ตอนที่ 428 แข่งทำนายกับอิ๋งจื่อจินเหรอ หาเรื่องใส่ตัว
จงมั่นหวามือสั่น ทำโทรศัพท์ตกลงบนพื้น
พยาบาลที่อยู่ในสายยังคงพูดต่อ “ฮัลโหล ฮัลโหล คุณนายอิ๋งยังฟังอยู่ไหมคะ”
“อาการคุณอิ๋งไม่สู้ดีนัก ถ้าไม่มีญาติมาเซ็นชื่อ พวกเราไม่กล้าทำการผ่าตัดใหญ่ให้ค่ะ ช่วยมาให้เร็วที่สุดนะคะ ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือค่ะ”
สายตาของจงมั่นหวาแน่นิ่ง ยังไม่ได้สติกลับมา
ผ่านไปสักพักเธอถึงคว้ากระเป๋าแล้วรีบร้อนออกไป
มืออีกข้างถือโทรศัพท์มือถือ กดโทรหาอิ๋งเทียนลี่ว์ พูดเสียงสั่น “ทะ เทียนลี่ว์ พ่อ…พ่อของลูกเกิดเรื่องแล้ว ตอนนี้ยื้อชีวิตอยู่ที่โรงพยาบาล แม่ขอร้องล่ะ มาดูพ่อหน่อยนะ”
…
สิบห้านาทีต่อมาที่โรงพยาบาลอันดับหนึ่ง
ไฟของห้องฉุกเฉินยังคงสว่างอยู่
มีหมอคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านใน สวมหน้ากากปิดปาก ศีรษะมีแต่เหงื่อ
“คุณหมอคะ เกิดอะไรขึ้นกับสามีฉันเหรอคะ” จงมั่นหวารีบเข้าไปถามด้วยความร้อนใจ “ทำไมอยู่ๆ เขาก็หมดสติไปคะ”
พอได้ยินแบบนี้หมอก็หันมามองเธอ
บรรดาหมอของโรงพยาบาลอันดับหนึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้รู้สึกดีต่อตระกูลอิ๋งเท่าไร
แต่ช่วยไม่ได้ หน้าที่ของหมอคือต้องช่วยชีวิตคน
ต่อให้ไม่ชอบตระกูลอิ๋งอย่างไรก็ต้องรักษาให้
“ผู้ป่วยหมดสติเพราะเหน็ดเหนื่อยเกินไป เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอครับ” หมออธิบาย “แต่เมื่อครู่พวกเราตรวจดูแล้วพบความผิดปกติที่ตับกับส่วนปอดของผู้ป่วย จำเป็นต้องผ่าตัดทันทีครับ”
ร่างกายของจงมั่นหวาโงนเงน ไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน “ตับกับส่วนปอดเหรอคะ”
อิ๋งเจิ้นถิงออกกำลังกายมาตลอด ร่างกายก็ไม่เคยมีปัญหา แถมยังตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี
ครั้งล่าสุดที่ตรวจสุขภาพก็ตอนวันหยุดหน้าหนาว
นี่ก็เพิ่งจะผ่านมานานเท่าไรเอง
ทำไมอยู่ๆ ก็มีปัญหาที่ตับกับปอดได้
“สภาพจิตใจสำคัญมากครับ” หมอพูดต่อ “โรคบางอย่างเกิดจากสภาพจิตใจ เคยได้ยินไหมครับว่ามีคนไข้มะเร็งมีชีวิตอยู่ได้นานขึ้นเพราะสภาพจิตใจดี”
พอเขาพูดจบก็ไม่สนใจอีกว่าจงมั่นหวามีสีหน้าอย่างไร ไปห้องชำระล้างแล้วรีบกลับมาเข้าห้องฉุกเฉินอีกครั้ง
จงมั่นหวารออยู่ด้านนอก ยิ่งรอหน้าก็ยิ่งซีด
ตอนที่อิ๋งเทียนลี่ว์มาถึงโรงพยาบาลอันดับหนึ่ง อิ๋งเจิ้นถิงก็พ้นขีดอันตรายเป็นการชั่วคราวแล้ว ถูกย้ายออกจากห้องฉุกเฉินไปยังห้องพักผู้ป่วยอาการหนัก
หลังจากที่เขาฟังอาการในตอนนี้ของอิ๋งเจิ้นถิงจากหมอเสร็จก็รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย
ภาวะตับวายเฉียบพลัน
อิ๋งเจิ้นถิงอยู่ในวัยกลางคน อยู่ๆ อวัยวะจะเสื่อมได้อย่างไร
อิ๋งเจิ้นถิงเป็นเสาหลักของตระกูลอิ๋ง พอเขาล้มป่วย จงมั่นหวาก็ตื่นตระหนก “เทียนลี่ว์ ทำไงดี ถ้าพ่อของลูกไม่ฟื้นจะทำยังไง”
อิ๋งเทียนลี่ว์ไม่ตอบคำถามนี้ แต่ขมวดคิ้ว “ผมเพิ่งถามหมอมา หมอบอกว่าอาจเป็นการติดเชื้อ”
“ติดเชื้อเหรอ” ร่างกายของจงมั่นหวาโงนเงนอีกครั้ง “พ่อของลูกอยู่ที่บริษัทตลอด จะติดเชื้อได้ยังไง”
“ผมจะไปตรวจสอบดู” อิ๋งเทียนลี่ว์เม้มปากแน่น ทันใดนั้นก็พูดขึ้น “แม่ครับ ผมอยากถามหน่อย จนถึงตอนนี้แม่ยังไม่สำนึกผิดอีกเหรอครับ ยังไม่คิดว่าตัวเองทำผิดอีกเหรอ”
“คราวก่อนแม่ไปขอร้องจื่อจินเพราะอาการป่วยของคุณย่า ทั้งยังขอโทษเธอ แม่ทำจากใจจริงหรือเปล่า แน่ใจนะครับว่าไม่ได้อ้างเรื่องศีลธรรมไปบีบบังคับเธอ เมื่อไรแม่ถึงจะคิดได้ครับ”
เขามองออกนานแล้ว จงมั่นหวาจะทำแบบนั้นได้ก็ต่อเมื่อมีผลประโยชน์
จิตใจฉาบฉวย
น่าตลกสิ้นดี
พอพูดชื่ออิ๋งจื่อจิน สีหน้าของจงมั่นหวาก็เย็นชาลง “แม่ทำไม่ผิดหรอก เรื่องที่แม่ทำผิดพลาดที่สุดก็คือการไปรับเธอกลับมา”
“ไม่สู้ลูกลองคิดดูนะ พอเธอกลับมา บ้านเราเกิดเรื่องตั้งเท่าไร”
อิ๋งเทียนลี่ว์ได้ยินแบบนี้ก็รู้ว่าเขาพูดไปก็ไม่มีประโยชน์
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก โมโหจนหัวเราะ “แม่โทษทุกเรื่องไปที่จื่อจินเหรอครับ เธอเป็นที่ระบายอารมณ์ของแม่เหรอครับ”
จงมั่นหวาไม่ตอบ เห็นได้ชัดว่ายอมรับ
อิ๋งเทียนลี่ว์หุบยิ้ม “แม่ครับ ผมยังจะเลี้ยงดูพ่อกับแม่ไปจนแก่ แต่ผมไม่มีทางให้อภัย ไม่มีทางตลอดกาล”
จงมั่นหวาสีหน้าเปลี่ยน เธออ้าปากกำลังจะพูดแต่ถูกอิ๋งเทียนลี่ว์ขัดจังหวะ
“คุณตาอายุมากแล้ว แม่ไม่ไปดูแล ผมยังต้องกลับไปดูแลท่านอีก” อิ๋งเทียนลี่ว์พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชามาก “แม่ต้องการแค่ลูกเลี้ยงของแม่ ผมอยู่ตรงนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร กลับก่อนนะครับ”
เขาไม่มองจงมั่นหวาอีก เดินออกจากห้องพักผู้ป่วย
เวลานี้จงมั่นหวานึกเสียใจ
เธออยากคืนดีกับอิ๋งเทียนลี่ว์ แต่เพราะศักดิ์ศรีค้ำคออยู่ ถึงได้พูดจาแรงๆ ตามความเคยชิน
ผู้เฒ่าจงไม่ไยดีเธอ เธอไปบ้านตระกูลจงก็มีแต่จะถูกด่า ย่อมไม่อยากไป
“คุณนายอิ๋งครับ รบกวนตามมาหน่อยครับ” หมอเจ้าของไข้เคาะประตูห้องพักผู้ป่วยเบาๆ “มีใบผ่าตัดที่ต้องให้คุณเซ็นครับ”
จงมั่นหวาได้สติกลับมา เดินหน้าซีดออกไป
พยาบาลสองคนเดินเข้ามา
“ฉันว่ากรรมตามสนองครอบครัวนี้” พยาบาลคนหนึ่งเปลี่ยนขวดน้ำเกลือให้อิ๋งเจิ้นถิงพลางแอบซุบซิบ “บีบบังคับให้ลูกสาวแท้ๆ บริจาคเลือด ตอนนี้ตัวเองก็เลยล้มป่วยไง”
“ฉันว่าอีกไม่นานคุณนายอิ๋งก็ต้องป่วยตามไป”
มนุษย์กระทำ สวรรค์มองดูอยู่
ทำบาปต้องรับกรรม
เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
“สถานที่ทำงาน แยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวด้วย ห้ามพูดแบบนี้” พยาบาลอีกคนหน้านิ่วมองเธอ “ถ้าหัวหน้าพยาบาลได้ยินเดี๋ยวได้หักเงินเดือนเธอหนึ่งเดือนหรอก”
พยาบาลคนนั้นจึงไม่กล้าพูดต่อ
เธอยกถาดยาเดินออกจากห้องพักผู้ป่วย
…
โลกจอมยุทธ์
บ้านตระกูลเซี่ย
เด็กหนุ่มนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าหล่อเหลา เครื่องหน้าคมชัด
แต่สีหน้ากลับซีดเหมือนกระดาษ แม้แต่ริมฝีปากก็ไม่มีสีเลือดเลยสักนิด ร่างกายก็เย็นเฉียบจนน่ากลัว ตรงหน้าอกแทบไม่เห็นแรงกระเพื่อม
ถ้าไม่ใช่เพราะเขายังมีลมหายใจอันแผ่วเบาก็ไม่ต่างจากคนตาย
ตรงส่วนหัว บ่า และแขนขาทั้งสี่ของเขามีเข็มทองห้าเล่มปักอยู่ เข็มทองสั่นเล็กน้อย
ภายในห้องยังมีคนอื่นอีกสามคน
หนึ่งในนั้นเป็นผู้อาวุโสเคราขาว คิ้วกับผมของเขาก็เป็นสีขาวเหมือนกัน
“ผู้อาวุโสใหญ่คะ” คุณนายหวาเหม่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างเช็ดน้ำตาแล้วเอ่ยขึ้น “ช่วยบอกได้ไหมคะว่าอาอวี้จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน”
ผู้อาวุโสใหญ่ลูบเครา คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น “ถ้ายังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ ต่อให้ยังมีสมุนไพรก็อยู่ได้ไม่เกินสามเดือนแล้ว”
พอได้ยินแบบนี้สีหน้าของคุณนายหวาเหม่ยก็ซีดลง แทบเป็นลมหมดสติ
เธอสะอื้นไห้ “เวรกรรม เวรกรรมจริงๆ ทำไมอาอวี้ถึงได้มีเคราะห์แบบนี้”
“แม่ครับ มีโอกาส ยังมีโอกาส” เซี่ยเฟิงประคองคุณนายเซี่ย “ขอแค่ผมพาคุณหนูตระกูลอิ๋งคนนั้นที่ผู้อาวุโสใหญ่ทำนายไว้กลับมาได้ก็จบแล้ว”
“ไหนลูกว่าเธออาจจะตายไปแล้วไง” คุณนายเซี่ยเช็ดน้ำตา “ตายไปแล้วจะแต่งกันได้ยังไง”
ถ้าเป็นเมื่อก่อนคุณนายเซี่ยไม่มีทางให้เซี่ยอวี้แต่งงานกับคนธรรมดา
อย่าว่าแต่คนธรรมดาเลย แม้แต่ลูกสาวของตระกูลจอมยุทธ์อื่นเธอก็ไม่ถูกใจ
มีแค่หลินชิงจยาเท่านั้นที่เข้าตาเธอ
แต่ช่วยไม่ได้ ตอนนี้เซี่ยอวี้ใกล้หมดลมหายใจเต็มที
เซี่ยเฟิงมองผู้อาวุโสใหญ่ “รบกวนผู้อาวุโสใหญ่ช่วยทำนายอีกครั้ง ดูว่าเธออยู่ที่ไหนของยุโรป ยังมีชีวิตอยู่ไหม”
ขอแค่มีชีวิตอยู่ก็จะต้องกลับประเทศแน่นอน
เขาสามารถพาเธอมาโลกจอมยุทธ์ได้ในไม่ช้าก็เร็ว
ต่อให้อิ๋งจื่อจินไม่อยากแต่งกับเซี่ยอวี้ก็จำต้องแต่ง
ผู้อาวุโสใหญ่พยักหน้า
คุณนายเซี่ยก็กลับมามีความหวังอีกครั้ง
ผู้อาวุโสใหญ่หยิบเหรียญทองแดงออกมาเก้าเหรียญ วางที่ปลายเท้าตามลำดับ
จากนั้นเหรียญทองแดงก็ค่อยๆ ลอยขึ้นภายใต้การควบคุมของกำลังภายใน
เซี่ยเฟิงมอง อดชื่นชมไม่ได้ “ฝีมือพยากรณ์ของผู้อาวุโสใหญ่สุดยอดจริงๆ นะครับ”
ถึงแม้ผู้อาวุโสใหญ่จะไม่ใช่คนตระกูลเซี่ยแต่แรก แต่ก็นั่งในตำแหน่งนี้อย่างมั่นคง
และก็เพราะไม่เพียงแต่เขาจะทำนายโชคชะตาได้ วิทยายุทธ์ก็แก่กล้า
คนแบบนี้มีน้อยเสียยิ่งกว่าคนที่เป็นทั้งจอมยุทธ์และแพทย์แผนโบราณ
อย่างไรเสียคนที่มีพรสวรรค์ในการทำนายดวงชะตาก็มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ก็เจอแค่ผู้อาวุโสใหญ่คนเดียว
อีกทั้งผู้อาวุโสใหญ่ยังรู้จักหลบหลีกเคราะห์ภัย เขาทำนาย แต่ตัวเองจะไม่แทรกแซง ต่อให้ผลลัพธ์เปลี่ยนก็ไม่ได้เป็นเพราะเขาแก้ไข ด้วยเหตุนี้บทลงโทษที่ได้รับจึงมีเพียงน้อยนิด
อีกทั้งยังมีกำลังภายใน เขาถึงได้อายุยืนกว่านักพยากรณ์ทั่วไป
ตระกูลเซี่ยจึงเป็นตระกูลจอมยุทธ์เพียงตระกูลเดียวที่ไม่ต้องติดต่อข้องเกี่ยวกับตระกูลตี้อู่
มีผู้อาวุโสใหญ่อยู่ก็เพียงพอแล้ว
เซี่ยเฟิงจ้องเหรียญทองแดงทั้งเก้าที่พลิกไปมา สัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาล เขาถอยหลังไปเล็กน้อย
เขาเคยได้ฟังผู้อาวุโสใหญ่เล่าถึงวิธีทำนายแบบนี้ คนทั่วไปจะดูไม่รู้เรื่อง
เรียกว่า การทำนายด้วยเงิน
นักพยากรณ์ทั่วไปอย่างมากสุดก็ใช้แค่สามเหรียญทองแดง
เก้าเป็นจำนวนมากสุด เมื่อใช้จำนวนเหรียญทองแดงถึงเก้าเหรียญก็จะสามารถพยากรณ์ได้มากขึ้น
ผู้อาวุโสใหญ่หลับตา มือก็อยู่ในท่านับ
หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที…เวลาค่อยๆ ผ่านไป
เมื่อถึงวินาทีที่แปดสิบเอ็ด เหรียญทองแดงทั้งเก้าก็หยุดเคลื่อนที่ หยุดนิ่งในชั่วขณะ!
ในเวลาเดียวกัน
อิ๋งจื่อจินที่กำลังนอนดูดาวอยู่ในลานบ้านก็เงยหน้าขึ้น
เก็บสีหน้าเรื่อยเปื่อย หรี่ตาลง