ตอนที่ 815 พรหมลิขิตในชาติก่อน เธอคือวงล้อแห่งโชคชะตา
สติเธอยังไม่กลับมาดีนัก มือก็ไม่ค่อยมีแรง
เสียงนั้นยังคงต่อเนื่อง ตำหนิด้วยความเป็นห่วง
“เจ้าชะตาน้อย มานอนตรงนี้ได้ยังไง เดิมทีร่างกายก็อ่อนแออยู่แล้วนะ เกิดป่วยขึ้นมาจะทำยังไง”
ไม่กี่วินามีถัดมาเธอก็ฝืนลืมตาขึ้น
พอมองเห็นคนตรงหน้าชัดเจนเธอก็อึ้งไป “…ท่านปู่ผู้โง่เขลา?”
ตรงหน้าเป็นชายชราที่หน้าตาใจดี แต่เขาดูกระฉับกระเฉงไม่แก่เลยสักนิด
ผู้วิเศษลำดับที่หนึ่งจากยี่สิบสองคน ผู้วิเศษผู้โง่เขลา
ในขณะเดียวกันผู้วิเศษผู้โง่เขลาก็เป็นผู้วิเศษกลุ่มแรกที่ถือกำเนิดก่อนใคร
เขาเป็นผู้มีสติปัญญาอันดับหนึ่งในบรรดาผู้วิเศษยี่สิบสองคน และยังเป็นอาจารย์ของผู้วิเศษหลายคน
ปกติเวลาเธอเจอปัญหายากอะไรก็จะไปขอคำชี้แนะจากผู้โง่เขลา
“ดูท่าจะฝันร้าย” ชายชรายังคงเป็นห่วง “โชคดีที่ฉันมาเจอเธอ ฝันว่าอะไรล่ะ”
“ภัยพิบัติค่ะ” เธอจับศีรษะ ลุกขึ้นนั่ง “หนูเห็นภัยพิบัติมากมาย”
“ลำบากเธอแล้ว” ชายชราได้ฟังก็ถอนหายใจ “เธอทำนายเรื่องพวกนี้มาตลอด สภาพจิตใจคงไม่ค่อยดีเท่าไร ถ้ามีเวลาก็ไปเยียวยาจิตใจที่พระจันทร์หรืออัลไคด์ดูนะ”
ผู้วิเศษปรากฏตัวเพื่อรับภารกิจ
เมื่อผู้วิเศษปรากฏตัวก็เป็นยุคเริ่มต้นของภัยพิบัติใหญ่มากมาย
ภัยอดอยาก แผ่นดินไหว สึนามิ น้ำท่วม ภัยแล้ง…เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ผู้วิเศษทั้งยี่สิบสองคนจึงต้องกระจัดกระจายไปตามที่ต่างๆ
ส่วนเบื้องหลังล้วนพึ่งวงล้อแห่งโชคชะตาคนเดียว
ชายชรารู้ว่าเธอเหนื่อยมากแล้ว
“แน่นอนค่ะ” เธอพยักหน้า “ท่านปู่ผู้โง่เขลามาหาหนูมีเรื่องอะไรเหรอคะ”
“อ๋อ ใช่ๆ มีธุระ” ชายชราพูด “มีคนคนหนึ่งอยากเจอเธอมาตลอด ฉันพาเขามาด้วย”
“แต่ถ้าเธอไม่อยากเจอเขา เดี๋ยวฉันไล่ตะเพิดไปได้”
เธอหันหน้าไป
ถึงได้สังเกตเห็นคนยืนอยู่ใต้ต้นไม้ไม่ไกลออกไป
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ไหล่กว้างเอวคอด สองขาเรียวยาว
ราวกับรู้สึกได้ว่าเธอมองไป เขาก็หันตัวมา
ใบหน้านั้นหล่อเหลาแบบที่สยบทุกคนได้
เธอเคยเจอสังฆราช เคยเจอจักรพรรดิ
แต่ไม่ว่าจะคนไหนบุคลิกกับหน้าตาก็สู้คนตรงหน้าคนนี้ไม่ได้
“จริงสิ พวกเธอยังไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน” ชายชรายิ้มตาหยี “เจ้าชะตาน้อย ขอแนะนำให้รู้จักนะ นี่ผู้วิเศษลำดับที่สิบหก เดวิล รู้จักกันไว้นะ”
เขาแค่ยืนเอื่อยอยู่ตรงนั้น กลายเป็นทัศนียภาพไปแล้ว
จากนั้นเขาก็เดินเข้ามา โน้มตัว ยื่นมือออกมา “สวัสดี เจ้าชะตาน้อย”
“สวัสดี” เธอไม่ได้ยื่นมือออกไปจับมือเขา แค่พยักหน้าเล็กน้อยแล้วละสายตาออก
“เทวทูตเคยพาเขาออกไปทำภารกิจหลายครั้ง ต่อไปเขาต้องออกไปรับมือกับภัยพิบัติคนเดียวแล้ว” ชายชรารีบกู้สถานการณ์ “ต่อไปก็ต้องให้เธอช่วยวางแผนรับมือให้ด้วยนะ”
“ค่ะ”
เธอยังคงเย็นชา
“ไปๆ เธอไม่อยากเห็นหน้านายแล้ว” ชายชราไล่คนทันที “ต่อไปถามคำพยากรณ์เสร็จก็ไป อย่าอยู่รบกวนเธอ”
“ไม่กล้าครับไม่กล้า” เขายังคงมีท่าทีเอื่อยเฉื่อย น้ำเสียงกึ่งหยอกล้อ “นี่ของล้ำค่าที่ทุกคนประคบประหงมเลยนะครับ ผมกล้าล่วงเกินที่ไหนกัน”
ครั้งแรกเธอไม่ประทับใจเขาเลยสักนิด
คนคนนี้หน้าตาก็ดีอยู่หรอก แต่นิสัยติดเล่น ไม่ปลอดภัย ต้องอยู่ห่างๆ ไว้
ต่อมามีครั้งหนึ่ง พวกเขาเจอกันที่หน้าสำนักผู้วิเศษ
เนื่องจากเธอกำลังอ่านหนังสืออยู่จึงเกือบเดินชนเสา
มีมือข้างหนึ่งมาจับบ่าเธอไว้ ดึงเธอถอยหลังหนึ่งก้าว
น้ำเสียงกึ่งหัวเราะที่คุ้นเคย “เจ้าชะตาน้อย มองทางสิ ไม่งั้นเดี๋ยวชนเสานะ เดี๋ยวจะบวมจนกลายเป็นเจ้าชะตาใหญ่”
เธอเหลือบมองเขา กำหนังสือในมือแน่น เดินอ้อมไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ทำไมคนคนนี้มันน่ารำคาญขนาดนี้นะ
…
วันเวลาต่อๆ มาเธอกลับต้องคลุกคลีกับคนที่น่ารำคาญคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ จนสนิทกับเขาอยู่ไม่น้อย
รู้ว่าเขามีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้วิเศษทั้งหมด ผู้วิเศษพลังกับผู้วิเศษคนห้อยหัวรวมพลังกันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
ก็แค่ฉายาของเขาแตกต่างจากตัวตนอย่างสิ้นเชิง
เขาไม่ใช่ปีศาจร้ายที่นำภัยพิบัติมาสู่โลกมนุษย์ แต่กลับช่วยผู้คนให้พ้นภัย
เขาจึงมีอีกฉายาหนึ่งว่า
ดวงดาวเจิดจรัส บุตรแห่งเกียรติยศ
เธอคิดว่าฉายานี้ต่างหากที่เหมาะสมกับเขา
เขามักจะมาคุยกับเธอ แม้ทุกครั้งจะจบลงด้วยการที่เธอโมโหจนถีบเขาออกไปก็ตาม
เป็นอีกครั้งที่เขามาหาเธอบนเขาที่เธอฝึกตน
เธอยังคงอ่านหนังสือ จนกระทั่งถูกเขกหน้าผากด้วยแรงที่ไม่หนักไม่เบา
เธอมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ทำอะไรน่ะ”
“อยากดูว่าเธอมีสีหน้าแบบอื่นไหม” เขายอมรับผิด “โทษที ฉันผิดไปแล้ว”
เธอไม่สนใจเขา
“ไม่แกล้งแล้ว เจ้าชะตาน้อย ฉันจะออกไปต้านภัยพิบัติแล้วนะ” เขานั่งลง “ช่วยพยากรณ์ขนาดของภัยพิบัติครั้งนี้ให้หน่อยสิ ขอแผนรับมือเจ๋งๆ ด้วยนะ”
เธอพยักหน้าแล้วหลับตาลง
แอสโตรแลบที่อยู่ข้างกายก็เริ่มขยับ
ไม่กี่วินาทีถัดมาเธอก็ลืมตาขึ้น
“น้ำท่วมทางยุโรปตอนเหนือครั้งนี้จะต่อเนื่องหนึ่งเดือน คาดว่าจะมีคนตายสองแสนสามหมื่นสี่ร้อยสิบสามคน ทำลายพื้นที่มากถึงสามแสนสี่หมื่นตารางกิโลเมตร” เธอตอบ “นายเริ่มคุมน้ำจากทางตะวันออก นี่คือแผนที่ฉันคิดให้ คาดว่าสามวันน่าจะเอาอยู่ แต่…”
เธอหยุดไปชั่วขณะแล้วพูดเสียงเบา “แต่ก็ยังคงมีคนตายหลายร้อยอยู่ดี”
พวกเขาทำได้เพียงต้านทานภัยพิบัติใหญ่ที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่สามารถป้องกันล่วงหน้าได้
เวลาที่ผ่านไปมิอาจหวนคืน แม้พวกเขาจะเป็นผู้วิเศษที่ความสามารถเหนือมนุษย์ทั่วไปก็ตาม
เธอพูดจบก็เงยหน้า แต่กลับพบว่าเขาเหม่อมองเธอ
ดวงตาดอกท้อของเขาไม่ว่ามองใครก็เหมือนลึกซึ้ง ทอประกายอ่อนๆ ฉายแววอ่อนโยน
ชวนให้รู้สึกเหมือนตกอยู่ในห้วงลึกดุจท้องทะเล
ทันใดนั้นเธอได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรเต้นอย่างแรงอยู่ในทรวงอก พร้อมความรู้สึกแปลกๆ
เธออึ้งเล็กน้อย
เธอรู้ข้อบกพร่องในร่างกายของตัวเอง เธอไม่มีหัวใจ รักใครไม่เป็น
เหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
พอเธอดึงสติกลับมาก็พบว่าเขายังมองเธออยู่ จึงถีบเขาไปอย่างไม่เกรงใจ “เดวิล ฟังอยู่หรือเปล่า”
“อืม ได้ยินแล้ว จำได้แล้ว” เขายกมือทำท่ายอมแพ้ พูดอย่างจริงใจ “ขอบใจนะเจ้าชะตาน้อย”
ขณะพูดเขาก็ลูบหัวเธอ “ไว้กลับมาจะเอาขนมมาฝาก”
เธอปัดมือเขาออก “อย่ามาลูบหัวฉัน”
“หืม?”
“หัวจะล้าน เลี้ยงไม่โต”
เธอเงยหน้า ดวงตาหงส์หรี่ลงเล็กน้อย “อย่ามาเรียกฉันว่าเจ้าชะตาน้อยด้วย”
ครั้งนี้เขาหยุดเดิน “ทำไม เห็นคนอื่นก็เรียกแบบนี้”
เธอตอบอย่างเย็นชา “แต่เวลานายเรียกมันเหมือนล้อฉัน”
ไม่จริงจังเลยสักนิด
“แบบนี้ฉันถูกปรักปรำนะ” เขาจนปัญญา “เธอคงไม่ได้อ่านหนังสือเยอะจนถูกความคิดอะไรล้างสมองใช่ไหม”
เขาชี้กองหนังสือที่วางอยู่ข้างแอสโตรแลบ
บนนั้นมีนิทานสำหรับเด็กของหลายประเทศ แถมยังมีตำนานเรื่องเล่าท้องถิ่นด้วย
อ่านนิทานก็ได้อยู่หรอก
แต่ตำนานท้องถิ่นบางเรื่องก็น้ำเน่าเกินไป
“ขอดูหน่อยซิ” เขาหยิบขึ้นมาหนึ่งเล่ม “ดูนี่สิ มัน…”
เขายังไม่ทันพูดจบก็ถูกถีบอีกที
คงไม่มีใครเชื่อว่าเดวิลผู้วิเศษที่แข็งแกร่งอันดับหนึ่งในบรรดาผู้วิเศษยี่สิบสองคนจะถูกถีบง่ายๆ แบบนี้
เธอแย่งหนังสือกลับไป “หุบปาก”
“ได้ ฉันไม่เรียกเธอเจ้าชะตาน้อยก็ได้” สุดท้ายเขาก็ยอมจำนน “แต่ฉันก็ต้องมีคำเรียกเธอหรือเปล่า จะให้เรียกเด็กน้อยทุกครั้งที่เจอก็ไม่ดีหรือเปล่า”
วงล้อแห่งโชคชะตาเป็นผู้วิเศษที่ถือกำเนิดช้าที่สุด ผู้วิเศษคนอื่นๆ ต่างอายุมากกว่าเธอ
เนื่องจากผู้วิเศษแต่ละคนต้องขอความช่วยเหลือจากเธอ จึงเรียกเธออย่างเป็นกันเองว่า ‘เจ้าชะตาน้อย’
เธอปวดหัวตุบๆ “เรียกแบบนี้ก็ไม่ได้เหมือนกัน”
เธอไม่เด็กแล้วนะ
“ใช่ ฉันรู้ว่าไม่ได้ งั้นเธอมีชื่อไหมล่ะ” เขาถาม “ฉันหมายถึงชื่อจริงน่ะ”
มีแค่ผู้วิเศษที่สนิทกันมากเท่านั้นถึงจะแลกเปลี่ยนชื่อจริงกัน
เธอลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ตอบ “ไม่มี แต่ฉันแซ่อิ๋ง”
“มีแซ่แต่ไม่มีชื่อเหรอ” เขาชักสนใจ “งั้นฉันช่วยตั้งให้ไหม”
เธอมองเขาแล้วปฏิเสธ “ฉันไม่เชื่อทักษะการตั้งชื่อของนาย”
“ได้ มีแซ่ไร้ชื่อก็ใช่ว่าจะเรียกไม่ได้” เขาเงียบไปชั่วครู่ “งั้นฉันเรียกเธอว่าคุณอิ๋งได้ไหม”
คำเรียกนี้ค่อยดูจริงจังหน่อย เธอพยักหน้า
ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มออก “เธอเคยบอกแซ่จริงให้คนอื่นรู้ไหม กับซิวล่ะ”
เธอส่ายหน้า
และก็ไม่เคยมีใครถามคำถามนี้
ถึงแม้เธอกับซิวจะนับถือกันเป็นพี่น้อง แต่ซิวก็ค่อนข้างกลัวเธอ
แค่เธอส่งสายตาซิวก็หยุดพูดแล้ว ทำให้เธอรู้สึกว่าน่าเบื่อนิดหน่อย
“อิ๋ง” เขาพยักหน้าช้าๆ ยิ้มพลางพูด “เป็นแซ่ที่ดี เพราะมากด้วย”
ขณะพูดเขาก็ยื่นมือออกไปเขกศีรษะเธอเบาๆ “ในเมื่อไม่เคยบอกคนอื่น งั้นต่อไปก็ห้ามบอกแล้ว”
นี่เป็นสิทธิ์เฉพาะของเขาคนเดียว
ดังนั้นจากนี้และต่อๆ ไป ต่อให้ไม่มีความทรงจำแล้ว คำว่า ‘อิ๋ง’ ก็ยังคงจะตราตรึงอยู่ในสมองของเขา ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก
ตอนอยู่ศาลสถิตยุติธรรมผู้อาวุโสใหญ่ถามเขาว่าจะใช้ฉายาอะไร
เขาจึงตั้งว่า ‘เงา’ ที่เสียงคล้ายกัน[1]
จากนั้นต่อๆ มาอีก เมื่อเขาได้พบเธออีกครั้ง ในที่สุดเขาก็ได้เรียกเธอว่า ‘เด็กน้อย’
ข้ามกาลเวลา ข้ามจักรวาล จนได้มาพบกัน
[1] คำว่าเงาในภาษาจีนออกเสียงว่าอิ่ง