ตอนที่ 464 สงสัยในชาติกำเนิด ทรมานคนชั่ว
เนื่องจากอิ๋งเจิ้นถิงทำเรื่องสกปรกโสมมไว้มากมาย ทำให้พออิ๋งเทียนลี่ว์เห็นคำว่า ‘ผลตรวจดีเอ็นเอ’ ก็รู้สึกเครียดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ตู้เซฟตู้นี้แทบจะถูกทิ้งร้างเอาไว้ ถูกโยนไว้ด้านในสุดของห้องเก็บของที่อยู่ในห้องทำงานประธาน
นานแล้วที่ไม่มีคนใช้งาน ถึงขั้นที่แม้แต่กุญแจก็หายไป
อิ๋งเทียนลี่ว์เปิดได้ก็เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย
เพราะเขาค่อนข้างระมัดระวัง กลัวว่าในนี้จะมีของอย่างอื่น
อิ๋งเทียนลี่ว์เอาเอกสารอื่นๆ วางไว้ด้านข้างแล้วหยิบผลตรวจดีเอ็นเอฉบับนี้ขึ้นมาเปิดดู
หน้าแรกเขียนข้อมูลสำคัญเอาไว้
[เกี่ยวกับผลพิสูจน์ความเป็นพ่อลูกระหว่างอิ๋งเจิ้นถิงและอิ๋งจื่อจิน]
อิ๋งเทียนลี่ว์คิดว่านี่น่าจะเป็นผลตรวจดีเอ็นเอที่ตระกูลอิ๋งไปตรวจหลังจากเจียงมั่วหย่วนพาอิ๋งจื่อจินกลับมาที่ฮู่เฉิง
ไม่ต่างจากครอบครัวเศรษฐีตระกูลอื่น ตระกูลอิ๋งก็ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ทางสายเลือดเช่นกัน
หากไม่มีผลตรวจดีเอ็นเอ ต่อให้หน้าตาเหมือนกันก็ไม่มีทางรับกลับมา
อิ๋งเทียนลี่ว์เปิดอ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงหน้าสุดท้ายที่เป็นผลวิเคราะห์และผลพิสูจน์ แต่กลับพบว่าไม่มี
เขาอดอึ้งไปไม่ได้
ทำไมถึงเป็นหน้าเปล่า
เขาขมวดคิ้ว มองตรงลวดเย็บกระดาษ แต่ก็ไม่พบร่องรอยถูกแงะ
นี่มันจะแปลกเกินไปแล้ว
อยู่ๆ อิ๋งเจิ้นถิงจะเอาเอกสารตรวจดีเอ็นเอที่ไม่สมบูรณ์ฉบับนี้มาไว้ในห้องทำงานทำไม
ชั่วขณะนั้นอิ๋งเที่ยนลี่ว์คิดไปต่างๆ นานา
อันที่จริงถ้าสังเกตให้ดีๆ ถึงแม้อิ๋งจื่อจินจะหน้าตาคล้ายเขา แต่รูปลักษณ์ดีกว่าทุกคนในตระกูลอิ๋ง
กรุ๊ปเลือดของเธอก็มีความพิเศษมาก
แตกต่างจากอิ๋งลู่เวย อิ๋งลู่เวยเป็นโรคฮีโมฟีเลียและมีกรุ๊ปเลือดพิเศษ โรงพยาบาลที่ตรวจบอกว่าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม อีกทั้งคุณนายผู้เฒ่าอิ๋งเคยได้รับรังสีบางอย่างขณะที่ตั้งท้องอิ๋งลู่เวย ทำให้สุขภาพไม่ดี
แต่อิ๋งจื่อจินไม่ใช่
เธอมีกรุ๊ปเลือดนี้
เลือดสีทอง ล้ำค่ามาก ช่วยได้ทุกคน
อิ๋งเทียนลี่ว์มองผลตรวจดีเอ็นเอฉบับนี้ จมอยู่ในห้วงความคิด
ผ่านไปนานเขาถึงได้สติกลับมาแล้วส่ายหน้า
ไม่ว่าอย่างไรอิ๋งจื่อจินก็เป็นน้องสาวของเขา
เรื่องอื่นไม่สำคัญแล้ว
อิ๋งเทียนลี่ว์ไม่สนใจผลตรวจดีเอ็นเอฉบับนี้อีก เขาเอามันรวมกับเอกสารอื่นๆ ที่ไม่ใช้แล้ว จากนั้นเอาใส่เครื่องทำลายเอกสาร
…
ณ เมืองตี้ตู
จิ่งหงเจินไม่เคยคาดคิดว่าตัวเองจะถูกจับ
อีกทั้งเธอยังตั้งใจพรางตัว และก็ไม่ได้ไปที่สนามบิน
ตระกูลจิ่งหายสาญสูญไปสามสิบกว่าปี แต่จิ่งหงเจินก็ยังมีคนรู้จักอยู่บ้างคนสองคน
หนึ่งในนั้นช่วยพาเธอข้ามชายแดนได้
แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนั้นเธอก็ยังผ่านด่านตรวจของประเทศจีนออกไปไม่ได้ และไม่เห็นว่าคนที่จับเธอเป็นใคร
จิ่งหงเจินถูกขังอยู่ในห้องสอบสวนที่ปิดมิดชิดมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว
ครั้งแรก สมองของเธอสะลึมสะลือ หูอื้อไปหมด
เธอมีความเคลื่อนไหวอยู่ในฮู่เฉิงมานานขนาดนี้ ทั้งยังแอบทำเรื่องสกปรกมาตลอด
ถ้าเธอถูกจับได้ก็ควรถูกจับตั้งแต่คราวก่อนที่อิ๋งเทียนลี่ว์ประสบอุบัติเหตุแล้วหรือเปล่า
แต่กลับไม่มี
ในขณะที่จิ่งหงเจินกำลังจะสติแตกคลุ้มคลั่ง ประตูห้องสอบสวนก็ถูกเปิดออก
แสงไฟสาดส่องเข้ามา เธอเงยหน้ามองไป ดวงตาเบิกโพลง “แก!”
อิ๋งจื่อจินสองมือล้วงกระเป๋า มองจิ่งหงเจิน ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
“อิ๋งจื่อจิน แกอยากทำผิดกฎหมายเหรอ” จิ่งหงเจินขมวดคิ้ว แสยะยิ้ม “แกจับฉันมาหมายความว่าไง”
เธอโยกย้ายทรัพย์สินของตระกูลอิ๋งด้วยความระมัดระวัง ต่อให้เอามาวางตรงหน้าก็ไม่มีที่ทำผิดกฎหมาย
ส่วนเรื่องอื่นน่ะเหรอ
เธอไม่เคยปรากฏตัว ไม่มีหลักฐานว่าเธอเป็นคนทำ มีสิทธิ์อะไรมาจับเธอ
ไม่มีคนตอบ
อวิ๋นซานวิ่งยกเก้าอี้เข้ามาวางลง “เชิญนั่งครับคุณอิ๋ง”
จากนั้นเขาก็กำมือคารวะ “คุณชาย หน่วยอีจื้ออนุมัติเอกสารลงมาแล้วครับ เย็นนี้ย้ายตัวไปที่คุกนักโทษอุกฉกรรจ์ได้เลยครับ”
เรือนจำนักโทษอุกฉกรรจ์ อิ๋งลู่เวยยังรับโทษอยู่ในนั้น
แบบที่ว่าอยากตายก็ตายไม่ได้
จิ่งหงเจินสีหน้าเปลี่ยนไปมาก “ฟู่อวิ๋นเซิน!”
ฟู่อวิ๋นเซินประธานโซนเอเชียแปซิฟิกของวีนัสกรุ๊ปทำไมมีอำนาจแบบนี้ด้วย
สามารถเอาเธอเข้าคุกนักโทษอุกฉกรรจ์ได้หน้าตาเฉยเลยเหรอ
“อืม” ฟู่อวิ๋นเซินเหลือบตาขึ้น ไม่ได้มองจิ่งหงเจิน เขาพูดแค่ว่า “ติดต่ออิ๋งเจิ้นถิง”
อวิ๋นซานรับทราบ
เขาเอาไอแพดออกมาวางตรงหน้าจิ่งหงเจิน กล้องก็ปรับให้อยู่ตรงหน้าเธอ
จากนั้นก็กดวิดีโอคอลไป
พวกเขามีคนอยู่ที่ฮู่เฉิง ต่อให้อิ๋งเจิ้นถิงไม่อยากรับก็ต้องรับ
ตามคาด ไม่กี่วินาทีต่อมาอิ๋งเจิ้นถิงก็ปรากฏในจอ
เมื่อตอนกลางวันเขาโมโหอิ๋งเทียนลี่ว์จนหมดสติไป เวลานี้หน้าตาอิดโรย สีหน้าซีดเซียว
และเป็นเพราะทำเคมีบำบัดมานาน อิ๋งเจิ้นถิงจึงซูบผอม ผมร่วงหมดหัว คล้ายมัมมี่ที่ไร้ลมหายใจ
“จิ่งหงเจิน!” แต่พอเขาเห็นจิ่งหงเจินก็มีอาการตอบสนองทันที ลุกพรวดขึ้นมา แยกเขี้ยวยิงฟัน เส้นเลือดปูดที่ลำคอ “แกกล้าเล่นงานฉัน! แกต้องตาย!”
จิ่งหงเจินไม่รู้สึกหวาดกลัว กลับดูใจเย็นมาก “เดิมทีแกมันก็ไม่ใช่คนดีอะไร ฉันเล่นงานแกก็สมควรแล้วไม่ใช่เหรอ”
นับตั้งแต่ตระกูลจิ่งสูญเสียอิทธิพล เธอก็ไม่เคยเชื่อคำพูดของอิ๋งเจิ้นถิงอีกแม้แต่คำเดียว
อิ๋งเจิ้นถิงยังมีผู้หญิงอื่นอีกนอกจากเธอ ก็แค่ชู้รักพวกนั้นไม่มีลูก
ตอนนั้นจิ่งหงเจินก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะพึ่งพาอิ๋งเย่ว์เซวียน เพราะเธอมีแผนการนี้มาตลอด
แต่เธอไม่เคยคาดคิดว่าอิ๋งจื่อจินจะมีเส้นสายครอบคลุมทั่วทั้งวงการธุรกิจ
“จิ่งหงเจิน!” อิ๋งเจิ้นถิงอาละวาด หายใจหอบแรง “แกกล้าวางยาฉัน! นังสารเลว! ฉัน…”
ยังไม่ทันพูดจบเขาก็โมโหจนหมดสติไปอีกครั้ง
ฟู่อวิ๋นเซินไม่แคร์ “ฉีดยาให้ฟื้น”
อวิ๋นซานถ่ายทอดคำสั่งนี้ให้คนที่อยู่ทางฮู่เฉิง
ครั้นแล้วอิ๋งเจิ้นถิงก็ถูกบังคับให้ฟื้นขึ้นมาด้วยการใช้ยา
หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ร่างกายสั่นไม่หยุด ฟันกระทบกัน
เห็นได้ชัดว่าเจ็บปวดถึงขีดสุด แทบจะทนต่อไปไม่ไหวแล้ว
“จิ่งหงเจิน!” แววตาของอิ๋งเจิ้นถิงเต็มไปด้วยความเคียดแค้น “รู้แบบนี้ฉันควรให้คนไปจัดการแกนานแล้ว!”
จิ่งหงเจินยังคงใจเย็น มีรอยยิ้มเล็กน้อย “อิ๋งเจิ้นถิง แกไม่มีโอกาสแล้ว แกจะตายอยู่รอมร่อแล้วไม่รู้หรือไง”
“แก…” อิ๋งเจิ้นถิงหายใจไม่ทัน สลบไปอีกครั้ง
หลังจากเห็นอิ๋งเจิ้นถิงหมดสติเป็นครั้งที่สอง ทันใดนั้นจิ่งหงเจินก็เข้าใจ
เธอเงยหน้าทันควัน มองอิ๋งจื่อจิน สายตาดุดัน “พวกแกจงใจใช้ฉันยั่วโมโหเขางั้นเหรอ”
ใครต่างก็รู้ว่าอาการตับวายเฉียบพลันของอิ๋งเจิ้นถิงเดิมทีก็ต้องควบคุมอารมณ์ให้เป็นปกติ
เมื่อโมโหอารมณ์ฉุนเฉียว อาการก็จะทรุดลงอย่างรวดเร็ว
ด้วยอาการของอิ๋งเจิ้นถิงในตอนนี้ ต่อให้หาตับมาปลูกถ่ายได้ก็ใช่ว่าจะหาย
จิ่งหงเจินราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้อีก เป็นครั้งแรกที่ร้อนใจสุดขีด “ที่พวกแกไม่จับฉัน เพราะต้องการให้ฉันช่วยทำลายตระกูลอิ๋งใช่ไหม!”
อิ๋งจื่อจินนั่งพิงเก้าอี้ “ยินดีด้วย คุณเดาถูก”
เธอไม่เคยมีความปรานีต่อคนที่เคยทำร้ายตัวเอง
การมีเมตตาต่อศัตรูก็คือการโหดร้ายต่อตัวเอง
เมื่อก่อนเธอเคยใช้ชีวิตที่มีแต่การฆ่ารันฟันแทง เธอรู้ดีมาตลอด
“เก่งมาก เก่งจริงๆ” จิ่งหงเจินหน้าซีด แต่กลับหัวเราะออกมา “ทั้งๆ ที่เป็นลูกสาวของจงมั่นหวา ทำไมฉลาดกว่ายัยนั่นเยอะเลยล่ะ”
“ไม่สิ คนตระกูลอิ๋งโง่กันหมดนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นคงถูกฉันปั่นหัวไม่ได้ ทำไมตระกูลอิ๋งถึงมีแกโผล่มาได้ พวกเขาต้องไปขอบคุณบรรพบุรุษแล้วนะ”
อิ๋งจื่อจินไม่ตอบ เธอหลุบตาลง
เธอไม่เคยลืมมาตลอด เด็กผู้หญิงที่เธอเจอระหว่างทางไปมหาวิทยาลัยนอร์ตันคนนั้น
เด็กน้อยบอกว่ากำลังตามหาหลานสาวของตัวเอง
เธอช่วยชีวิตอิ๋งเทียนลี่ว์ไว้ เคราะห์ที่รับแทนไม่ได้หนักเหมือนที่คิดไว้
เกรงว่าเธออาจไม่ใช่คนตระกูลอิ๋งจริงๆ
แต่เธอก็มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับอิ๋งเทียนลี่ว์จริงๆ เพียงแต่ห่างไกลมาก
ไม่อย่างนั้นเคราะห์ที่เธอรับไว้จะเบามาก ญาณพยากรณ์ก็ไม่มีทางถูกผนึก
“หยุดพูดมาก” อวิ๋นซานเอาหน้ากากเหล็กของหน่วยอีจื้อออกมาปิดปากของจิ่งหงเจินให้สนิท “เดี๋ยวก็ได้สนุกแล้ว พวกนาย เอาตัวไป”
คนของหน่วยอีจื้อเข้ามาพาจิ่งหงเจินออกไปทันที
จิ่งหงเจินก็รู้ว่าเธอหมดหนทางจะหนีไปไหนได้อีก จึงเลิกคิดจะดิ้นรน สีหน้าห่อเหี่ยว
“ยัยแก่คนนี้โหดร้ายจริงๆ” อวิ๋นซานทำเสียงฮึดฮัด “หลอกใช้ประโยชน์ได้ทุกคน”
ฟู่อวิ๋นเซินเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย “นายกับอวิ๋นอู้ไปดูทางตระกูลจี้ไว้”
อวิ๋นซานกำมือคารวะอีกครั้ง “ครับ คุณชาย”
…
กว่าจะออกจากตึกสำนักงานของหน่วยอีจื้อ ดวงอาทิตย์ก็คล้อยต่ำแล้ว
ชายหนุ่มจูงมือหญิงสาวเดินไปข้างหน้า
อาทิตย์ยามอัสดงแสนโรแมนติก เงาที่อยู่บนพื้นทอดยาว
ทุกอย่างดูสงบและสวยงาม
แววตาของฟู่อวิ๋นเซินวูบไหว เขาหยุดเดิน
อิ๋งจื่อจินเห็นอยู่ๆ เขาก็หยุดเดินจึงดึงอารมณ์กลับมา เงยหน้ามอง “มีอะไรเหรอ”
ฟู่อวิ๋นเซินหันมา ดวงตาดอกท้อโค้งมน ดึงเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด
“ไม่มีคนแล้วแฟนสาว” อิ๋งจื่อจินได้ยินเสียงหัวเราะของเขาข้างหู เบาและทุ้มต่ำ เย้ายวนหัวใจ
เขาถามต่อ “ขอจูบได้ไหม”