จอมยุทธ์ระบบเลเวล Invincible Level Up – ตอนที่ 115

จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 115

 

คําด่าที่สบถออกมาเป็นดั่งอัสนีบาตยามฟ้าแล้ง

 

ที่จู่ๆก็เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน

 

เมิ่งฝานอีนิ่งอึ้ง เขาคิดไม่ถึงว่าฉินเทียนที่อยู่ในระดับห้าขั้นหลั่นวิญญาณจะมีพลังปราณมหาศาลถึงเพียงนี้ ปริมาณระดับนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าพลังปราณของผู้ที่อยู่ในระดับเก้าขั้นกลั่นวิญญาณเลย ในใจสั่นสะท้าน แต่เขาก็ไม่ได้จะไปห้ามปรามอะไร เขาเชื่อหลิวซินย่อมไม่อาจทําอย่างไรต่อฉินเทียน

 

หลิวซินเองก็ตกตะลึง คาดไม่ถึงว่าตนเองจะไปเตะแผ่นเหล็กเข้าอย่างจัง

 

กระนั้นความหยิ่งทะนงของนางได้ฝากรากลึกลงถึงแก่น แววตาของนางยังคงทอแววเหยียดหยาม ไม่ว่าฉินเทียนจะมีพลังปราณมหาศาลสักเพียงใด แต่ความจริงที่เขาอยู่เพียงระดับห้าขั้นกลั่นวิญญาณก็ไม่อาจแประเปลี่ยนไป

 

วินาทีถัดมาพลังปราณของนางก็ปะทุออกก่อเป็นดอกบัวสีดําพุ่งไปทางฉินเทียน

 

”เทียนน้อยระวัง!” ฉินเหลียนกล่าวเตือนพลางประสานท่ามือเพื่อเรียกใช้งานบัวศักดิ์สิทธิ์เยียวยา

 

ฉินเทียนแค่นเสียงพลางก้าวขึ้นเผชิญหน้ากับดอกบัวดํา พลังปราณของเขาหลั่งไหลออกมาอย่างบ้าคลั่ง ” ทําลายให้ข้า!”

 

ปราณเพลิงสีม่วงอันไร้เขตขอบแผ่พุ่งออก ตรงเข้าชนกับดอกบัวดํา

 

ครืน………..

 

เกิดเป็นเสียงดังสนั่น ดอกบัวดําแตกสลายหายไป

 

ร่างของฉินเทียนยังมั่นคงดุจขุนเขา เท้าไม่ได้ขยับออกจากที่ ราวกับว่าตัวเขาไม่ได้ลําบากกินแรงแม้แต่น้อย สายตาจับจ้องไปที่หลิวซินอย่างเย็นชา พลังปราณที่ควบแน่นขึ้นรูปเป็นหอกสีม่วงเข้มอยู่ในมือ เขาเกร็งแขนจนมองเห็นเส้นเลือดขณะที่จ้วงแทงออกไป

 

โอม!

 

ค่ายกลที่อยู่หน้าประตูทางเข้าเกิดการสั่นสะเทือนก่อนจะปล่อยแสงที่มีพลังสุดแกร่งออกมา ก่อนที่หอกจะทันได้แทงเข้ามา มันก็สลายหายไปในอากาศ

 

“เป็นค่ายกลที่ทรงพลังนัก” ฉินเทียนทอดถอนอยู่ในใจ ขณะที่เขาเตรียมจะใช้พลังที่มากกว่าเดิม ฉินเหลียนก็หยุดเขาเอาไว้เสียก่อน

 

การโจมตีค่ายกลหน้าประตูของนิกายนับเป็นการล่วงเกินสํานักนิกายนั้น หากว่าจัดการเรื่องราวไม่ดีเรื่องราวก็จะกลายเป็นลุกลามใหญ่โต

 

” ประเสริฐมาก กล้ากระทั่งโจมตีค่ายกลป้องกันประตูของนิกายจิงซิน ดูเหมือนจะเบื่อหน่ายชีวิตแล้ว” หลิวซินกล่าวเยาะเย้ย จากนั้นจึงหันไปกล่าวกับศิษย์สตรีที่อยู่ใกล้ๆ ”รีบไปรายงานว่ามีคนมาล่วงเกินนิกายเรา ไม่เห็นนิกายจิงซินของเราอยู่ในสายตา”

 

ศิษย์ผู้นั้นรีรอลังเลพลางชําเลืองมองฉินเหลียน

 

“ยังไม่ไปอีก?” หลิวซินตะคอก

 

“ศิษย์สตรีนั้นรีบก้มหัวลงรับคํา “ค่ะ”

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับแยกเป็นความผิดอีกเรื่องหนึ่ง หากหอคุมกฏลงมาจัดการเรื่องนี้ ฉินเทียนก็คงยากที่จะออกจากเทือกเขากุ่ยซินแล้ว

 

“ผู้อาวุโสหลิว นี่ไม่เกินไปหน่อยหรือ? เป็นท่านที่ยั่วยุพวกเราก่อน มาตอนนี้ยังกลับถูกเป็นผิด ข้าจะรายงานเรื่องนี้ให้กับผู้อาวุโสคุมกฏทราบ” ฉินเหลียนกล่าวอย่างหนักแน่น ไม่ไว้หน้าหลิวซิน

 

ตัวละครเล็กๆดังเช่นผู้อาวุโสสายนอกยังไม่นับว่ามีตําแหน่งสําคัญอะไรในนิกายจิงซินแห่งนี้

 

หากไม่ใช่ว่าฉินเหลียนยังมีชนักติดหลังเรื่องหลบหนีออกจากนิกาย นางก็คงจะไม่ไว้หน้าและอดทนต่อการกระทําเช่นนี้ของหลิวซินแน่

 

” หากเจ้ากล้าออกมา ข้ารับรองว่าจะสังหารเจ้าแน่” ฉินเทียนกล่าวอย่างโมโหพลางชี้หน้าด่าทอหลิวซิน ”ยัยพรตแก่ เก่งจริงก็อย่าเอาแต่หดหัวอยู่ในค่ายกล หากมีความสามารถก็เดินออกมา เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะฆ่าเจ้าให้ดู!”

 

ปราณเพลิงสีม่วงลุกโหมขึ้นก่อนจะก่อตัวเป็นกระบี่ปราณที่มีจิตสังหารอันเข้มข้นจํานวนมากลอยอยู่ในอากาศ กระบี่แต่ละเล่มจัดเรียงอยู่ใกล้กัน ก่อตัวเป็นค่ายกลกระบี่ขนาดใหญ่

 

นี่ก็คือทักษะค่ายกลเจ็ดสังหาร

 

เป็นทักษะชั้นหยกที่ได้รับมาจากหยางฮง ต่อให้เป็นในนิกายจิงซินเอง ทักษะชั้นหยกก็ยังนับว่าล้ําค่ามาก ในใจของหลิวซินลอบตกตะลึงเพราะคาดไม่ถึงว่าฉินเทียนจะฝึกฝนทักษะที่น่ากลัวเช่นนี้ด้วย ยิ่งคิดในใจก็ยิ่งมีโทสะ ตั้งแต่เมื่อใดกันที่ตัวตนที่สูงส่งอย่างนางกลับถูกระดับห้าขั้นกลั่นวิญญาณดูหมิ่นเหยียดหยามขนาดนี้? แต่ตัวนางเองก็ไม่กล้าก้าวเท้าออกห่างจากค่ายกลเช่นกัน

 

เพียงกลิ่นอายของค่ายกลเจ็ดสังหารที่แสดงออกมาก็ทําให้นางรู้สึกหวาดกลัวแล้ว

 

“เป็นค่ายกลกระบี่ที่ทรงพลังนัก” เมิ่งฝานอีเบิกตาจ้องมองกระบี่ปราณที่เรียงรายอยู่ในอากาศอย่างตกตะลึง ไม่เพียงแต่ฉินเทียนจะมีปริมาณปราณที่ลึกล้ําไพศาล เขาถึงกับกระทั่งมีทักษะที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ด้วย เขาหันไปมองดูฉินเทียน ในใจลอบชื่นชมชายหนุ่มผู้นี้

 

บางทีนี่อาจจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของนิกายจิงซินที่มีค่ายกลกระบี่ปราฏขึ้นที่หน้าประตูของนิกาย?

 

”เทียนน้อย..” ฉินเหลียนมั่นคิ้ว “เก็บค่ายกลเถอะ”

 

“เหอะ” ฉินเทียนจ้องมองหลิวซินก่อนจะแค่นเสียง ยกมือขึ้นโบกคราหนึ่ง ค่ายกลกระบี่ที่กําลังจะสําแดงเดชก้สลายหายไปในพริบตา เมื่อครู่นี้เขาโมโหมากไปหน่อย นิกายจิงซินนับเป็นนิกายที่ทรงอิทธิพลนิกายหนึ่ง หากว่าเข้าลงมือโจมตีค่ายกลคุ้มครองนิกายเข้าจริงๆ เรื่องราวก็จะบานปลายแล้ว

 

การกระทําอันหุนหันพลันแล่นล้วนไม่อาจนําไปสู่เรื่องดี

 

ฉินเทียนสูดหายใจเพื่อสงบสติอารมณ์

 

แม้ว่าในใจของหลิวซินจะโมโหยิ่ง แต่นางก็ไม่กล้าก้าวออกไปจากเขตค่ายกล นางกังวลว่าตังนางอาจจะถูกอัดจนสะบักสะบอม และนั่นจะยิ่งทําให้นางเสียหน้าเข้าไปใหญ่

 

จู่ๆที่บนท้องฟ้าก็เกิดเสียงขึ้นครั้งหนึ่ง จากนั้นกลิ่นหอมของดอกบัวก็ลอยเข้าสู่จมูกของทุกคนที่อยู่บริเวณนั้น เป็นกลิ่นที่ให้ความรู้สึกสดชื่นปลอดโปร่ง ให้ผลชําระล้างจิตใจที่ขุ่นมัว ทําให้รู้สึกสบาย ฐานดอกบัวสีขาวลอยลงมาจากฟ้าที่บนดอกบัวนั้นมีสตรีที่สวมชุดสีขาวปลอดกําลังจับกลีบดอกบัวอยู่ เป็นสตรีงดงามที่มีรอยยิ้มบางประดับอยู่บนใบหน้า

 

” ท่านเซียนเหลียนฮัว!”

 

ฉินเหลียนรีบย่อกายคารวะก่อนจะกล่าวด้วยความเคารพ ”คารวะท่านเซียนเหลียนฮัว”

 

หลิวซินเองก็กระทําดุจเดียวกัน ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง

 

“ไม่มีกลิ่นอาย?” ฉินเทียนจ้องมองสตรีที่อยู่บนฐานดอกบัวด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง กลิ่นอาย นักล่าของเขาไม่อาจสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายใดๆจากร่างของนาง หรือนางจะอยู่เหนือขอบเขตที่กลิ่นอายนักล่าของเขาจะสัมผัสได้? นั่นจะเป็นไปได้อย่างไรกัน?

 

ฐานดอกบัวสีขาวลอยลงมาก่อนจะสลายหายไป สตรีนางนั้นก้าวเดินอย่างนุ่มนวลพลางโบกมือคราหนึ่ง ค่ายกลคุ้มครองนิกายก็กลับไปสงบเสงี่ยมดังเดิม จากนั้นจึงประคองร่างของฉินเหลียนให้ยืนขึ้น “แม่นางฉินเหลียนไม่ต้องมากพิธี”

 

ที่ใต้ฝ่าเท้าของนางมีแสงอันบริสุทธิ์แผ่ออกมา ทําให้นางราวกับพระโพธิสัตว์ที่กําลังโปรดสัตว์

 

ระดับการบ่มเพาะของนางแน่นอนว่าต้องสูงส่งยิ่ง

 

กลิ่นอายนักล่านับเป็นกฏที่มีช่วงชั้นสูงส่ง กระนั้นก็ยังไม่อาจตรวจจับการผันผวนของพลังใดๆ จากร่างของนางราวกับนางไม่มีตัวตนอยู่

 

ฉินเทียนพลันก้าวถอยหลังครึ่งก้าวก่อนจะเพิ่มความตื่นตัวขึ้นมา

 

ขณะที่ฉินเหลียนกําลังจะเปิดปากพูด สตรีนางนั้นก็ยกมือขึ้นหยุดก่อนจะกล่าวว่า “ประมุขนิกายทราบทุกสิ่ง ไม่จําเป็นต้องกล่าวมากความ ตามข้าไปพบนางเถอะ”

 

“โปรดรอก่อน” ฉินเทียนก้าวออกมา “ท่านน้าของข้าจะถูกลงโทษหรือไม่?”

 

สตรีนางนั้นไม่แม้จะชําเลืองมองฉินเทียน นางจับแขนฉินเหลียนอย่างนุมนวลก่อนที่ฐานดอกบัวสีขาวจะปรากฏขึ้นที่ใต้ฝ่าเท้าของคนทั้งสองก่อนจะค่อยๆลอยขึ้น

 

ถูกเมินเฉยแบบนี้ ฉินเทียนย่อมไม่พอใจ ขณะที่กําลังจะหยุดอีกฝ่าย เขาก็พลันพบว่าร่างกายไม่อาจขยับเคลื่อนไหวคล้ายกับถูกเส้นด้ายที่มองไม่เห็นรัดพันอยู่ ขณะที่เขากําลังจะสบกด่าออกมาด้วยความโกรธ เมิ่งฝานอีก็รีบห้ามเขาเอาไว้

 

“น้องชาย อย่าได้กล่าววุ่นวาย นางเป็นเซียนที่สูงศักดิ์เขตขั้นจุติ พวกเราไม่อาจล่วงเกินได้” เมิ่งฝานอีเป็นศิษย์ที่เติบโตมาจากสํานักเทียนจี๋ ดังนั้นจึงมีความเข้าใจเกี่ยวกับสํานักนิกายขนาดใหญ่ต่างๆอยู่บ้าง เซียนเหลียนฮัวแห่งนิกายจิงซินนั้นมีพลังฝีมือสุดหยั่งคาด ทั้งยังเป็นตัวตนที่มีศักดิ์ฐานะสูงส่งยิ่งกว่าประมุขนิกายเสียอีก

 

พวกเขาได้แต่มองดูจนเซียนเหลียนฮัวนั้นหายไปจากสายตา

 

“ขั้นจุติช่างสูงส่งจนไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาจริงๆ รอก่อนเถอะ บิดาจะทําให้เจ้ามาหมอบคลานอยู่ใต้ร่างของบิดา ดูว่าผู้ใดจะสูงส่งกว่าผู้ใด!” ฉินเทียนคิดขึ้นในใจ ตัวเขาเกลียดคนที่เสแสร้งทําตัวสูงส่งไม่เห็นหัวผู้อื่นเช่นนี้

 

ถูกสตรีนางหนึ่งกดหัวไว้เช่นนี้ ฉินเทียนย่อมรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก

 

อีกทั้งยังไม่รู้ว่าฉินเหลียนจะถูกลงโทษเช่นใด ไม่รู้ว่าประมุขของนิกายจิงซินจะยอมช่วยเหลืออวิ๋นม่านหรือไม่

 

เรื่องเหล่านี้ทําให้เขาว้าวุ่นใจยิ่ง……

 

Invincible Level Up จอมยุทธ์ระบบเลเวล

Invincible Level Up จอมยุทธ์ระบบเลเวล

Invincible Upgrade, 无敌升级
Score 7.2
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2012 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง จอมยุทธ์ระบบเลเวล Invincible Level Upฉินเทียน ชายหนุ่มผู้จับผลัดจับผลูถูกย้ายวิญญาณมายังร่างที่อมโรคในอีกโลกหนึ่ง เขากลายเป็นเจ้าของร่างที่จุดตันเถียนไม่อาจใช้การได้ ทำให้เขาไร้ซึ่งพลังลมปราณ กระนั้นสวรรค์ก็ยังไม่ทอดทิ้งเขา พระเจ้าได้มอบระบบเลเวลมาให้ด้วย! ชายผู้ไร้ค่างั้นเหรอ? นั่นมันเจ้าของร่างคนก่อนต่างหาก ต้องก้มหน้าก้มตาฝึกฝนพลังลมปราณงั้นเหรอ? เหอะ เขาสามารถเพิ่มเลเวลผ่านการฆ่าสัตว์อสูรได้ กระจอกน่า! เลเวลจะเพิ่มขึ้นเมื่อเขาฆ่าสัตว์อสูร ฆ่าผู้คน ถล่มตระกูลที่ทุกคนบอกว่าแข็งแกร่ง บอกเลยว่าข้านี่ล่ะบอสใหญ่! ด้วยระบบเลเวลนี้ เขาจะไม่ต้องเผชิญกับปัญหาคอขวดด้านการฝึกปรือดังเช่นอัจฉริยะคนอื่นๆ ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็เพียงแค่ ฆ่า! เพื่อชีวิตที่ดีกว่า! ฝ่าฟันมุ่งหน้าเพื่อกลายเป็นจ้าวยุทธ์! วะฮะฮ่า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset