวลส่งผลให้ทั้งพวกเขาเองและคนนอกอย่างนางสบายใจไปด้วย
ในเวลานี้ นางก็แอบตัดสินใจอย่างหนักแน่นกับตนเอง นางจะไม่ยอมให้ฝ่ายมารเข้ามารบกวนความสงบสุขของเกาะไร้กังวลแห่งนี้เด็ดขาด เพราะเหตุนั้น แผนการเดิมที่จะจับปลาในน้ำขุ่นจึงจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
* 浑水摸鱼 จับปลาในน้ำขุ่น ความหมายคือ ผู้ที่ฉวยโอกาสขณะเกิดเหตุการณ์ชุลมุน
ในขณะที่พูดคุยกันอย่างสบาย ๆ นั้น ในที่สุดทั้งสามก็มาถึงหน้าลานที่พักที่ใหญ่ที่สุดของเกาะไร้กังวล ข้างหลังของพวกนางก็มีผู้ที่สงสัยใคร่รู้หลายคนที่เดินตามมาเช่นกัน